ตอนที่แล้วSN-ตอนที่ 22 ปัญหาของวิธีการล่องหน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSN-ตอนที่ 24 กีสต์

SN-ตอนที่ 23 การเลี้ยงดูอัลฟ่าสไตร์เกอร์


“เธอทำได้ดีมาก” อัลดิชได้กล่าวพูดกับ วาเลร่า เขาหยุดและพยักหน้าให้กับเธอ และ หวังว่านี่จะเพียงพอทำให้เธอมีความสุข เพราะเขาไม่คุ้นเคยกับการชมคนอื่นอยู่แล้ว เพราะเขาอยู่ตัวคนเดียวมาโดยตลอด

สิ่งเดียวที่เขาได้รับคือคำชมจากพ่อแม่ของเขา และ การสรรเสริญเช่นนั้นก็มาจากหัวใจที่อบอุ่นของพวกเขา

มันก็นเป็นเวลาหลายปีแล้วที่ความอบอุ่นเช่นเดียวกันนั้นได้หายไปจากหัวใจของ อัลดิช

“ขอบพระคุณนายท่าน!” วาเลร่ากล่าวพูดพร้อมกับโค้งคำนับอย่างเหมาะสม ‘อื้ม’ เธอพยักหน้าให้กับตัวเอง และ ยิ้มรับคำชมจาก อัลดิช

ขณะที่ วาเลร่า กำลังยกย่อง อัลดิช , อัลดิช ก็กำลังถูกครอบงำโดยค่าประสบการณ์ที่ไหลเข้าสู่ตัวของเขา

[สังหาร อัลฟ่าสไตร์เกอร์!]

[+70 EXP]

[สังหาร สไตร์เกอร์ x10!]

[+100 EXP]

[แถบ EXP : 75/250 > 245/250]

อัลดิช ถอนหายใจออกมา อีกเพียงแค่ 5 หน่วย เขาก็จะขึ้นเลเวล 7 แล้ว เขาเกลียดความรู้สึกในการต่อสู้ที่ทำให้เลเวลไม่อัพ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นได้

“ตอนนี้มาดูวิธีการเลี้ยงอัลฟ่าตัวนี้กันดีกว่า” อัลดิช กล่าว เขาได้ก้าวข้ามไปยังศพของ อัลฟ่าสไตร์เกอร์ ที่ถูกกระแทกไปจนลำตัวเสียบเข้ากับต้นไม้ และ มีโล่ทับเอาไว้ อัลดิช พยายามยกโล่ของ วาเลร่าออกแต่เขาพบว่ามันหนักเป็นอย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้น พลังเหนือมนุษย์ในปัจจุบันของเขายังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว “วาเลร่า - ฉันขอรบกวนเธอช่วยยกโล่นี้ออกไปหน่อยจะได้ไหม”

“โอ้ แน่นอนนายท่าน!” วาเลร่า กล่าว เธอรีบวิ่งไปที่โล่และยกมันออกมาอย่างง่ายดาย โดยสิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างโดยสิ้นเชิงระหว่าง ตัวละครประเภทนักรบที่ทุ่มค่าสถานะไปกับค่าพลังกายโดยส่วนใหญ่ กับ ตัวละครประเภทนักเวทอย่าง อัลดิช

ศพของ อัลฟ่า ได้เลื่อนตกลงมาและกระแทกลงกับพื้นอย่างเงียบ ๆ

อัลดิช ยังคงระมัดระวัง โดยเขาได้ให้โครงกระดูกของเขาเล็งและยืนปกป้องศพเอาไว้

มันมีตัวแปรมากมายที่อาจจะเกิดขึ้นโดย โดยทั่วไปแล้ว ยิ่ง วาแลน แข็งแกร่งเท่าไหร่ พลังของมันก็จะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น

ซึ่ง อัลฟ่าสไตร์เกอร์ ตัวนี้ ก็เป็น วาแลน ที่แข็งแกร่ง และ มันอาจจะมีพลังการฟื้นฟูกล้ามเนื้อกลับมาได้

แต่ความกังวลของ อัลดิช ก็ได้หายไป เมื่อเขาเห็น รูปหลุมศพลอยอยู่บนร่างของอัลฟ่าสไตร์เกอร์

ในการเลี้ยง อัลฟ่า อัลดิช จำเป็นจะต้องหาที่ว่าง ซึ่งการควบคุมยูนิตของเขาสูงสุดอยู่ที่ 8/8 แล้ว

“มานี่” อัลดิช ได้ดีดนิ้วของเขา และ 1 ใน 3 สไตร์เกอร์ ก็มายืนด้านข้างเขา “ขอบคุณสำหรับความพยายามของแก ตอนนี้ไปพักได้แล้ว”

อัลดิช ได้ลูบหัวของ สไตร์เกอร์ เป็นครั้งสุดท้าย และ สไตร์เกอร์ ก็เลียมือของ อัลดิช และ พยักหน้าก่อนที่มันจะสลายหายไปในความว่างเปล่า

[ยูนิตที่ควบคุม : 8/8 > 7/8]

“เดี๋ยวก่อน” อัลดิช กล่าวขณะคุกเข่าลงที่ศพของ อัลฟ่าสไตร์เกอร์ เขาได้ดึงมีดสั้น 2 เล่มที่ติดอยู่ในดวงตาออกมาและโยนไปข้างหลังเขา “รับไป หากไม่มีมีดสั้นเหล่านี้แกจะทำงานได้อย่างไร”

โครงกระดูกโจร ได้พลิกตัวขึ้นไปในอากาศและคว้าจับมีดสั้นทั้ง 2 เอาไว้อย่างสง่างามก่อนที่จะคุกเข่าลง และ ก้มศีรษะให้กับ อัลดิช ดูเหมือนว่ากะโหลกศีรษะของมันจะร้าวจากการถูกกระแทกด้วยคลื่นกระแทกของ อัลฟ่าสไตร์เกอร์ และ ไปชนเข้ากับต้นไม้

อัลดิช ได้เปิดใช้ [กลิ่นอายแห่งความตาย ระดับ 1] ของเขา ทันใดนั้นออร่าสีเขียวขุ่นคล้ายกับหมอกก็ปรากฏขึ้นรอบตัวเขา และ มันได้ปกคลุมไปทั่วร่างของพวกมันในทันที จากนั้น พลังเหล่านี้ ก็รักษาพวกมัน ทว่า พื้นที่อยู่โดยรอบตัวเขาก็เริ่มเหี่ยวเฉาและตายไป ดูเหมือนว่าพลังชีวิตของพวกมันจะถูกดูดออกไปอย่างต่อเนื่อง

“สูดด!” วาเลร่า ได้สูดลมหายใจเข้าลึก เธอเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีที่มีความสุข “นี่คือกลิ่นของนายท่าน - ข้าหมายถึง กลิ่นอายพลังงานด้านลบของนายท่าน!”

“ระดับของมันยังคงต่ำอยู่ในขณะนี้ แต่ฉันวางแผนไว้แล้วที่จะปรับปรุงระดับของมัน” อัลดิช กล่าวออกมา “และ ฉันอยากจะรู้เหมือนกันว่า ผู้วิวัฒ กับ วาแลน ระดับสูง จะสามารถจัดการกับพลังงานสูงสุดของมันได้อย่างไร ในเมื่อฉันต้องการจะตรวจสอบเรื่องนี้ ฉันก็จำเป็นที่จะต้องยกระดับพลังงานนี้อย่างรวดเร็ว”

“แต่อย่างน้อยในตอนนี้ ท่านก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผู้ที่อ่อนแออีกต่อไปแล้ว” วาเลร่า กล่าวขณะที่เธอจ้องมองไปที่ ศพของสไตรเกอร์อย่างดูถูก

“อืม” อัลดิช ครุ่นคิดอยู่ครู่นึง [กลิ่นอายแห่งความตาย] ของเขามีแนวโน้มที่จะฆ่าผู้บริสุทธิ์นับไม่ถ้วนด้วยการปรากฏตัวของเขา

แต่ถ้าเขาจำเป็นจริง ๆ เขาก็จะทำ

ลึกลงไปถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยทำมาก่อน แต่เขาก็เต็มใจที่จะเสียสละชีวิตเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ถ้าเขาต้องเสียสละผู้บริสุทธิ์หลายร้อยคนเพื่อเอาชีวิตรอดในวันอื่นและช่วยชีวิตอีกนับไม่ถ้วนในอนาคต เขาก็จะลงมือทำมันโดยไม่ลังเล

หากมันสามารถช่วยให้เขาแก้แค้นเหล่าคนร้ายพวกนั้นได้

เขาก็ยินดีที่จะลองใช้ชีวิตของเขาเปรียบเสมือนตัวละครในเกม

เขาไม่ใช่วายร้าย และ ไม่ใช่ฮีโร่ , ฮีโร่ที่แท้จริงในใจของเขามีเพียงพ่อแม่ของเขาเท่านั้น

แต่เขาได้สูญเสียความเคารพนับถือขั้นพื้นฐานสำหรับทุกชีวิตไป หลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต เพราะตราบใดที่เขามีชีวิตอยู่ เขาก็จะสามารถแก้แค้นพวกคนร้ายเหล่านั้นได้

และตอนนี้ในฐานะอันเดด ความคิดเหล่านี้ก็ยิ่งโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

แต่สิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดย อัลดิช ได้วางมือของเขาลงบนหัวของ อัลฟ่าสไตร์เกอร์

“ปลุกอันเดด” เขาได้กล่าวออกมา

[-5 มานา]

[มานา : 93/93 > 88/93]

เส้นพลังงานสีเขียวได้ไหลเข้าสู่ร่างของ อัลฟ่าสไตร์เกอร์ และ ทำให้ศพของมันสั่นไหวก่อนที่จะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนด้วยขาทั้งสี่ของมัน บาดแผลที่หน้าอกที่อ้าปากค้างจากโล่ของ วาเลร่า ยังคงมองเห็นได้ชัดบนท้องของมัน ซึ่งตรงช่องอกนี้ได้เผยให้เห็นอวัยวะภายใน และ นอกจากนี้ มันยังไม่มีลูกตาอีกด้วย แต่บาดแผลทั้งหมดนี้จะงอกใหม่เมื่อเวลาผ่านไปต่อหน้าของ อัลดิช

[อัลฟ่าสไตร์เกอร์ เลเวล 7]

[ยูนิตที่ควบคุม : 7/8 > 8/8]

อัลดิช ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับ อัลฟ่าสไตรเกอร์ เขาตั้งข้อสังเกตุว่าเขาไม่รู้สถานะที่แน่นอนของตัวแปรที่ฟื้นคืนชีพ เพราะมันไม่มีหน้าจอสถานะเฉพาะที่ให้รายละเอียดเป็นตัวเลขและคำพูด แต่เขารู้สึกว่าพวกมันแข็งแกร่งแค่ไหน และ พวกมันสามารถทำอะไรได้บ้าง

จากความรู้สึกทั่วไปนี้ ตัวแปรที่ได้รับการฟื้นฟูก็คือ ‘เลเวล’ ที่ใกล้เคียงกับความสามารถในการต่อสู้ของพวกมัน แต่ อัลดิช รู้ว่า ระดับเหล่านี้ไม่ได้ถูกต้องทั้งหมด เพราะว่ามันมีสถานะทางกายภาพและพลังการต่อสู้ที่สูง แต่ใช่ว่ามันจะสามารถต่อสู้ท่ามกลางสถานการณ์การต่อสู้ได้ทั้งหมด

อัลดิช ตั้งทฤษฏีว่า วาแลน เหล่านี้ ไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสถานะนอกเหนือจากเลเวลของพวกมัน เพราะพวกมันไม่เข้าค่ายกับกลไกเกมของ Elden World เขาจินตนาการว่าสิ่งนี้น่าจะคล้ายกับผู้วิวัฒที่ฟื้นคืนชีพเช่นเดียวกัน

“ฉันพอจะเข้าใจแล้ว แกมีพลังที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างคลื่นกระแทก และ ตรวจจับกลิ่น” อัลดิช กล่าว เขาตั้งข้อสังเกตุว่าตัวแปรที่เหนือกว่าระดับ E นั้นมีความโดดเด่นทางด้านความสามารถหลายอย่าง และ เขาคิดว่า อัลฟ่าสไตร์เกอร์นั้นจะต้องเป็นตัวแปรระดับ D อย่างแน่นอน “ดี อย่างน้อยมันก็สามารถยืนยันได้ว่า ผู้วิวัฒส่วนใหญ่ที่มีความสามารถในการตรวจจับ ไม่สามารถมองเห็นผ่านการซ่อนตัวได้”

ผู้วิวัฒ หรือสิ่งมีชีวิตใด ๆ ที่มี AC เซลล์ และ อวัยวะภายในที่เป็นเอกลักษณ์ ยิ่งจำนวนกเซลล์ของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้น อวัยวะภายในของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยเซลล์เหล่านั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปแบบการไหลที่ไม่ซ้ำกัน ดังนั้น หน่วยงานผู้วิวัฒถึงสามารถรักษาฐานข้อมูลของผู้วิวัฒและพลังของพวกเขาได้

โดยการเปลี่ยนแปลงที่ใช้พลังปกปิดตัวเองไม่ได้ปกปิดแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการไหลของพลังงานภายในร่างกายอีกด้วย และ สิ่งนี้ทำให้พวกเขาไม่สามารถตรวจพบได้ด้วยรูปแบบโดยทั่วไปด้วยเทคโนโลยีการตรวจจับผู้วิวัฒ

วิธีเดียวที่พวกเขาจะดูวิธีการปกปิดในอดีตที่มาจากพลังผู้วิวัฒก็คือการใช้การตรวจจับที่มาจากพลังผู้วิวัฒ อย่างไรก็ตาม พลังจากการตรวจจับนั้นหาได้ยากมากกว่าพลังการปกปิด สิ่งนี้ทำให้ความสามารถของอัลฟ่าสไตร์เกอร์ในการตรวจจับกลิ่นของมันค่อนข้างมีประโยชน์

อัลดิช ยืนขึ้น และ วางมือลงบนหัวของ อัลฟ่าสไตร์เกอร์

“วาเลร่า” อัลดิช หันไปหา วาเลร่า ที่จ้องมองไปที่ อัลฟ่าสไตร์เกอร์ ด้วยความอิจฉา “เธอสามารถจัดการกับซากศพที่เหลือเหล่านี้ได้”

“ค่ะ นายท่าน” วาเลร่า กล่าวออกมา ขณะที่เธอปลดปล่อยพลังออกมาพร้อมกับจ้องมองไปที่ อัลฟ่าสไตร์เกอร์ สิ่งนี้ทำให้ สัตว์ประหลาดที่ไม่มีตา รู้สึกตัวสั่นและสัมผัสได้ถึงอันตราย ดังนั้นมันจึงได้แยกตัวออกห่างจากอัลดิช

จากนั้น วาเลร่า ก็ยกมือขึ้นไปในอากาศและกำหมัด ทันใดนั้น ศพของสไตร์เกอร์ทั้ง 10 รอบตัวเธอก็สั่นก่อนที่เลือดของพวกมันจะไหลออกมา และ มารวมตัวกันอยู่โดยรอบตัวของเธอเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับทรงกลมสีแดงเข้มรอบตัวเธอ

นี่คือ [Crimson Furnace] ซึ่งเป็นความสามารถเฉพาะตัวของ วาเลร่า ยูนิตใด ๆ ที่เธอฆ่าจะมีเลือดไหลออกมาและก่อตัวเป็นบาเรียรอบตัวของเธอ ไม่ว่าดาเมจใด ๆ ที่เธอได้รับมันจะส่งผ่านไปยังบาเรียนี้ ทำให้ เธอมีประโยชน์ในการแทงค์มากยิ่งขึ้น และ เมื่อเวลาผ่านไป ความทนทานของมันก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ บาเรียนี้ยังมีความสามารถในการต้านทานเวทย์มนตร์และพลังงานอีกด้วย ซึ่ง ร่างของเธอที่มีการป้องกันทางกายภาพแต่เดิมอยู่ก่อนแล้ว พอมีการต้านทานเวทย์มนตร์เพิ่มเข้ามาก็ทำให้เธอมีความสมดุลเป็นอย่างดี

ในทางรุก บาเรียสามารถจุดไฟและกลายเป็นระเบิดรอบทิศทางขนาดใหญ่รอบตัวเธอได้ โดยสิ่งนี้ขึ้นอยู่กับความเสียหายที่มันดูดซับและซึมซับเอาไว้ ในกรณีที่ วาเลร่า มีค่า HP เหลือ 10% ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าและทำให้มันเป็นการโจมตีที่พิเศษในครั้งเดียว

หรือในแง่ของอรรถประโยชน์ มันสามารถใช้รักษาเธอได้ แม้ว่าในอัตราการรักษาจะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าการบริโภคเลือดโดยตรง แต่มันก็ถือว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมาก

“เอาล่ะ” อัลดิช ได้กล่าวพูดขณะที่เห็นบาเรียของวาเลร่าแข็งตัวและกลายเป็นเปลือกแข็ง“พวกเราควรไปต่อ—”

อัลดิช หยุดชั่วคราวหลังจากได้รับสัญญาณแจ้งเตือนอันตรายจาก ดวงตาปีศาจ

เขาได้เชื่อมต่อการเชื่อมโยงการมองเห็นของเขากับดวงตาปีศาจและทำให้เขาพบเห็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องกลั้นหายใจ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด