ตอนที่แล้วSN-ตอนที่ 19 วาเลร่า
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSN-ตอนที่ 21 หน้ากากมหัศจรรย์

SN-ตอนที่ 20 การเตรียมความพร้อม


“เราต้องออกจากที่นี่โดยเร็ว” อัลดิช กล่าวพูดออกมา เขามองดูป้ายสัญลักษณ์อย่างเอ้อระเหย เขาไม่สามารถรั้งอยู่ที่นี่ได้ แม้ว่ามันจะหมายถึงการละทิ้งสัญลักษณ์และความปลอดภัยของเน็กซัสก็ตาม

เพราะจะมีการสอบสวนเรื่องการตายของโกสต์ในไม่ช้านี้ และ ส่วนนี้ของป่าวาแลนก็ตื้นมากพอที่ฝ่ายค้นหาจะเดินเตร่มาถึงที่นี่

อย่างน้อยในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อัลดิช จำเป็นจะต้องย้ายออกจากสถานที่แห่งนี้

นั่นหมายถึงการเข้าถึงเน็กซัสไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป

จะไม่มีการเติม [น้ำยาโพชั่น] ของเขาอย่างรวดเร็ว และ เข้าถึงสิ่งประดิษฐ์

จนกว่าเขาจะได้รับป้ายอีกอันซึ่งเขาจะได้รับมันก็ตื่อเมื่อเขาทำภารกิจทดลองครั้งแรกสำเร็จ

“พวกแก 3 ตัว”อัลดิช ได้ปรบมือและสั่งสไตร์เกอร์“กระจายซากศพของ โกสต์บางส่วนไว้ที่นี่และที่นั่น จากนั้น ก็กลบขยะที่นี่ด้วยรอยเท้าและเล็บของพวกแก”

หลังจากทำเช่นนี้ อัลดิช ก็จะสามารถวางใจได้ว่าไม่ว่าใครก็ตามที่ค้นพบสถานที่แห่งนี้และศพของโกสต์พวกเขาก็จะคิดว่าโกสต์เสียชีวิตเพราะวาแลน และ จะไม่มีการสอบสวนเพิ่มเติม

นอกจากนี้ อัลดิช ยังต้องคิดด้วยว่าตอนนี้เขาจะไปที่ไหน เพราะมันไม่มีทางที่เขาจะกลับไปที่แบล็ควอเตอร์ได้ เพราะเขาคือคนที่ควรจะตายไปแล้ว

คำตอบก็คือ เมืองฮาเว่น ที่นั่น เขาอาจจะพบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เซ็ท โซลาร์ และ กลุ่มของเขา

และอย่างน้อยในเมืองฮาเว่น ก็เป็นเมืองที่มีประชากรอย่างน้อย 300,000 คน เขาสามารถหลบซ่อนตัวและไม่เปิดเผยตัวตนได้

ที่นั่นเขาสามารถรอและรวบรวมข้อมูลในขณะที่ออกล่อเพื่อปรับปรุงเลเวลในป่าวาแลนได้

เขาสามารถรอจนกว่า เซ็ท โซลาร์ และ กลุ่มของเขาที่ลดน้อยลงมาปาร์ตี้สุดสัปดาห์ที่นี่ ซึ่งเขาสามารถเลือกโจมตีอีกฝ่ายได้ เพราะมันห่างไกลจากการป้องกันของแบล็ควอเตอร์

ประเด็นในตอนนี้ก็คือการเดินทางไปเมืองฮาเว่น

อัลดิช ได้หยิบกระเป๋าของโกสต์ขึ้นมาและเปิดออก เขาพยายามหาสิ่งที่มีประโยชน์ ทว่าเขาพบซองยาและเข็มฉีดยา สิ่งนี้ทำให้เขาโยนทิ้งไป

สิ่งที่มีประโยชน์ก็คือ Eye-Phone.

ปัญหาเดียวก็คือมันถูกล็อคไว้โดยลายนิ้วมือของ โกสต์ และ อัลดิช ไม่ได้ทำให้ชายผู้นี้กลายเป็นอันเดดของเขา เพราะเขาไม่คิดจะสร้างส้วมให้ยืนอยู่เคียงข้างเขา

แต่ทว่าเขาก็มีความคิด

เขาดีดนิ้ว

“มานี่!”เขาโบกมือเพื่อสั่งให้สไตร์เกอร์เข้ามา จากนั้น หมาป่าเขี้ยวขนาดมหึมาก็มายืนอยู่เคียงข้างเขา

“ข้าไม่เคยเห็นสัตว์ประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย”วาเลร่า ได้กล่าวพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ“พวกมันดูเหมือนกับหมาป่าที่ชั่วร้าย แต่ถึงกระนั้นก็ดูเหมือนกับหมูป่า อีกทั้งดวงตาของมันยังเหมือนกับปลาหมึก ดูเหมือนว่าพวกเราจะอยู่ในโลกที่แตกต่างออกไปจริงๆ”

“เธอจะเห็นบางสิ่งที่แปลกประหลาดมากกว่านี้อีกเชื่อฉันเถอะ”อัลดิช กล่าวพูดออกมา ขณะที่คุกเข่าและชี้ไปที่พื้น“คายนิ้วของโกสต์ออกมาถ้าทำได้”

สไตร์เกอร์ทุกตัวได้ยกหน้าอกขึ้น สไตร์เกอร์สองตัวได้เอากองเนื้อมนุษย์ที่เปื้อนเลือดคุมด้วยหญ้าแห้ง แต่ 1 ในนั้นได้คายนิ้วออกมา

“เยี่ยมมาก” อัลดิช ได้กล่าวพูดออกมาพร้อมกับลูบหัวสไตร์เกอร์ เขาได้ใช้นิ้วชี้เช็ดไปที่บอดี้สูท จากนั้นก็แตะ Eye-Phone ของ โกสต์ และ ตรวจสอบว่ามันมีแบตเตอรี่เพียงพอ จากนั้นก็กดลงบนหน้าจอ

Eye-Phone ข้อมูลส่วนตัวของ โกสต์ได้ถูกล็อคเอาไว้ โดยต้องมีการระบุการจดจำใบหน้าเพิ่มเติมเพื่อเข้าถึง

“หืม?” อัลดิช พูดขณะจ้องมองไปที่โทรศัพท์ที่ล็อคอยู่ ดูเหมือนว่าการเข้าถึงโทรศัพท์เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เซ็ท โซลาร์ และ คนอื่น ๆ คงจะเป็นไปไม่ได้ บางทีเขาอาจจะสามารถใช้เครดิตของ โกสต์ เพื่อเข้าถึงบริการแท็กซี่ระดับไฮเอนด์ที่สามารถผ่านจุดตรวจความปลอดภัยได้ แต่มันก็ยังมีเรื่องที่น่าสงสัยบางอย่าง

เรื่องที่น่าสงสัยคือ

ในยุควาแลนนี้ เมืองที่มีกำแพงล้อมรอบเป็นสิ่งจำเป็น และ ฮาเว่น ก็เป็น 1 ในนั้น อย่างไรก็ตาม ในบรรดาเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ เมืองฮาเว่น เป็นเมืองระดับ 3 เท่านั้น ซึ่งต่ำสุดในบรรดาเมืองทั้งหมด ถึงกระนั้น มันก็เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ดีกว่าดินแดนรกร้างที่เป็นการตั้งถิ่นฐานเร่ร่อนหรือหลบหนีจากการโจมตีของ วาแลน อย่างต่อเนื่อง

นั่นคือที่ที่คนจนจะไป หรือ คนร้ายหลบหนี มันคือสถานที่ที่ อดัม และ เอเลเน่ ถูกทอดทิ้งตั้งแต่ยังเด็ก

และยังเป็นสถานที่ที่ผู้คนกล่าวถึงกันน้อยที่สุด

เมื่อเทียบกับที่นั่นแล้ว เมืองฮาเว่น ก็ถือเป็นสรวงสวรรค์

แต่เนื่องจากมันเป็นเมืองระดับ 3 มันก็คงมีกำแพงและการปรากฏตัวของฮีโร่มากพอที่จะปัดป้องการโจมตีของ วาแลน แต่ที่นั่นก็คงไม่มีอำนาจมากพอที่จะกำจัดจุดอ่อนอย่างอาชญากรที่เป็นผู้ปลุกพลัง

นอกจากนี้ เหตุใด โกสต์ ถึงสามารถซื้อยา X ที่ผิดกฏหมายได้อย่างง่ายดาย?

แสดงว่าภายใน ฮาเว่น อัลดิช ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ที่นั่นจะต้องมีเทคโนโลยีตลาดมือที่สามารถเลี่ยงการล็อคโทรศัพท์ของโกสต์ได้

ซึ่งเทคโนโลยีนี้สามารถสร้าง CIDs (Citizen Identifications) สำหรับ อัลดิช และ วาเลร่า ได้ และ เนื่องจาก อัลดิช ตายในทางเทคนิคแล้ว เขาจำเป็นจะต้องมีตัวตนใหม่ ในขณะที่ วาเลเร่ ไม่มีตัวตนตั้งแต่แรก

สำหรับ อัลดิช ที่เหลือ อัลดิช ต้องยอมรับว่าเขามีปัญหาในการจัจดการมัน

เพราะมันไม่มีทางที่เขาจะนำพวกมันไปในพื้นที่อารยะที่ห่างไกลได้

โดยปกติในเกม อันเดดที่ไม่ได้รับเลือกจะเกิดใหม่หลังจากการต่อสู้เมื่อเข้าสู่พื้นที่ที่เป็นมิตร และ จำเป็นจะต้องเรียกพวกมันในภายหลัง

แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง อัลดิช ได้รับการอัญเชิญอย่างไม่มีกำหนด จริงอยู่ที่ว่ามันดีกว่าตอนเป็นเกมมาก แต่มันก็มีปัญหาที่ว่าเขาจะเก็บอันเดดไว้ที่ไหน

สำหรับตอนนี้ สิ่งที่เขาคิดได้ก็คือการซ่อนพวกมันไว้ในป่า และ เขาคงต้องมองหาทางออกที่ดีกว่านี้ในภายหลัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาคิดทฤษฏีเกี่ยวกับการเป็น ลิช

ลิช สามารถเก็บ อัลดิช ไว้ในลูกแก้วทรงกลมภายในตัวของตนเองจากนั้นก็จะสามารถพกยูนิตเหล่านี้ไปไหนด้วยกันได้ และ เมื่อนึกถึงภาพเนโครแมนเซอร์ ลิช คือตัวตนที่ผุดขึ้นมาในหัวของใครหลายคน พวกเขาถือเป็นเนโครแมนเซอร์ที่พัฒนาแล้ว ใน Elden World ความสามารถทางเชื้อชาติของพวกเขาดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์นี้

อย่างไรก็ตามในเกม ตัวละครของผู้เล่นไม่สามารถตายได้ ดังนั้น ลิช จึงกลายเป็นตัวตนอย่างไม่เป็นทางการ หรือ วิวัฒไปในระดับที่สูงกว่าได้

แต่ตามตำนานกล่าวว่า ผู้วิเศษ หรือ อันเดด มีน้อยครั้งที่พวกเขาสามารถกลายเป็น ลิช ผ่านพิธีกรรมบูชายัญ แต่รายละเอียดที่แน่นอนของพิธีกรรมดังกล่าวไม่ได้อธิบายเอาไว้

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่ต้องคิดในภายหลัง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการไปที่ ฮาเว่น

หากปราศจากการรับส่งที่ง่ายดาย อัลดิช จำเป็นจะต้องเดินเข้าเมือง นั่นหมายถึงการเดินทางผ่านป่าเพราะการใช้ถนนสายหลักนั้นทำให้ตัวตนของเขาเด่นชัดเกินไป แต่หากเดินทางผ่านป่าลึก ก็จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามที่รุนแรง

ตัวแปรส่วนใหญ่ คือ วาแลน ระดับ E ถึง D ภายในป่า แต่มีรายงานบางฉบับที่มีตัวแปรระดับ C เคลื่อนไหว

ความแตกต่างระหว่าง E และ D นั้นไม่มากนัก แต่ช่องว่างระหว่าง D และ C นั้นชัดเจนกว่ามาก

ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว อัลดิช คงจะมีโอกาสพ่ายแพ้ตัวแปรระดับ C 9 ใน 10 ส่วน แม้ว่า วาแลน จะถือเป็นตัวตนที่เสียเปรียบอัลดิชก็ตาม เช่น การใช้พิษไม่มีผล

แต่สถานะทางกายภาพที่แท้จริงของตัวแปรระดับ C ก็ล้นหลามจนเกินไป วาแลน ระดับ C สามารถต่อกรกับรถถังประจัญบานขนาดหนักที่มีสถานะทางกายภาพเพียงอย่างเดียวได้ กำปั้นของพวกมัน เพียงพอแล้วที่จะทำให้ อัลดิช กลายเป็นฝุ่นผง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับค่า HP ที่น้อยนิดของเขา

แต่ตอนนี้ อัลดิช มี วาเลร่า ที่มีคลาสและค่าสถานะที่เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ อย่างน้อย เขาก็ไม่ถือว่าเป็นรองพวกมันมากนัก

เขาสามารถท้าทายตัวแปรระดับ C ได้ ถ้าจัดการอย่างถูกต้อง

“นี่คืออะไร?” วาเลร่า ได้กล่าวถาม ขณะที่เธอจ้องมองไปที่ Eye-Phone.

“สิ่งนี้?” อัลดิช กล่าวพูดออกมา “จริงสิ เธอยังไม่คุ้นเคยกับโลกนี้ ในโลกนี้เทคโนโลยีของพวกเขาก้าวหน้าไปมากทีเดียว และ นี่คือ หนึ่งในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวที่เป็นตัวบ่งบอกว่าโลกได้วิวัฒนาการไปมากเพียงใด ถ้าฉันต้องอธิบายให้เธอฟัง มันก็เหมือนกับอุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล หรือ อุปกรณ์บันทึกที่มีความสามารถหลายอย่างรวมกันในเครื่องเดียว”

“นี่มันค่อนข้างน่าประทับใจมาก” วาเลร่าพูดขณะที่ยื่นมือออกไป จากนั้น อัลดิช ก็มอบ โทรศัพท์ให้เธอ เธอได้หรี่ตาลงและมองดูโทรศัพท์ จากนั้นก็พลิกไปมาราวกับว่าเธอเป็นคุณยายที่มีอายุ 100 ปี และ ไม่รู้ว่าจะใช้เทคโนโลยีนี้อย่างไร “สิ่งนี้มีชื่อเรียกหรือไม่ และ ท่านสามารถใช้มันได้มั้ย?”

“มันถูกเรียกว่า Eye-Phone.”อัลดิช กล่าว“และเราไม่สามารถใช้มันได้ เพราะมันถูกล็อคไว้โดยคนที่ฉันฆ่า เธอสามารถพูดได้ว่ามันถูกผูกไว้กับพวกเขา”

ใน Elden World มีไอเทมที่ผูกมัดและสามารถใช้ได้เฉพาะบุคคลเท่านั้น เพราะเนื่องจากสิ่งนี้ได้ตราตรึงเข้ากับจิตวิญญาณของพวกเขา และ [ขวดฟื้นฟู] ก็เป็นตัวอย่างไอเทมดังกล่าว

“สิ่งเล็ก ๆ นี้สามารถถ่ายทอดการสื่อสาร บรรจุข้อมูล บันทึกเหตุการณ์ หรือแม้แต่ผูกมัดกับจิตวิญญาณได้ ช่างน่าอัศจรรย์”วาเลร่ากล่าวชื่นชม“แต่ว่าทำไมข้าถึงไม่รู้สึกถึงพลังเวทย์จากมันเลย หรือว่ามันจะมีคาถาปิดบัง?”

“นี่ไม่ใช่คาถาปิดบัง หรือ เวทย์มนตร์ มันถูกสร้างขึ้นจากเทคโนโลยีของโลกนี้”อัลดิช ได้ตอบกลับ

“นี่เป็นความจริง?”วาเลร่า ดูตกใจ เพราะเธอมาจากโลกที่เวทย์มนตร์ได้กำหนดทุกแง่มุมของชีวิต“เช่นนั้นโลกนี้ก็ไม่มีใครใช้เวทย์มนตร์ได้งั้นรึไม่?”

“ใช่แล้ว”อัลดิช ได้ตอบกลับ“พวกเราเป็นพวกเดียวที่สามารถใช้เวทย์มนตร์ได้”

“ถ้าอย่างนั้นการพิชิตโลกนี้ก็ไม่ได้น่าท้าทายเลย!”วาเลร่าได้ตอบกลับ

“อย่าเพิ่งด่วนสรุปจนเกินไป เพราะเผ่าพันธุ์เดียวที่มีอยู่ในโลกนี้คือมนุษย์ แต่พวกเขาก็มีการวิวัฒนาการ เพราะพวกเขาแต่ละคนมีพลังพิเศษที่ไม่สามารถคาดเดาได้”

“ยกตัวอย่างเช่น บางคนอาจจะบินได้ บางคนอาจจะปล่อยเปลวไฟจากมือได้ หรือ บางคน อาจจะมีพลังหมัดที่ทรงพลัง เป็นต้น ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถดูถูกพวกเขาได้”อัลดิช ได้ตอบกลับ เขาได้บ่งบอกถึงตัวตนของมนุษย์ว่า ‘พวกเขา’ อย่างเป็นธรรมดา

“ใช่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีสัตว์ประหลาดด้วย สัตว์ประหลาดพวกนี้ถูกเรียกโดยรวมว่า วาแลน พวกมันไม่อาจใช้เวทย์มนตร์ แต่ทว่าก็มีพลังแฝงที่น่าสะพรึงกลัว”

“จริงสิ สไตร์เกอร์เหล่านี้ก็เป็นวาแลน แต่คำว่า ‘วาแลน’ ออกจะกว้างไปหน่อย และ การวัดค่าพลังของพวกมันก็ค่อนข้างกว้างขวาง เพราะลึกลงไปในป่าจะมีภัยคุกคามที่รุนแรงกว่านี้มาก”

“ข้าเข้าใจแล้วนายท่าน ข้าจะคอยระวังให้มาก”วาเลร่าได้ตอบกลับ เธอได้ยกโล่กระดูกและเหล็กสีดำขนาดใหญ่ขึ้นในอากาศ“ด้วยโล่อันยิ่งใหญ่ของข้า ข้าสาบานเลยว่าท่านจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ”

“ฉันรู้สึกขอบคุณ แต่ว่าเธอไม่จำเป็นจะต้องคอยประกบฉันขนาดนั้นก็ได้ ให้ทำเท่าที่ทำได้ก็พอ”อัลดิช และ พยักหน้าให้กับวาเลร่า“และฉันจะดีใจมากหากพวกเรากลับไปสนิทกันเหมือนเมื่อก่อน”

“เหมือนเมื่อก่อน?”

“ใช่แล้ว เหมือนเมื่อก่อน” วาเลร่าพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง

“เอาล่ะ ได้เวลาที่จะจากไปแล้ว ก่อนอื่นฉันจะต้องใช้ประโยชน์จากป้ายสัญลักษณ์นี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”อัลดิช ได้กล่าว

“[สร้างอันเดด]” อัลดิช ได้ร้องออกมา ขณะที่เขาหงายฝ่ามือ ทันใดนั้นพลังสีเขียวก็เริ่มหมุนวนรอบตัวเขา

[สร้างอันเดด (ระดับ 1)] อนุญาติให้ อัลดิช สร้างสิ่งมีชีวิตจาก ‘วงแหวนเวทย์’ ได้ โดย ยิ่งวงแหวนเวทย์มีระดับสูงเท่าไหร่ อันเดด ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น โดย อันเดด ที่ถือกำเนิดจากวงแหวนเวทย์ระดับ 1 สามารถสร้างอันเดดได้จากเลเวลของผู้ร่ายไปจนถึงเลเวล 10 จากนั้นก็จะถึงขีดจำกัด

ดังนั้น สำหรับ อัลดิช ตอนนี้ อันเดด ที่เขาสามารถสร้างจากคาถานี้ได้ถือเลเวล 6 ขึ้นไป

ไม่นาน รายการตัวเลือกอันเดดก็ปรากฏขึ้นในวิสัยทัศน์ของเขา

==

โครงกระดูกโจร

โครงกระดูกนักธนู

ซอมบี้คลั่ง

ดวงตาปีศาจ

วิญญาณ

==

อัลดิช ได้สร้าง โครงกระดูกนักธนู ขึ้นมา ทันใดนั้นเขาก็เห็นอนุภาคสีเขียวที่โปรยปรายอยู่ข้างหน้าของเขา จนก่อตัวเป็นเงาของโครงกระดูก ซึ่งพลังงานสีเขียวได้จางลง และ เผยให้เห็นร่างโครงกระดูกที่เคลื่อนไหว ซึ่งยืนอยู่เหนือระดับความสูงของเขาเอง มันได้สวมใส่เสื้อคลุมและผ้าเตี่ยวหนังสีน้ำตาลที่ขาดรุ่งริ่ง

โครงกระดูกตัวนี้ได้ถือธนูยาวในมือของมัน ขณะที่มีกระบอกไม้สีดำห้อยอยู่ด้านหลัง และ มีลูกธนูเน่าที่ส่งเสียงหึ่ง ๆ พร้อมกับแมลงวันออกมา

โครงกระดูกนักธนู สามารถใช้สกิลที่เรียกว่า [Dead-Eye] ที่ทำให้พวกมันยิงได้อย่างแม่นยำและมีโอกาสโจมตีคริคอลมากขึ้น

มันมีประโยชน์อย่างมากสำหรับการสร้างความเสียหายที่ร้ายแรง

[ใช้งานยูนิต 1 ช่อง]

[ความจุยูนิต : 5/8 > 6/8]

[-10 มานา]

[-10 HP]

[HP : 45/45 > 35/45]

[มานา : 66/66 > 56/66]

อัลดิช สะดุ้งโหยงกับต้นทุนการสร้างอันเดดที่มีราคามหาศาล

โดยทั่วไปแล้ว อัลดิช ที่สร้างขึ้นจะมีความน่าเชื่อถือกว่าในการเลี้ยงพวกมัน เพราะเนื่องจากผู้ร่ายรู้แล้วอยู่ว่าอันเดดที่พวกเขาสร้างนั้นมีความสามารถอะไร

แต่เนื่องจากมันถูกสร้างขึ้นจากความว่างเปล่าแทนที่จะเป็นหลุมฝังศพ ดังนั้นพวกมันจึงต้องมีค่าใช้จ่ายมากกว่าการเลี้ยงศพที่มีอยู่

อัลดิช ตั้งใจจะใช้งานสัญลักษณ์อีกครั้งเพื่อรับการเติมเต็มพลังชีวิตและมานาแบบฟรีหลังจากสร้างอันเดด

[สร้างอันเดด]” อัลดิช ได้พูดซ้ำ คราวนี้เขาได้เลือก โครงกระดูกโจร ขึ้นมา เพราะมันมีความเสียหายสูงสุดจากการเรียกทั้งหมด และ ทำงานได้ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสิ่งรบกวนมากมายที่จะปิดบัง

โครงกระดูกหลังค่อมที่มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำได้ก่อตัวขึ้น มันได้ถือมีดคู่ไว้ในมือ และ สวมชุดคลุมสีดำ และ ผ้าพันคอสีดำยาวที่พันรอบกะโหลกศีรษะ นอกจากนี้ เสื้อคลุมของมันราวกับว่าสามารถหลอมรวมไปกับความมืดได้ แสดงว่ามันมีสกิล  [Shade Walk] ที่สามารถทำให้ล่อนหนได้ชั่วคราวจนถึงการโจมตีครั้งแรก

[ใช้งานยูนิต 1 ช่อง]

[ความจุยูนิต : 6/8 > 7/8]

[-10 มานา]

[-10 HP]

[HP : 35/45 > 25/45]

[มานา : 56/66 > 45/66]

เหตุผลที่ อัลดิช เลือก ยูนิตทั้ง 2 ตัวนี้ก็เพราะว่าเมื่อมันรวมเข้ากับ สไตร์เกอร์ และ วาเลร่า มันจะได้มีสิ่งรบกวนและป้องกันในแนวหน้าเพียงพอ และ เขาจะสามารถสร้างความเสียหายจากระยะไกลได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับตัวสุดท้าย-

“[สร้างอันเดด]” อัลดิช ได้กล่าวครั้งสุดท้าย

คราวนี้ ไม่ได้มีโครงกระดูกก่อตัวขึ้นจากอนุภาคสีเขียว กลับกัน มันได้กลายเป็น ลูกตาขนาดใหญ่เท่าลูกบาสเก็ตบอล โดยลูกตานี้มีสีเหลืองและเรืองแสง รูม่านตาของมันเป็นสีดำกว้าง และ มีเส้นประสาทสีชมพูที่เนียนเรียบ

กลิ่นอายแห่งความมืดได้แผ่ขยายไปทั่วลูกตาทำให้สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน

[ใช้งานยูนิต 1 ช่อง]

[ความจุยูนิต : 7/8 > 8/8]

[-10 มานา]

[-10 HP]

[HP : 25/45 > 15/45]

[มานา : 45/66 > 35/66]

นี่คือ [ดวงตาปีศาจ] มันไม่ใช่ซอมบี้หรือโครงกระดูก แต่เป็น วิญญาณ เพราะเนโครแมนเซอร์สามารถเรียกวิญญาณที่ไม่สงบออกมาได้ แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่มีความสามารถในการต่อสู้ แต่มีสายตาที่เฉียบคมและสามารถซ่อนตัวได้ เท่าที่ อัลดิช รู้ ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สามารถต่อต้านการลักลอบด้วยเวทย์มนตร์ได้ แต่เขาก็ยังต้องการทดลองให้แน่ใจในเรื่องนี้

เพราะการมี [ดวงตาปีศาจ] จะทำให้มันกลายเป็นหน่วยสอดแนมที่ดีที่สุด และ มีประโยชน์อย่างมากในการเข้าไปในป่าวาแลนที่มีภัยคุกคามที่ไม่รู้จัก

“เอาล่พเสร็จแล้ว” อัลดิช กล่าวออกมา

วาเลร่า ได้เดินไปหา อันเดดตัวใหม่ ที่เขาเรียกมาทีละตัว เธอได้เคาะกะโหลกศีรษะของโครงกระดูกนักธนูและโครงกระดูกโจร ซึ่งพวกมันไม่ได้มีเจตจำนงค์ตอบโต้ใด ๆ และ ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

“เป็นโครงกระดูกที่ดี”วาเลร่ากล่าวออกมา จากนั้นเธอก็เดินไปที่ ดวงตาปีศาจ และ แสร้งทำเป็นต่อยมัน จากนั้นเธอก็รั้งการโจมตีเอาไว้ให้ห่างจากดวงตาปีศาจเพียงนิ้วเดียว ซึ่งมัน ไม่ได้กระพริบตาลงแม้แต่น้อย “นี่มันเยี่ยมมาก ข้าตั้งตารอที่จะเริ่มต้นการผจญภัยเลยล่ะนายท่าน”

วาเลร่าพยักหน้าให้กับตัวเองและกล่าวออกมา “เอาล่ะ พวกเจ้าทั้งหมดจงติดตามข้าและคอยรับใช้นายท่านซะ”

“ฉันดีใจที่พวกเขาผ่านการตรวจสอบของเธอ”อัลดิช กล่าวพูดออกมา และ เริ่มก้าวเข้าไปในป้ายสัญลักษณ์เน็กซัส“ยังเหลือสิ่งสุดท้ายก่อนที่เราจะเดินทางกัน”

“นั่นหมายถึงการเข้าไปในเน็กซัสเพื่อจัดการธุระงั้นหรือไม่?”วาเลร่ากล่าวออกมา

“เธอพูดถูก ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไง?”อัลดิช ได้กล่าวถาม

“จิตวิญญาณของพวกเราเชื่อมต่อกัน แน่นอนว่าข้าย่อมสัมผัสได้ถึงความตั้งใจของท่าน นอกจากนี้ ข้ายังเห็นดวงวิญญาณในคลังของนายท่าน หากเราต้องออกห่างจากตราสัญลักษณ์สักระยะนึง ท่านจำเป็นจะต้องเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้มากที่สุด”

“นอกจากนี้ การที่ท่านไปไม่ใช่เพียงเพื่อรักษาตัวเองเท่านั้น แต่ยังต้องการใช้ดวงวิญญาณด้วย”วาเลร่ากล่าวออกมา“แต่ข้าต้องการจะถาม ท่านคิดจะใช้ดวงวิญญาณนั้นอย่างไร?หรือว่าจะสร้างไม้เท้าอันใหม่?ไม่สิ ข้าไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะหน้าที่ของข้าคือการปกป้องท่าน”

“ไม่เลย”อัลดิช พูดออกมาหลังจากครุ่นคิดเขาก็ตอบกลับ“ฉันต้องการหน้ากาก”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด