ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 22 จงลุกขึ้น! เหล่าผู้ไม่ยอมเป็นทาส (Arise! Ye who refuse to bound slaves)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 24 ศัตรูของศัตรู (Enemy of my enemy)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 23 ความแค้นของอาเร่นา (El Arena Vindicta)


ความแค้นของอาเร่นา

(El Arena Vindicta)

มหาสมุทรอาจิเต้ตอนใต้

คลื่นทะเลสูงกระทบกับเรือเดินทะเล ลมแรงพัดจนสามารถที่จะทำให้เรือใหญ่จมลงใต้มหาสมุทรได้ง่ายดาย ท้องมหาสมุทรที่วุ่นวายสมชื่อเรียกขานของมัน ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถพิชิตและครอบครองมหาสมุทรอาจิเต้ที่ยิ่งใหญ่ได้

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครกล้าท้าทายมันเสียหน่อย อดีตผู้ท้าทายมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ นักเดินเรือที่มากด้วยประสบการณ์ นักผจญภัยผู้กล้าหาญ และผู้พิชิตทะเลทรายอาซิค (Conqueror of Açık Desert) รวมไปถึงการฆ่าล้างชนเผ่าอาซิกจนต้องหนีขึ้นเหนือผ่านเทือกเขาแห่งมังกรแดง

จักรวรรดิอาเร่นา (El Imperio Arena) จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ ตั้งอยู่ทางขวาของทวีปอัลชลาฟไวส์ ยึดครองตั้งเทือกเขาจิกันเตสเก (The Gigantesque) จากทางตอนใต้จนถึงเทือกเขามังกรแดงทางตอนเหนือ ติดกับมหาสมุทรอาจิเต้ มีเพื่อนบ้านเป็นอาณาจักรแฟแลงซ์อันศักดิ์สิทธิ์อยู่ทางซ้าย และราชอาณาจักรราวูบอร์ก (Kingdom of Ravuborg) ทางตอนใต้อีกฝั่งของเทือกเขาจิกันเตสเก และชนเผ่าที่อยู่ข้างบนหัวเธอ อาณาจักรอาซิค (Sultanate of Açık)

อย่างไรก็ตาม อดีตก็ยังคงเป็นเพียงแค่อดีต… ยุคทองของอาเร่นานั้นได้จบลงด้วยความอัปยศอดสู เมื่อผู้ท้าทายหน้าใหม่ได้ทำการเดินเรือผ่านมหาสมุทรอาจิเต้ พวกเขามาจากตอนเหนือของทวีป ผู้ท้าทายเจ้ามหาสมุทรคนใหม่

สหจักรวรรดิลีโอเนีย เหล่าอาณาจักรน้อยใหญ่บนดินแดนลีโอจากตอนเหนือ กลายมาเป็นมหาอำนาจทางด้านทะเล กลายมาเป็นคู่ปรับตลอดกาลของอาเร่นา ไม่ช้าการชิงดีชิงเด่นจึงได้เกิดขึ้น… จนมาถึงจุดแตกหักจนเกิดสงครามที่จะถูกจดจำไปตลอดประวัติศาสตร์ของทั้งสองฝ่าย สงครามแห่งการครอบครองทะเลเหนือ

อาร์มาดาแห่งอาเร่นาที่ยิ่งใหญ่ กองเรือที่เลื่องชื่อ นักเดินเรือที่มากประสบการณ์ พวกเขาท้าทายคลื่นที่วุ่นวายมาตลอดหลายร้อยปี ได้เข้าต่อสู้กับกองเรือของสหจักรวรรดิลีโอเนีย

กองเรือลีโอเนียที่นำโดย พลเรือเอกโรเบิร์ต แคมเดน มันเป็นสงครามทางเรือที่ยอดเยี่ยมที่สุดของราชห์สีแดนเหนือ

กองเรืออาร์มาดามีเรือรบจำนวน 300 กว่า และเรือสินค้าติดอาวุธอีก 100 จำนวนกะลาสีที่มากพอจะเป็นกองทัพบกของบางจักรวรรดิ ในขณะที่กองเรืออันเยาว์วัยของลีโอเนียมี เรือรบเพียง 100 และเรือสินค้าติดอาวุธจำนวน 50 ลำเท่านั้น

สงครามทางเรือครั้งนี้มันควรเป็นชัยชนะของเธอ…

แต่ทว่าในยุทธนาวีทะเลใต้ การต่อสู้ทั้งสามครั้ง กลับเป็นชัยชนะของลีโอเนียอย่างน่าเหลือเชื่อ เรือรบเข้ากระบวน (Ship of the line) ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้าและน่าหวาดกลัว ก็มาถึงจุดจบเมื่อต้องเจอกับเรือรบที่ปกคลุมไปด้วยเหล็กกล้า ที่มาพร้อมกับปืนใหญ่ที่พร้อมจะจมเรือที่กล้าท้าทาย.

อาร์มาดาที่ยิ่งใหญ่ก็กลายเป็นเพียงแค่เศษซากไม้ใต้ทะเล อดีตความรุ่งโรจน์ที่กลายเป็นเรื่องเล่าขาน ความมืดมิดไร้ซึ่งแสงหสว่าง เข้ามาแทนที่ยุคทองที่ยาวนานของจักรวรรดิอาเร่นา ความสูญเสียนั้นมากกว่าที่ผู้ใดในจักรวรรดิอาเร่นาหรือแม้แต่เพื่อนบ้านรอบตัวจะคาดคิด

มันคือความแค้นที่มิอาจจะลบเลือนได้

ชาวอาเร่นาไม่เคยหลงลืมมัน และพวกเขาเองก็พร้อมที่จะแก้แค้นลีโอเนียด้วยทุกอย่างที่มี…

ใบเรือสีขาวกลางคลื่นทะเลที่ยิ่งใหญ่ เสากระโดงทั้งสามทำให้เธอวิ่งเต้นบนผิวนํ้าได้รวดเร็วกว่าตัวเรือที่สูงใหญ่เหมือนกับสัตว์อสูรของเธอ 1 ใน 7 เรือในตำนานบนทะเลอาจิเต้ เอล เวนกันซา (El Venganza) ความภาคภูมิใจของกองทัพเรืออาเร่น่า

เธอเป็นเรือน้องสาวลำที่สองของเรือเข้ากระบวนชั้น เอล โดมินาร์ (El Dominar) แต่ก็เป็นเรือเข้ากระบวนลำเดียวที่ถูกดัดแปลงใหม่ ความเร็วและคล่องตัวที่สุดในกองทัพเรืออาเร่นา เธอสามารถที่จะแซงหน้าเรือขนาดเล็กได้อย่างน่าแปลกใจ ส่วนโค้งยาวใต้น้ำหัวเรือเป็นกระทุ้งเหล็กแหลมที่สามารถเจาะทำลาย และหักครึ่งศัตรูของเธอได้เหมือนหักกิ่งไม้ ความเร็วของเธอมาจากเวทมนตร์ชาวอาเร่น่า พวกเขาชํานาญการใช้เวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องกับสายลม

นั้นอาจจะเป็นคำตอบของผู้พิชิตทะเลทรายก็เป็นไปได้…

เรือในตำนานเดินเรืออยู่กลางมหาสมุทรพร้อมกับเรือรบและเรือสินค้าติดอาวุธอีกจำนวนมากที่ตามมาเป็นขบวนขนาดใหญ่ไพศาล เป็นเวลาที่นานมาแล้วที่กองเรืออาร์มาดาจะได้ลิ้มรสเขม่าดินปืนและเลือดเนื้อ บัดนี้อาเร่นาได้เข้าสู่สงครามทะเลอีกครั้งแล้ว และเป้าหมายของอาเร่นาก็มีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น

เป้าหมายที่ว่าก็คือการล้างแค้น! และจะเป็นการล้างแค้นที่ชาวอาเร่นาจะทุ่มสุดตัวอีกครั้ง!

เอล เวนกันซา เรือที่เต็มไปด้วยความแค้นของจักรวรรดิ อยู่หน้ากองเรืออาร์มาดา นำขบวนเรือรบขึ้นเหนือ แน่นอนว่ากองเรือของอาเร่นาถูกจับมองโดยลีโอเนียมานานแล้ว จักรวรรดิเดียวที่สามารถท้าทายอำนาจของลีโอเนียก็มีเพียงแค่ แฟแลงซ์ และ อาเร่นาเท่านั้น และยิ่งเป็นจักรวรรดิอาเร่นา ผู้ซึ่งมีคู่ปรับทางทะเลแล้ว สหจักรวรรดิลีโอเนียเองก็ต้องระวังเป็นพิเศษ

ไม่ช้าก็เร็ว สหจักรวรรดิลีโอเนียก็ต้องพบกับสงครามอีกครั้ง เมื่ออาเร่นาประกาศสงครามเพื่อยุติการขยายกองเรือของลีโอเนีย และให้การสนับสนุนกบฏในทวีปอาริกาเซีย สร้างความตึงเครียดบนทวีปอัลชลาฟไวส์อีกครั้งหลังจากสิ้นสุดสงครามลีโอ-ทูเดียมาได้ไม่นาน

เสียงคลื่นทะเลที่กระทบกับตัวของเอล เวนกันซา เรือแล่นอยู่บนผิวนํ้าไร้ซึ่งผู้ท้าทาย ภายในห้องโถงของเรือยักษ์มีชายวัยชราในเครื่องแบบสีเทา หมวกไบคอร์เน่สีดำ และหนวดสีขาวที่ยาวโดดเด่น กัปตันเรือ เอลเวนกัน พลเรือเอกแห่งกองเรืออาร์มาดา

แม้ว่าจะเป็นอายุมากแต่อย่าให้ใบหน้าที่ชราเฒ่านั้นหลอกได้ เขาใช้ชีวิตบนเส้นทางของสงครามทางทะเลมาตลอดชีวิต

เขามองแผนที่แสดงพื้นทะเลอาจิเต้ที่มีรายละเอียดเกือบ ทุกอย่างที่อยู่ในแผนที่อันนี้ มาจากเลือดเนื้อกะลาสีเรือชาวอาเร่นาที่ท้าทายอาจิเต้มาตลอดหลายร้อยปี

ข้างๆโต๊ะแผนที่เป็นเครื่องมีคำนวณเส้นทาง และลูกแก้วสีฟ้าอ่อนอันเป็นอุปกรณ์สื่อสารเวทมนตร์ เขาถอนหายใจและกล่าวพูดกับลูกแก้ว “เฮ้อ… ข้าไม่อยากจะเชื่อคำพูดของลูกหลานชาวลีโอเนีย… ตอนนี้ก็คงเรียกว่าชาวอาริกาเซียแล้วสินะ” เขาชะงักเล็กน้อย “แต่กองเรือลีโอเนียมันถูกแยกออกจากกันจริงแท้แน่หรือ?”

[ เจ้าจงเชื่อในสิ่งที่สายลับชาวอาริกาเซียกล่าวมาเถิด กองทัพลีโอเนียจำนวนมากยังไม่สามารถที่จะปราบกบฏพวกนั้นได้ ผ่านมาเป็นหนึ่งปีกว่าๆ พวกเหล่าล้วนรับรู้ว่ากองกำลังกบฏอาริกาเซียนั้น สามารถที่จะสู้กับลีโอเนียได้ แถมพวกเขาก่อตั้งดินแดนและแยกตัวออกมาเป็นที่เรียบร้อยอีกด้วย ]

เสียงจากลูกแก้วเป็นของวัยรุ่นผู้ชาย แม้ว่าเสียงจะเด็กแต่คำพูดของเขาก็เต็มไปด้วยอำนาจ

[ แม่มดแห่งอากิดโดเองก็คงเดินทางมาพร้อมกับกองเรือของเธอ เพราะงั้นแล้ว… พลเรือเอก หลุยส์ เดอ คอนติดิส (Louis de Contidis) จงล้างแค้นให้กับอาเร่นาและเรือธงของพวกเรา จงล้างแค้นให้กับเอล โดมินาร์ และจมแม่มดแห่งอากิดโดลงใต้มหาสมุทรอาจิเต้เสีย!  ]

“เป็นไปตามประสงค์ของพระองค์… ความแค้นของท่านก็คือความแค้นของเรา!” สิ้นเสียงชายชราเขาก็เดินออกจากห้องโถงเรือ

ออกมาข้างภายนอกก็เจอกับลมทะเลที่กระทบใบหน้าของพลเรือเอกชรา เสียงของกะลาสีเรือวุ่นวายกับการดูแลเรือที่ยิ่งใหญ่ให้เดินได้อย่างไร้ซึ่งอุปสรรค เขาเปลี่ยนทางไปอีกฝั่งของเรือเดินขึ้นบันไดผ่านกะลาสีเรือของเขา ทุกคนล้วนรู้หน้าที่ของตนเฉกเช่นเดียวกับกัปตันเรือ เขาเดินขึ้นมาอยู่บนสะพานเดินเรือ

ใบเรือขนาดใหญ่ที่ปิดอยู่ตรงหน้าของเขา สายตาของกัปตันเรือเอล เวนกันซา มองไปยังขอบฟ้าทะเลด้านขวา ก่อนที่เขาจะตะโกนเสียงดังพอที่จะลูกเรือที่อยู่ใกล้สะพานเรือได้ยินและส่งต่อข้อความของกัปตันเรือในตำนาน

“นักเวทเสริมแรงลมไปทางข้างหน้า กางใบเรือให้สุด !! ในนางได้โลดแล่นบนผิวนํ้าไปพร้อมกับความแค้น”

……

.

.

.

.

.

.

สิงหาคม ศักราชอองโทราลที่ 3926 มหาสมุทรอาจิเต้ตอนใต้

กองเรือที่ 1 ของสหจักรวรรดิลีโอเนีย กองเรือใต้ เดินเรือออกจากท่าเรือลงใต้อย่างรวดเร็วหลังรับรู้การมาถึงของกองเรือของจักรวรรดิอาเร่นา ท้องฟ้าที่มืดครึ้มเหมือนพายุจะเข้า ทำให้พลเรือเอกของกองเรือที่ 1 กัปตันโรเบิร์ต แคมเดน ทำการสั่งการให้นำหันเรือกลับเขตแดนของลีโอเนีย

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็เจอกับสิ่งที่ไม่คาดฝัน เมื่อมีเรือบางลำสังเกตเห็นขอบฟ้าทะเลที่ผิดแปลก

“กัปตันผมไม่ได้ตาฝาดอย้างแน่นอน แต่ทางด้านซ้ายของขบวนเรือเราเป็นเรือจำนวนมาก ไม่ทราบว่าเป็นกองเรือของผู้ใด แต่พวกเราเองก็คงคาดว่าเป็นของพวกอาเร่นาครับ” ชายผู้เป็นต้นเรือกล่าว ในมือของเขายังคงใช้กล้องส่องไปยังอีกฝั่งของกองเรือ

“เป็นไปไม่ได้! กองเรืออาร์มาดาเป็นกองเรือขนาดใหญ่ พวกเขาต้องใช้เวลาเดินทางนานกว่าพวกเรา… เว้นเสียแต่ว่า… พวกเขาจะรู้ว่าเราอยู่ส่วนไหนของทะเล” กัปตันโรเบิร์ตมีสีหน้าที่ไม่ดีนัก กองเรือลีโอเนียถูกแยกเป็นสองส่วนเพราะการก่อกบฏในอาริกาเซีย หากเป็นไปได้พวกเขาก็ควรที่จะถอยกลับไปก่อน… ‘ แต่ก็ไม่สามารถที่จะถอยหนีได้ทั้งหมด.. จำเป็นต้องมีเรือหลายลำค่อยสกัดกันเอาไว้ ’

กัปตันโรเบิร์ตกัดฟันและยอมสั่งการเข้าสู้สงครามทางเรืออย่างไม่เต็มใจ

ขบวนเรือลีโอเนียแปรขบวนเรือ เป็นแนวเส้นโจมตีเป็นแถวยาว เป็นยุทธวิธีพิื้นฐานของลีโอเนียและจักรวรรดิทางทะเล เสียงฟ้าร้องเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงพายุ กะลาสีเรือมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆคึมดำ ทุกคนล้วนกังวลเล็กน้อย สงครามในพายุบนมหาสมุทรอาจิเต้เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ นอกจากมหาสมุทรแห่งนี้จะมีคลื่นทะเลที่รุนแรงแล้ว พายุเองก็เป็นตัวที่ทำให้การเดินเรือนั้นยากลำบากอย่างยิ่ง

สายลมเป็นใจให้กับทั้งสองกองเรือ พวกเขาเดินเรือตามสายลมพายุที่บ้าคลั่ง ไม่ช้านํ้าฝนก็ได้ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า เม็ดฝนเล็กๆกระทบกับใบเรือเปลี่ยนให้ผ้าสีขาวเปียกเล็กน้อย มันค่อยตกลงมาเบาๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนไปเป็นฝนที่ตกอย่างรุนแรง

เทพเจ้าแห่งท้องทะเลกับพิโรธ เหมือนกับเหล่ากะลาสีเรือที่ตะโกนเสียงดังเมื่อแถวเรือรบเข้าระยะยิง

เสียงของกัปตันเรือที่อยู่ในระยะยิง ตะโกนสั่งลูกเรือของตัวเอง ปืนใหญ่บนเรือรบถูกปลดปล่อย เศษไม้จากเรือรบของทั้งสองฝ่ายกระเด็นไปทั่ว คลื่นทะเลที่ซัดลูกเรือจนตกลงไปยังใต้ทะเลที่เกรี้ยวกราด หายไปกับเรือที่ถูกยิงจนจมลง กลิ่นของนํ้าฝนที่ปะปนกับกลิ่นของดินปืน

เรือรบของสหจักรวรรดิต้องเจอกับปืนใหญ่บนเรือของอาเร่นาระดมยิงด้วยอำนาจที่สูงกว่า จนเสียหายไปเป็นจำนวนมาก แต่ราชสีห์แดนเหนือหาได้ยอมไม่ พวกเขาจง

แม่มดแห่งอากิดโด ปลดปล่อยพลังอำนาจของปืนใหญ่ 13.5 นิ้ว (343 มม.) ที่ยิ่งใหญ่ 2 ลำกล้อง บนตัวเรือมีปืนใหญ่ติดอยู่ 2 กระบอก ตัวเรือที่เป็นเหล็กสามารถปกป้องการโจมตีทุกอย่างจากเรือรบฝั่งตรงข้าม ในขณะที่ปืนใหญ่ของเธอปลดปล่อยแรงระเบิดใส่ฝั่งตรงข้าม

เพียงแค่หนึ่งนัดก็สามารถจมเรือรบของจักรวรรดิอาเร่น่าลงได้ทันที…

“กัปตัน! มีเรือพุ่งตรงมาทางนี้ครับ!” ในขณะที่ปืนใหญ่ของแม่มดแห่งอากิดโดยังคงคำรามดัง เสียงของลูกเรือก็ได้ตะโกนขึ้นมา กัปตันโรเบิร์ตรีบหันไปหาเรือที่เข้ามาเรือเหล็กของเขาอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

“หันกราบขวาเรือเต็มกำลัง ! หลบเจ้าเรือบ้านั้นเร็วเข้า!!”

“ความเร็วสูงสุด ! ดำดิ่งไปใต้มหาสมุทรเสีย!!”

เสียงของทั้งพลเรือเอกสองสามารถได้ยินไปทั่วผิวมหาสมุทรอาจิเต้ ไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีเวทมนตร์เร่งเสียง หากแต่เป็นเพราะเรือรบขนาดใหญ่เท่ากัน พุ่งตรงเข้ามาหา อย่างไม่แกร่งกลัว

เรือรบ เอล เวนกันซา ของพลเรือเอกหลุยส์ เรือธงของอาเร่นา หากเป็นเรือใบปกติแล้วก็คงไม่สามารถที่จะทำความเร็วพอที่จะชนเรือข้าศึกได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เอล เวนกันซา กลับสามารถทำความเร็วพอๆกับเรือโจรสลัดที่รวดเร็ว เร็วเสียยิ่งกว่าแม่มดแห่งอากิดโดที่เป็นเรือสมัยใหม่

!!?? “เตรียมรับแรงกระแทก!” กัปตันโรเบิร์ตรู้ว่าเขาไม่สามารถหลบได้แล้ว รีบหาที่เกาะจับ

เสียงดังยิ่งกว่าปืนใหญ่บนท้องทะเล มันดังมากพอที่จะแทนที่เสียงของฟ้าคะนองในขณะนี้ อาวุธหลักของ เอล เวนกันซา กระแทกด้านข้างแม่มดแห่งอากิดโด แรงสั่นสะเทือนหลังจากเรือทั้งสองชนกัน ทำให้กะลาสีเรือหลายคนล้มลง บางก็ตกลงไปในกระแสน้ำทะเลที่วุ่นวาย บ้างก็ตกลงไปในกระแสน้ำทะเลที่วุ่นวาย บ้างก็กระแทกกับตัวเรือจนได้รับบาดเจ็บ แต่เป็นที่รับรู้กันว่าในการพุ่งชนเช่นนี้จะต้องมีผู้เสียชีวิตเป็นแน่

การโจมตีของ เอล เวนกันซาคือความโกรธของอดีตเจ้าสมุทร

ตัวเรือเหล็กยักษ์เริ่มเอียงไปทางขวา คลื่นทะเลที่ซัดอย่างรุนแรงเป็นการเสริมแรงผลัก หากเป็นเรือทั่วไปก็คงได้หักครึ่งไปเสียแล้ว

โชคยังดีที่แม่มดแห่งอากิดโดยังคงเดินเรือได้ แม้ว่าส่วนกราบเรือด้านซ้ายที่ถูกเอล เวนกันซาเจาะจนนํ้าเข้าก็ตาม ความเสียหายนั้นมากพอที่จะทำให้เรือเหล็กจมลงใต้นํ้าได้อย่างแน่นอน กัปตันโรเบิร์ตสั่งการให้เดินเรือพาเรือธงหนีออกจากทะเลที่วุ่นวายอย่างเร่งรีบ เรือเหล็กนี้มีค่ามากกว่ากองเรือจำนวน 50 กว่าลำ

เอล เวนกันซา ดึงตัวเองออกจากเรือเหล็กคู่อาฆาตเพื่อทำการหันและเปิดมุมยิงปืนใหญ่ของเธอ แค่เมื่อเรือเหล็กหลุดออกจากเหล็กแหลมของเอล เวนกันซาได้ เธอก็เร่งเครื่องหนีออกห่างอย่างรวดเร็ว

เสียงสัญญาณจากเรือธงของลีโอเนียดังไปทั่ว สนามรบบนนํ้าทะเล เป็นการบ่งบอกให้ถอนทัพหนี กองเรือลีโอเนียที่พวกเขาภูมิใจนักภูมิใจนา กลับได้รับบาดแผลที่ใหญ่ โดยอย่างยิ่ง เรือธงแม่มดแห่งอากิดโดที่หนีรอดไปได้

จักรวรรดิอาเร่นาได้รับชัยชนะบนมหาสมุทรอาจิเต้ตอนใต้ แม้ว่าจะไม่สามารถจมเรือธงคู่แค้นของจักรวรรดิ แต่อย่างน้อย ทุกคนบนอองโทราลก็ได้รับรู้ว่า สงครามครั้งใหม่ได้มาถึงอัลชลาฟไวส์เป็นที่เรียบร้อย

วิกฤตที่เลวร้ายที่สุดของสหจักรวรรดิได้มาถึง พายุโหมกระหน่ำ ซากเรือลีโอเนียที่ลอยนํ้าและดําดิ่งลงใต้ความมืดมิด ท้องฟ้าสีดำที่ใกล้เข้าดินแดนของราชสีห์แดนเหนืออย่างช้าๆ ความทะเยอทะยานของลีโอเนียกำลังจะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วหรือไม่ หรือมันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบางสิ่งกันแน่?

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด