ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 45 ขายตัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 47 หอกทรราช

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 46 คนอ่อนแอมักเย่อหยิ่งและไม่สุภาพ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 46 คนอ่อนแอมักเย่อหยิ่งและไม่สุภาพ

แปลโดย iPAT  

‘ข้าฝึกทักษะที่แม้แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ’ หลี่ฉิงซานไม่สามารถพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกไป ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “มันเป็นเพียงทักษะอย่างหนึ่งที่ต้องใช้ความอดทน เอาล่ะ ผู้อาวุโสหลิว ท่านต่อยข้ามากกว่าหนึ่งร้อยหมัด แต่ข้าจะขอรับเงินเพียงหนึ่งพันตำลึง”

น้ำเสียงของเขาดูสุภาพมากกว่าก่อนหน้า มันเป็นความสุภาพที่พ่อค้าปฏิบัติต่อลูกค้าดั่งราชา

คนอื่นๆยังจมอยู่ในความตกใจ พวกเขาสงสัยว่าตนเองกำลังฝันไปหรือไม่ “เจ้า!” ศิษย์เอกของหลิวหงตะโกนใส่หลี่ฉิงซาน เมื่อหลี่ฉิงซานชำเลืองมองเขา เขาก็หุบปากลงทันที จากนั้นเขาก็มองไปทางหลี่หลง ‘เจ้าไม่ได้บอกว่าเขาเป็นนักสู้ชั้นสามงั้นหรือ!?’’

หลี่หลงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ย้อนกลับไป หลี่ฉิงซานเป็นนักสู้ชั้นสามจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาซ่อนความแข็งแกร่งเอาไว้? นั่นคือคำอธิบายเดียวที่หลี่หลงคิดได้ เขาไม่มีทางเชื่อว่าหลี่ฉิงซานจะบรรลุระดับปัจจุบันด้วยการทำงานหนักในช่วงเวลาไม่กี่วันที่ผ่านมา

หลิงหงโบกมือ “เอาเงินมา!”

“ท่านอาจารย์!”

“หุบปาก!”

หลิวหงมอบเงินจำนวนหนึ่งพันตำลึงให้หลี่ฉิงซาน “ก่อนหน้านี้ข้าค่อนข้างหยาบคาย เด็ก...วีรบุรุษหลี่ อภัยให้ข้าด้วย โปรดรับเงินนี้ไว้แทนคำขอโทษของข้า”

หลี่ฉิงซานตะลึง เขาไม่เคยคิดว่าน้ำเสียงของหลิวหงจะเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนจากก่อนหน้า เดิมทีหลี่ฉิงซานคิดว่าชายชราจะต้องโกรธมากหลังจากได้รับความอัปยศ แต่เขากลับสามารถเปลี่ยนทัศนคติได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เขาสมกับเป็นอาจารย์ของหลี่หลงจริงๆ

“วีรบุรุษหนุ่ม เจ้าเป็นคนพิเศษและมีทักษะที่น่าประทับใจ หากเจ้ายังซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ ไม่ใช่ว่าความสามารถของเจ้าจะเสียเปล่างั้นหรือ? เหตุใดไม่เข้าร่วมกับสำนักกำปั้นเหล็กของข้า? เจ้าจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน สำหรับป้อมวายุทมิฬ ข้าจะช่วยพูดคุยกับพวกเขา หมีดำควรจะไว้หน้าข้าบ้าง เหตุใดเจ้าต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง? ดังคำกล่าวที่ว่า ให้นึกถึงตัวเองเป็นอันดับแรก...”

กลิ่นอายที่ทรงพลังของหลิวหงหายไปอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้เขาดูเหมือนชายแก่ใจดีที่ห่วงใยบุตรหลาน

ศิษย์สำนักกำปั้นเหล็กไม่เคยจินตนาการว่าอาจารย์ของพวกเขาจะมีแง่มุมนี้อยู่ด้วย ดังนั้นดวงตาของพวกเขาจึงเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ

หลี่ฉิงซานตระหนักว่าตอนนี้สถานะของเขาเท่าเทียมกับหลิวหงและกระทั่งเหนือกว่าเล็กน้อย มันไม่เหมือนกับช่วงเวลาที่เขาพึ่งมาถึงที่นี่ ในเวลานั้นหลิวหงยังดูถูกเขา แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากความแข็งแกร่งที่น่าประทับใจที่เขาแสดงให้เห็น

หลิวหงสุภาพมาก ดังนั้นหลี่ฉิงซานจึงตอบกลับอย่างสุภาพเช่นกัน “ก่อนหน้านี้ข้าเป็นคนเริ่มหยาบคายก่อน เงินเป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับข้า ดังนั้นโปรดเก็บมันกลับไป!” หลังจากทั้งสองพยายามยัดเยียดเงินให้กันและกัน สุดท้ายหลี่ฉิงซานก็ต้องยอมรับเงินก้อนนั้นเอาไว้

“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ตอนนี้ข้ายังไม่มีแผนที่จะเข้าร่วมกองกำลังใดๆ ข้าไม่ได้มาซ่อนตัวแต่มาฝึกฝน ข้าจะกำจัดโรคระบาดที่เรียกว่าป้อมวายุทมิฬด้วยตัวของข้าเอง! ข้ามาที่นี่เพียงเพราะต้องการตรวจสอบข้อมูลบางอย่างเท่านั้น”

หลิวหงกล่าว “ป้อมวายุทมิฬคงอยู่มานานหลายปี พวกเขาจะถูกถอนรากถอนโคนโดยง่ายได้อย่างไร? ข้ามั่นใจว่าข้าไม่อ่อนแอกว่าหมีดำ แต่หากข้าต้องการยึดครองป้อมวายุทมิฬด้วยตัวของข้าเพียงลำพัง มันจะเป็นหายนะสำหรับข้าอย่างแน่นอน สนามรบไม่เหมือนการประลองระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ ความแข็งแกร่งอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ”

ในยุทธภพ ผู้คนไม่เพียงต่อสู้กันด้วยศิลปะการต่อสู้เท่านั้นแต่มันยังเกี่ยวกับอิทธิพลอีกด้วย หลิวหงตระหนักถึงความแข็งแกร่งของหลี่ฉิงซานแต่เด็กหนุ่มก็ยังเป็นเพียงผู้บ่มเพาะสันโดษที่ไร้อิทธิพลใดๆ

หลี่ฉิงซานส่ายศีรษะเล็กน้อย “ข้ามีแผนของข้า”

เมื่อหลิวหงไม่สามารถโน้มน้าวหลี่ฉิงซาน เขาจึงบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้อย่างละเอียด

หลี่ฉิงซานได้เรียนรู้ว่าป้อมวายุทมิฬไปสร้างปัญหาให้กับหมู่บ้านบังเหียนม้า “ผู้อาวุโสหลิว ข้ามีคำขอ โปรดกระจายข่าวให้ข้าด้วย ประกาศออกไปว่าข้า หลี่ฉิงซาน อยู่ในเมืองชิงหยางและข้าจะไม่หนี ข้าจะรับผิดชอบการกระทำของข้า ข้าจะไม่นำผู้อื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง”

“นั่นไม่ใช่ปัญหา ดังคำกล่าวที่ว่าบุรุษที่ยิ่งใหญ่มักถูกหล่อหลอมตั้งแต่ยังเยาว์ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใดตราบเท่าที่เจ้าอยู่ในเมืองชิงหยาง!” หลิวหงกล่าว “นอกจากนี้นิกายถ้ำมังกรก็ส่งคนไปที่หมู่บ้านบังเหียนม้าเช่นกัน ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาต้องการสิ่งใด?”

หลี่ฉิงซานคิดและตระหนักได้ว่ามันเป็นเรื่องของโสมจิตวิญญาณ เขายังจำได้ว่าเขามีหนี้เก่าที่ต้องชำระกับนายน้อยของนิกายถ้ำมังกรค้างอยู่ เขาลอบหัวเราะเย้ยหยันก่อนกล่าว “ขอบคุณสำหรับข้อมูล ผู้อาวุโส ข้ายังมีบางเรื่องที่ต้องจัดการ ดังนั้นข้าขอลาก่อน”

หลิวหงและหลี่หลงส่งหลี่ฉิงซานออกไป จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาต่อยหุ่นฝึกไม้ด้วยหมัด “ปัง! หากผู้ใดกล่าวเรื่องนี้ออกไป อย่าตำหนิว่าข้าไม่แสดงความเมตตา!”

หวังเล่ยกรีดร้อง “ท่านอาจารย์!” แต่เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อไปอีก

หลิวหงเห็นความผิดหวังในสายตาของศิษย์ทั้งหมด พวกเขาไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ ทุกคนยังรู้สึกอับอายที่หลิวหงเปลี่ยนท่าทีจากเย่อหยิ่งเป็นอ่อนน้อมถ่อมตน

หลิวหงถอนหายใจ “พวกเจ้ารู้สึกว่าข้าพยายามประจบสอพลอและทำให้เขาพึงพอใจมากเกินไปใช่หรือไม่? อย่างไรก็ตามเราเป็นฝ่ายหยาบคาบกับเขาตั้งแต่แรก”

“แต่...ไม่ใช่ว่าท่านสั่งให้พวกเรา...”

“หากเขาเป็นเพียงนักสู้ชั้นสาม ข้าจะไม่พูดว่าเราผิดแม้ข้าจะฆ่าเขาเพราะความเย่อหยิ่งและหยาบคาบของเขา อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เป็นเพียงนักสู้ชั้นสาม เราเป็นฝ่ายประเมินเขาต่ำเกินไป ต่อหน้านักสู้ชั้นสอง เราเป็นฝ่ายหยาบคายและทำให้เขาขุ่นเคือง นี่คือเหตุผลที่คนในยุทธภพไม่เคยหยุดการฆ่าฟัน”

“ไม่ใช่ว่า ต่อสู้และตายไป เป็นเรื่องโง่เขลางั้นหรือ? ในยุทธภพ ผู้แข็งแกร่งจะได้รับความเคารพ หากข้าไม่รู้จักหลักการนี้ ข้าคงไม่สามารถรักษาชีวิตมาจนถึงวันนี้ พวกเจ้ามีชีวิตที่ง่ายดายเกินไปในเมืองชิงหยาง แม้จะมีคนแข็งแกร่งผ่านมา ข้าก็ยังอยู่ที่นี่และคอยปกป้องดูแลพวกเจ้า นี่เป็นเหตุผลที่พวกเจ้าไม่เข้าใจหลักการพื้นฐานที่สุดข้อนี้”

หากหลี่ฉิงซานได้ยินเรื่องนี้ เขาจะต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างแน่นอน แรกเริ่มคนอ่อนแอมักทำตัวเย่อหยิ่งและไม่สุภาพเสมอ ไม่เพียงพวกเขาจะไม่สุภาพ พวกเขายังไร้เหตุผลและไร้พลัง ในการแยกแยะถูกผิดบนโลกใบนี้ ความแข็งแกร่งคือตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด

นี่เป็นหลักการของคนในยุทธภพ แม้หลิวหงจะไม่รู้สึกภูมิใจกับมัน แต่ในฐานะทหารผ่านศึก เขาต้องสามารถยอมจำนนเมื่อถึงเวลาอันสมควร เป็นเพราะหลักการนี้ที่ทำให้เขาสามารถเกษียณอย่างสงบ

เหล่าศิษย์ก้มหน้ารับการสั่งสอน พวกเขายังนึกถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังชื่อเสียงของหลี่ฉิงซานไม่ว่าจะเป็นทักษะการต่อสู้และความโหดเหี้ยมของเขา ไม่มีผู้ใดกล้าพอที่จะพูดว่าพวกเขาสามารถออกจากสถานที่แห่งนี้ได้หากพวกเขาต่อสู้และล้มลง

หลิวหงพยักหน้าพึงพอใจ เขาสามารถปกป้องศักดิ์ศรีของสำนักเอาไว้ได้ในที่สุด หลังจากนั้นเขาก็สรุป “ในยุทธภพ ไม่ว่าทักษะการต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์จะยอดเยี่ยมเพียงใด พวกเจ้าก็จะอยู่ได้ไม่นานหากพวกเจ้าพยายามแสดงความแข็งแกร่งในทางที่ผิด คราวนี้จะมีคนเคราะห์ร้ายอย่างแน่นอน” เขากล่าวอย่างคลุมเครือโดยไม่ได้ระบุว่าคนเคราะห์ร้ายที่เขากำลังกล่าวถึงคือป้อมวายุทมิฬหรือหลี่ฉิงซาน

ภายใต้การนำของหลี่หลง หลี่ฉิงซานมาถึงร้านอาวุธปลอกแขนเหล็กที่มีชื่อเสียงโดยตรง ด้วยเงินที่อยู่ในกระเป๋า เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ ทันทีที่เขาก้าวผ่านประตูร้าน เขาก็กล่าวว่า “พ่อค้า ข้าต้องการอาวุธ!”

เจ้าของร้านเป็นชายอ้วนผิวสองสี เขาอายุประมาณสี่สิบปี เขาดูเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ เขาชำเลืองมองหลี่ฉิงซานก่อนจะกวาดตาไปทางหลี่หลง เมื่อเห็นหลี่หลง เขาก็วางสมุดบัญชีที่อยู่ในมือลงทันที “คุณชายหลี่จากสำนักกำปั้นเหล็ก ท่านพาสหายมาซื้ออาวุธเช่นนั้นหรือ? ข้างนอกเป็นสินค้าระดับต่ำ เชิญเข้าไปข้างในเถอะ!”

หากเขาต้องการตั้งร้านค้าและทำธุรกิจที่นี่ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้จักและประจบสอพลอเจ้าถิ่นเช่นสำนักกำปั้นเหล็ก หลี่หลงมีชื่อเสียงบนท้องถนนของเมืองชิงหยาง กระทั่งเจ้าของร้านอาวุธยังต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างสุภาพ

เมื่อก้าวเข้าไปด้านในของร้านค้า อาวุธชั้นยอดมากมายก็ปรากฏขึ้นในมุมมองสายตาของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นดาบ หอก ง้าว ขวาน ตะขอ หรือตรีศูล พวกมันล้วนมีอยู่ หลังจากทั้งหมดที่นี่เป็นร้านขายอาวุธที่มีชื่อเสียง

“ข้าขอถามคุณชายท่านนี้ได้หรือไม่ว่าท่านต้องการอาวุธประเภทใด? เรามีทั้งมีดสั้นและดาบเหล็กกล้าชั้นยอด แน่นอนว่าเรามีทุกขนาดที่ท่านต้องการ หากท่านไม่พอใจกับสิ่งเหล่านี้ ท่านสามารถสั่งทำขึ้นมาใหม่” เจ้าของร้านแนะนำและสั่งให้พนักงานนำอาวุธออกมาให้หลี่ฉิงซานเลือกสรร อาวุธแต่ละชิ้นล้วนส่องประกายเจิดจรัสและมีการออกแบบที่วิจิตรงดงามเป็นพิเศษทั้งสิ้น

อาวุธทุกชิ้นไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประทับแต่สามารถเข่นฆ่าผู้คนในสนามรบได้จริงๆ หลี่ฉิงซานชั่งน้ำหนักอาวุธในมือก่อนจะส่ายศีรษะ “ท่านมีอาวุธที่หนักกว่านี้หรือไม่?”