ตอนที่แล้วEp.408 - ความสงบก่อนพายุเกิด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.410 - บุกโจมตีเมืองรังอินทรีย์

Ep.409 - ศัตรูผู้ยิ่งใหญ่


2/2

Ep.409 - ศัตรูผู้ยิ่งใหญ่

ฮังอวี่เข้าสู่โลกวิญญาณ

เขาเรียกขุนนางทั้งสามและเสาหลักคนอื่นมารวมตัวกันพร้อมหน้าในเมืองหุบเขาเดียวดาย ประชุมหารือเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ

ฮังอวี่นั่งอยู่หัวแถวด้วยสีหน้าท่าทีสงบ “เหล่าจ้าว ขอให้คุณอธิบายสถานการณ์ก่อน”

จ้าวหมิงเอ่ยซ้ำ บอกรายละเอียดที่เคยพูดกับฮังอวี่อีกรอบ

ฉูเทียนหัวขมวดคิ้ว พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “จำนวนสมุนทหารทั้งหมดในสี่เมืองของเผ่ามนุษย์มีประมาณ 10,000 นาย ขณะที่จำนวนทหารของเมืองธารทะเลทรายสูงถึง 20,000 นาย แล้วอีกอย่าง ทหารของพวกมันอยู่ในระดับชั้นยอด รวมไปถึงอาวุธอย่างดี ห่างชั้นเกินกว่าที่พวกเราจะทัดเทียมได้

ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

เขาพูดต่อว่า “แค่เมืองธารทะเลทรายเพียงแห่งเดียวพลังรบก็ต่างกันมากแล้ว แค่นี้พวกเราก็เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ถ้าคาลิมัวบังคับขุนนางเล็กจากดินแดนอื่นมาร่วมสู้อีก ต่อให้มีขุนนางแค่ครึ่งเดียวรับปาก ก็มากพอแล้วที่จะก่อภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อเมืองทั้งสี่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์”

คริสจากเมืองทรายดำกล่าวว่า “สถานการณ์กรณีที่เลวร้ายที่สุด น่ากลัวว่าเมืองธารทะเลทรายกับกองทัพขุนนางิล็กจะร่วมมือกันโจมตีทั้ง 4 เมืองพร้อมกัน”

“ขืนเป็นอย่างนั้น...” ไดอาน่ากำหมัดแน่น “มนุษย์คงไม่มีโอกาสชนะได้”

ทุกคนเงียบ

เนื่องจากอีกฝ่ายมีพลังอย่างท้วมท้น

ทำให้เวลานี้ไม่ว่าพวกเขาจะสามัคคี ไม่ว่าจะวางอุบายอย่างไร ไม่ว่าจะใช้วิธีไหน ก็ไร้ซึ่งอำนาจจะต่อกร

และไม่ต้องสงสัยเลย ว่านี่คือข่าวร้ายครั้งใหญ่!

เอาจริงๆต่อให้สู้ไม่ได้ เผ่ามนุษย์ก็ยังสามารถซ่อนตัวอยู่ในโลกจริง

แต่ใครเล่าจะเต็มใจทำเช่นนั้น? ทุกคนทุ่มเทความพยายามและทรัพยากรไปมากมายในสี่เมือง ความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องถลำลึกเกินไป!

จ้าวหมิงมองไปทางฮังอวี่

ขาพบว่าตั้งแต่ต้นจนจบ ฮังอวี่ยังคงสงบเสมอมา

ไม่รู้สึกกดดัน? นั่นเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าใครเมื่อเผชิญกับสถานการณ์นี้ ยังไงก็ต้องกดดันอยู่แล้ว

กระนั้น

ฮังอวี่ไม่ได้แสดงมันออกมา เพราะเขาคือผู้นำสูงสุดของมังกรคราม เพราะเขาคือผู้นำทางจิตวิญญาณของทั้งสี่เมืองเผ่ามนุษย์ในแคว้นเดียวดาย ทุกคนสามารถตื่นตระหนกและแตกตื่นได้ แต่มีแค่เขาที่ไม่อาจทำ!

จ้าวหมิงกล่าวเสียงขรึม “เงียบ!”

ฉูเทียนหัวยังกล่าวด้วยว่า “ฟังบอสฮัง!”

ทุกคนหยุดพูดทันที ทุกสายตาจับจ้องมาทางฮังอวี่

ฮังอวี่กล่าวว่า “พวกเราได้พบกับความท้าทายที่ไม่เคยเจอมาก่อน แต่สถานการณ์นี้ไม่ควรมองในแง่ร้ายจนเกินควร บุรุษผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินจีนของเราเคยกล่าวว่า การเผชิญหน้ากับศัตรู ต้องรู้จักใช้ชั้นเชิง ท้าทายพวกเขาอย่างมีกลยุทธ์ ... อืม ในความเห็นของผม นอกจากเมืองธารทะเลทรายแล้ว เมืองอื่นๆไม่ต่างอะไรจากการก่อม็อบธรรมดาๆ”

ทุกคนตกใจ ก่อม็อบ? นั่นจะดูถูกศัตรูไปหน่อยกระมัง

ฮังอวี่กล่าวต่อว่า “เมื่อเราเผชิญหน้ากับศัตรู หากเรามองเห็นแค่ด้านแข็งแกร่งของพวกมัน ก็จะมองข้ามจุดอ่อนของพวกมันไป”

“เมืองธารทะเลทรายมีทหาร 20,000 นายก็จริง แต่ถ้าพวกเราเป็นคาลิมัว พวกเราจะดึงทหารทั้งหมด 20,000 นาย ออกมาเลยหรือ? นั่นไม่มีทางเป็นไปได้”

“เพราะขืนทหาร 20,000 นายออกจากเมือง เมืองธารทะเลทรายจะว่างเปล่า ไม่รู้ว่ามีดวงตามากน้อยเท่าไหร่ที่จ้องจะฮุบเมืองธารทะเลทราย เหมือนกับสำนวน 螳螂捕蝉 ตั๊กแตนจับจั๊กจั่น (นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง) คาลิมัวมีหรือจะไม่รู้เรื่องนี้”

ก็ฟังดูมีเหตุผล ทุกคนพยักหน้าว่าเข้าใจที่เขาจะสื่อ

“เรื่องขุนนางใหญ่เอาไว้แค่นี้ก่อน มาว่ากันเรื่องขุนนางเล็กกัน ยกเว้นดินแดนไม่กี่แห่งที่ขึ้นตรงกับคาลิมัว อันที่จริงดินแดนส่วนใหญ่ไม่ขึ้นตรงต่อเมืองธารทะเลทราย แม้จะอยู่ภายใต้ความละโมบและโหดเหี้ยมของเมืองธารทะเลทราย แต่ขุนนางเล้กทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องจงรักภักดีต่อคาลิมัวอย่างแท้จริง”

“คาลิมัวเอาเปรียบขุนนางเล็กมาหลายปีแล้ว พวกเขาโกรธแต่ไม่กล้าพูดมันออกมา ตอนนี้แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันจากประกาศของเมืองธารทะเลทราย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะทุ่มสุดตัวให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก”

“เมืองธารทะเลทรายไม่กล้าส่งทหารออกมาทั้งหมด ขณะเดียวกันขุนนางเล็กก็ไม่เต็มใจที่จะเป็นตัวตายตัวแทน นอกจากนี้ เมืองธารทะเลทรายยังมีความขัดแย้งกับเมืองต่างๆมายาวนาน นั่นเป็นเหตุผลที่ผมกล้าพูดว่ากองทัพพันธมิตรศัตรูในครั้งนี้ ภายนอกเหมือนจะทรงพลัง แต่ภายในเต็มไปด้วยจุดอ่อน”

ฮังอวี่กล่าวต่อ

“พูดถึงเรื่องศัตรู ใครเป็นคนให้ข้อมูลนี้กับเรา”

“พวกเรายึดเมืองหุบเขาเดียวดายได้ไม่ถึงสองเดือน และเมืองอื่นๆเพิ่งยึดได้แค่ 10 กว่าวันเท่านั้น”

“แต่ด้วยทรัพยากรที่ถ่ายโอนมาจากโลกจริง ทำให้จำนวนทหารของพวกเราเกือบเต็ม นี่คือสิ่งที่เมืองธารทะเลทรายไม่อาจจินตนาการถึง”

“และตั้งแต่จบศึกครั้งก่อน สี่เมืองของเราได้ซื้ออุปกรณ์จำนวนมากจากโลกจริง เตรียมปืนใหญ่เหนี่ยวนำมนตรามานับร้อยกระบอก หุ่นรบเหนี่ยวนำมนตรา ปืนกลเหนี่ยวนำมนตรา ฯลฯ”

“นอกจากนี้ประชากรทั้งหมดของพวกเรายังมีถึงห้าพัน นี่คือพลรบที่มีความคล่องตัวและยืดหยุนได้สูง กล่าวได้ว่าเป็นจุดแข็งของมนุษย์ ที่ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดในแคว้นเดียวดายเทียบได้”

“ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวชาวพื้นเมืองจากโลกวิญญาณ!”

“ผมคิดว่าพวกเราสามารถชนะ!”

ทุกคนพอได้ยินเรื่องทหารชั้นยอด 20,000 นายของเมืองธารทะเลทราย และเมื่อได้ยินว่าขุนนางเล็กจำนวนมากส่งกองทัพทหารมาเช่นกัน พวกเขาต่างตกใจ

แต่ตอนนี้

เมื่อฮังอวี่ได้ทำการวิเคราะห์ศัตรูและบอกถึงข้อดีของตัวเอง

จึงสามารถเรียกสติของทุกคนกลับมา

สีหน้าของเจียงหนานแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น มองฮังอวี่ด้วยความเลื่อมใส

เธออดแทรกขึ้นมาไม่ได้ ตะโกนว่า “ตราบใดที่พวกเราติดตามมหาเทพฮัง และไม่ยอมหวั่นไหว ก็ไม่มีศัตรูหน้าไหนสามารถเอาชนะพวกเราได้!”

จ้าวหมิง ฉูเทียนหัวมองหน้ากันและพยักหน้า

ทั้งคู่เป็นคนเก่งที่มีพรสวรรค์มาก หากแต่ละคนแยกกันพัฒนาตามทางตัวเอง ไม่ช้าก็เร็วจะได้ขึ้นเป็นผู้นำ เช่นนั้นแล้วไฉนพวกเขาถึงเต็มใจติดตามชายหนุ่มฮังอวี่ผู้นี้?

นั่นก็เพราะในตัวชายหนุ่มที่ดูเหมือนยังไม่บรรลุนิติภาวะคนนี้ พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังและศักยภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ฮังอวี่มักไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา แต่พอได้ใกล้ชิด สนิท และทำความรู้จักกับเขา คุณจะพบว่า ฮังอวี่ไม่ได้ทรงพลังเพียงอย่างเดียว แต่เขายังเป็นผู้นำที่มีเสน่ห์มาก!

ทีแรกความรู้สึกนี้ไม่ค่อยชัดนัก แต่นับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กรมังกรครามและเขาพยายามให้ทีมเติบโตไปพร้อมๆกัน ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกได้ อนาคตไร้ขีดจำกัด !

หลังจากฮังอวี่สามารถทำให้จิตใจของคนอื่นๆสงบลงได้ สายตาเขาจับจ้องไปทางจ้าวหมิง “เหล่าจ้าว คุณต้องบอกพวกเราตามตรง ว่าได้ข้อมูลนี้มาได้อย่างไร?”

จ้าวหมิงพยักหน้า เขาอธิบายอย่างระมัดระวังด้วยน้ำเสียงที่สงบและหนักแน่น

เหตุผลที่จ้าวหมิงได้รับข้อมูลนี้ล่วงหน้าเขาไม่ได้รู้จากการสอดแนมของตัวเอง แต่ได้ข้อมูลมาโดยวิธีทางการทูต

เขาดูแลรับผิดชอบในด้านทางการทูตมาโดยตลอด

ถ้าพูดให้ชัดเจนกว่านี้ คือเป็นสายลับที่แฝงตัวเข้าไปให้พวกขุนนางเล็กก่อกบฏ

และเขาได้พิสูจน์แล้ว ว่ามันจำเป็นมาก!

จ้าวหมิงติดต่อกับขุนนางเล็กมากกว่า 10 ตนแล้ว แม้ขุนนางเล็กเหล่านี้จะยังคงแสดงทัศนคติคลุมเครือ แม้ลึกๆจะไม่พอใจคาลิมัวอยู่ก็ตาม แต่ก็ยังไม่กล้าแสดงออกอย่างชัดเจน ไม่กล้าสนับสนุนสี่เมืองมนุษย์อย่างเปิดเผย

ซึ่งการที่คาลิมัวบังคับให้พวกเขาส่งทหารออกมา เหตุการณ์นี้ทำให้ขุนนางเล็กบางคนไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม

ภาษีที่เมืองธารทะเลทรายเก็บจากดินแดนใต้ปกครองก็หนักมากแล้ว อย่างน้อย 50%! ยิ่งสำหรับผู้อ่อนแอ ยิ่งถูกเรียกเก็บ 70-80%!

ขณะที่ทหารรักษาการณ์ในเมืองก็ต้องสร้าง เก็บออมแล้วเก็บออมอีกกว่าจะสร้างทหารได้ 3,000 - 4,000 นาย เช่นนั้นแล้วทำไมต้องพาพวกสมุนทหารออกไปสู้เพื่อขุนนางใหญ่อีก?

พวกเขาอยู่ห่างไกลจากสี่เมืองเผ่ามนุษย์

เช่นนั้นแล้วทำไมต้องสนใจด้วย?

ความขัดแย้งระหว่างเมืองธารทะเลทรายกับ 4 เมืองมนุษย์มันเกี่ยวอะไรกับพวกเขา?

คาลิมัวชัดเจนว่าจะเอาทหารเมืองอื่นไปใช้เป็นตัวตายตัวแทน!

และเพราะจ้าวหมิงทำหน้าที่ทางการทูตเอาไว้ล่วงหน้า ให้คำมั่นสัญญาแก่ขุนนางเล็กตนอื่นๆ

ทำให้แม้ขุนนางเล็กจะไม่เชื่อคำสัญญาเหล่านี้ก็ตาม แต่ก็มีโอกาสที่จะต่อต้านคาลิมัวเพราะเหตุนี้เช่นกัน

สิ่งที่พวกเขาต้องการจะเห็น คือเผ่าพันธุ์มนุษย์จะแสดงฝีมือได้ขนาดไหน

ยิ่งเมืองธารทะเลทรายถูกปราบปรามมากเท่าไหร่ นั่นก็ยิ่งเป็นผลลัพธ์ที่พวกเขาคาดหวัง

ด้วยเหตุนี้ ทำให้ตอนผู้ส่งสารจากเมืองธารทะเลทรายเข้าไปถ่ายทอดคำสั่งของขุนนางใหญ่ ขุนนางน้อยตนหนึ่งจึงลอบส่งผู้ส่งสารมาเข้าพบเผ่าพันธุ์มนุษย์ เปิดโปงข่าวนี้แก่พวกเขา นี่คือเหตุผลที่จ้าวหมิงได้รับข้อมูลตั้งแต่แรก

ฮังอวี่เอ่ยถาม “ใครเป็นผู้แจ้งข่าว?”

“ขุนนางเล็กเมืองธารกระจ่าง ชื่อจิ้งจอกสามแห่งเผ่าจิ้งจอก” (คนละอย่างกับมนุษย์จิ้งจอก) จ้าวหมิงพูด “หลังจากที่ผู้ส่งสารจากเมืองธารทะเลทรายมาถึง ก็ได้ทำการบีบบังคับเขา ส่งเขามายังเมืองรังอินทรีย์”

ลุคเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมถึงทำแบบนั้น?”

ฮังอวี่ตอบแทนจ้าวหมิง “เพราะเมืองรังอินทรีย์คือเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้กับสี่เมืองมนุษย์มากที่สุด นอกจากนี้สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของเมืองยังมีความพิเศษ นั่นคือง่ายต่อการป้องกันและยากต่อการโจมตี เหมาะมากที่จะใช้เป็นฐานที่มั่นทางทหาร”

“ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมขุนนางเล็กถึงถูกบังคับให้ไปที่นั่น จุดประสงค์นี้เดาไม่ยาก ไม่มีอะไรมากไปกว่าการบังคับให้ขุนนางเล็กมาเฝ้าที่นี่ เพื่อป้องกันไม่ให้ขุนนางเล็กตนอื่นๆมาเข้าร่วมกับพวกเรา”

ฉูเทียนหัวชี้ให้เห็นว่า “เมืองรังอินทรีย์เป็นจุดเสบียงและฐานสำคัญสำหรับอีกฝ่าย ถ้าพวกเราสามารถยึดเมืองนี้ได้ก่อนที่กองทัพศัตรูจะรวมตัวกัน น่าจะสามารถถ่วงเวลาพวกมันได้”

ฮังอวี่ไม่ได้ปฏิเสธ เขาถามอีกครั้ง “สถานการณ์ในเมืองรังอินทรีย์เป็นอย่างไร?”

จ้าวหมิงส่ายหัวและกล่าว “ขุนนางเมืองรังอินทรีย์เป็นลูกน้องของคาลิมัว นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่พวกเราเจรจาล้มเหลว สำหรับสถานการณ์ภายใน ฉันไม่มีข้อมูลเลย”

ฮังอวี่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ สร้างแผนในใจเขา

ฮังอวี่สั่งทันที “เลือกทีมชั้นยอดจากพลรบมนุษย์ 5,000 นายของเรา เอาซักราวๆ 500 คน แต่จำไว้ว่าต้องเป็น 500 คนที่แข็งแกร่งที่สุด เรื่องนี้ขอฝากคุณจัดการด้วยเหล่าฉู”

ฉูเทียนหัวรับคำสั่ง “รับทราบ!”

“เหล่าจ้าว ภารกิจของคุณสำคัญที่สุด ผมต้องการให้คุณโน้มน้าวจิ้งจอกสาม เพื่อให้เขาทำสิ่งหนึ่งให้เรา”

“โน้มน้าวว่าอะไร?”

“ตาย!”

จ้าวหมิงสับสน คำแรกที่นึกออกเขาคิดว่ามันไร้สาระ อย่างไรก็ตาม เหล่าจ้าวเป็นคนฉลาด

เขาสามารถไขความหมายของมันได้อย่างรวดเร็ว รู้ได้ทันทีว่าฮังอวี่ต้องการจะทำอะไร ต้องบอกว่านี่คือแผนการที่ดีในการฆ่านอกสองตัวด้วยหินเพียงก้อนเดียว!

“เข้าใจแล้ว!” จ้าวหมิงเผยรอยยิ้มมั่นคงและเชื่อถือได้ “สบายใจได้ ฉันต้องโน้มน้าวเขาสำเร็จแน่นอน ให้เขาตายอย่างเต็มใจ”

ฮังอวี่แจกแจงงานอีกสองสามอย่าง ฝูงชนรับทราบและลงมือทันที