ตอนที่แล้วMDB ตอนที่ 188 ปะทะสัตว์วิเศษจากทวีปกลาสซี่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปMDB ตอนที่ 190 ผู้คุมกฎแห่งแคว้นนาคา

MDB ตอนที่ 189 ว่าไงเฒ่าเย่


หลินจินรู้ว่าถ้าเขาทำพลาดในตอนนี้ เขาจะเดือดร้อนอย่างมาก

เขาหยิบเม็ดยาสองเม็ดออกมาและให้หมาป่าเงากับโกลด์ดี้อย่างละเม็ด

หมาป่าเงาดูเหมือนหมดแรง การต่อสู้ที่ผ่านมาทำให้มันได้รับความเสียหายอย่างหนัก ทางด้านโกลดี้ แม้ว่ามันจะเปียกโชกไปด้วยเลือด แต่มันก็ยังแข็งแรงราวกับว่ามันสามารถออกไปลุยได้อีก

“กุ๊กกุ๊ก!*

โกลดี้กระพือปีกต่อหน้าหลินจิน มันอาจจะขอความดีความชอบจากหลินจิน

“ก็ได้ ก็ได้ แกเก่งกว่าที่ฉันคิดมาก!” หลินจินได้ตอบกลับ

แม้ว่ามันจะเป็นสถานการณ์ที่อันตราย แต่ผู้คนที่อยู่ด้านล่างของภูเขาไม่สามารถขึ้นมาได้ ความกลัวเพียงอย่างเดียวของหลินจินในตอนนี้คือถ้าผู้เชี่ยวชาญทรงพลังของเมืองเมเปิ้ลมาที่นี่ เขาจะทำอย่างไรต่อไป?

เขาจะต้องจัดการกับพวกเขาแบบเดียวกับที่เขาจัดการกับชาวพื้นเมืองในทวีปกลาสซี่หรือไม่?

หลินจินคิดว่าเจ้าหน้าที่ของเมืองเมเปิ้ลเป็นพันธมิตรของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจที่จะทำการเคลื่อนไหวใด ๆ นี่เป็นหนึ่งในความกังวลของเขาด้วย ถ้าทางหลินจินเป็นฝ่ายลงมือก่อน เขาจะกลายเป็นศัตรูของทั้งเมืองเมเปิ้ลและอาณาจักรมังกรหยกทั้งหมด

โชคดีที่ความกลัวของเขาไม่เป็นจริง ตรงกันข้าม ดูเหมือนพวกเขาจะรั้งคนท้องถิ่นในทวีปกราสซี่เอาไว้

ดวงตาของหลินจินไม่ได้หลอกลวงเขา เจ้าหน้าที่ของเมืองเมเปิ้ลได้ขวางชาวพื้นเมืองของทวีปกลาสซี่

ที่เชิงเขา ผู้หมวดกั่วแห่งคฤหาสน์เจ้าเมืองของเมืองเมเปิ้ลกำลังพูดคุยกับหัวหน้าของชาวพื้นเมืองด้วยท่าทางที่ไม่สู้ดี

“พวกเจ้ามาไกลเกินไปแล้ว เราปล่อยให้พวกเจ้าอยู่ต่อเพื่อตามหาสัตว์วิเศษที่พวกเจ้าทำหาย แต่สุดท้ายพวกเจ้าก็ได้สร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ ข้าขอเตือนพวกเจ้าไว้ แม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พวกเจ้าก็ไม่มีอำนาจที่จะใช้ความรุนแรงภายในเขตแดนของเรา!”

หลังจากประสบความสูญเสียครั้งใหญ่ ชาวเมืองในทวีปกราสซี่ก็โกรธจัดอย่างเห็นได้ชัด

“ผู้หมวดกั่ว เจ้าก็เห็นมันเช่นกัน ชายคนนั้นบนภูเขาได้ฆ่าสัตว์เลี้ยงของเราตั้งมากมายและไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังฆ่าลูกชายคนเดียวของผู้คุมกฎของแคว้นนาคาของเราด้วย หากพวกเราไม่อาจทวงยุติธรรมกลับคืนมาได้ ข้าเกรงว่าแคว้นนาคาจะต้องประกาศสงครามกับอาณาจักรมังกรหยกของเจ้า!”

ชาวพื้นเมืองของทวีปกลาสซี่ก็ดื้อรั้นเช่นกัน

ผู้หมวดกั่วดูโกรธเคือง เขาได้รำพึงในใจว่า ‘ชาวพื้นเมืองเหล่านี้เหิมเกริมเกินไป พวกเขากล้าดียังไงถึงทำตัวกร่างเช่นนี้?’

แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เขาไม่มีอำนาจตัดสินใจที่นี่ เขาจะต้องรายงานเรื่องนี้กลับไปที่คฤหาสน์เจ้าเมือง ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่รอคำสั่งเพิ่มเติมเท่านั้น

นอกจากจะรายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว เขาจะต้องรายงานเรื่องผู้คุมกฎของแคว้นนาคาด้วยเช่นกัน

ด้วยการใช้นกส่งข่าว ข้อความดังกล่าวส่งถึงคฤหาสน์เจ้าเมืองของเมืองเมเปิ้ลในเวลาไม่นานและเหตุการณ์นี้ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในทันที

ไป่เจิ้นคง เจ้าเมืองแห่งเมืองเมเปิ้ลแสดงท่าทางวิตกกังวล

ในฐานะชายผู้ปกครองเมืองทั้งเมือง เขาได้ยินและรับรู้หลายสิ่งหลายอย่างมาก่อน ตัวอย่างเช่น เขารู้ว่าผู้คุมกฎของแคว้นนาคาไม่ใช่คนดีนัก

ในทวีปกลาสซี่ แคว้นนาคาเป็นประเทศระดับกลางที่มีสัตว์วิเศษระดับสี่ในครอบครอง สำหรับจำนวนนั้นของพวกมันนั้นพวกเขาได้ปกปิดเป็นความลับ ไม่มีใครทราบเรื่องนี้

สัตว์วิเศษระดับสี่ถูกแบ่งออกเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งและอ่อนแอและสัตว์วิเศษระดับสี่ของผู้คุมกฎมีความแข็งแกร่งเป็นอันดับสองในแคว้นนาคา การที่บุคคลระดับนี้ถูกเรียกตัวมานั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน

พวกเขาอาจต้องรายงานเรื่องนี้ต่ออาณาจักรมังกรหยกด้วย

ไป่เจิ้นคงรู้สึกไม่เต็มใจที่จะเห็นประเทศของเขาก้าวสู่สงคราม หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้ว เขาคิดก่อนที่จะส่งคนไปที่สมาพันธ์นักบวชเพื่อเรียกเย่หยู่โจวมา

คนเดียวที่มีสัตว์วิเศษระดับสี่ในเมืองเมเปิ้ลคือเย่หยู่โจว เขายังเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ที่สำคัญที่สุดของประเทศซึ่งได้รับพระราชทานตำแหน่งจากราชวงศ์ ดังนั้น สถานการณ์เลวร้ายนี้จึงต้องการความช่วยเหลือจากเย่หยู่โจว

ในไม่ช้า เย่หยู่โจวก็ปรากฏตัวขึ้น

“ท่านไป๋ ข้ามาแล้ว มีเรื่องอันใดที่ทำให้ท่านต้องเรียกข้าออกมา” เย่หยู่โจวกล่าวทักทาย

ไป่เจิ้นคงกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “เย่ อย่าเพิ่งพิธีรีตองอะไรตอนนี้เลย ตอนนี้เรากำลังเจอปัญหาใหญ่ ลูกชายคนเดียวของผู้คุมกฎแห่งแคว้นนาคาเสียชีวิตภายในเขตเมืองเมเปิ้ล ผู้คุมกฎอาจกำลังเดินทางมาที่นี่ตอนนี้ ข้าเรียกเจ้าที่นี่เพื่อหารือว่าพวกเราควรทำอย่างไรต่อไปดี?”

เย่หยู่โจวตกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้

“ลูกชายคนเดียวของผู้คุมกฎของแคว้นนาคาเสียชีวิตภายในเขตเมืองเมเปิ้ล เขาตายได้อย่างไร?”

นี่เป็นรายละเอียดที่สำคัญ

ถ้าเขาตายโดยปราศจากอิทธิพลของปัจจัยภายนอก ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว แม้ว่าผู้คุมกฎของแคว้นนาคาจะปรากฏตัวขึ้นก็ตาม

“เขาถูกฆ่าและข้าได้ยินมาว่ามันเป็นฝีมือของอสุรกาย ชาวเมืองในทวีปกลาสซี่พยายามไล่ล่าอสุรกายตนนั้นแต่พบกับอุปสรรคที่ภูเขาโซโรคุ มีบุคคลลึกลับหยุดพวกเขาด้วยสัตว์เลี้ยงของเขาและการต่อสู้นองเลือดก็ได้เริ่มขึ้น ชาวพื้นเมืองได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ถ้าผู้คุมกฎอยู่ที่นี่ สิ่งต่าง ๆ อาจแตกต่างออกไป” ไป่เจิ้นคงอธิบายด้วยสีหน้ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“บุคคลลึกลับ? บุคคลที่สามารถหยุดการไล่ล่าของทวีปกลาสซี่ทั้งหมดได้?” เย่หยู่โจวตกใจ หลังจากครุ่นคิดสั้น ๆ เขากล่าวว่า “เป็นการยากที่จะเพิกเฉยกรณีที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีจากอสุรกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากผู้เคราะห์ร้ายได้เสียชีวิตไปแล้ว

นอกจากนี้ เหยื่อรายหนึ่งยังเป็นลูกชายของผู้คุมกฎ เราต้องจับอสุรกายตนนั้นไว้ ดังนั้นเมื่อผู้คุมกฎมาถึง เราสามารถมอบอสุรกายตนนี้ให้เขาทำตามที่เขาต้องการได้ นี่น่าจะเพียงพอแล้วที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้” เย่หยู่โจวกล่าว

ไป่เจิ้นคงพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่บุคคลลึกลับที่ภูเขาโซโรคุนั้นต้องแข็งแกร่งเป็นพิเศษจึงจะสามารถหยุดการรุกของคนจากทวีปกลาสซี่ได้

ตามที่ผู้หมวดกั่วรายงานในที่เกิดเหตุ ชาวบ้านได้ส่งสัตว์วิเศษมากกว่า 10 ตัวโดยมีระดับสามสองสามตัวในหมู่พวกมัน แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถชนะได้ ดังนั้นเราต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้า”

"ข้าเข้าใจแล้ว ข้าต้องเดินทางไปดูด้วยตัวเอง” เย่หยู่โจวประกาศด้วยความมั่นใจ

ไป่เจิ้นคงไม่สามารถทำอะไรได้ในสถานการณ์เช่นนี้และทำได้ขอความช่วยเหลทือจากเย่หยู่โจวเท่านั้น

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าทางคฤหาสน์เจ้เมืองให้ความสำคัญกับเย่หยู่โจวมากเพียงใด ดังนั้นฝ่ายหลังจึงต้องนำข่าวดีกลับมา

เมื่อเย่หยู่โจวมาถึงภูเขาโซโรคุก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว

ไฟป่าจากการสู้รบก่อนหน้านี้ยังไม่ดับสนิทและเสาควันก็ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ชาวเมืองในทวีปกลาสซี่ล้อมรอบภูเขาทั้งลูก แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปข้างใน

บนยอดเขา หลินจินยืนอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่มาเป็นเวลานานแล้ว

เขาต้องการจะซื้อเวลาให้มากกว่านี้

เขายึดมั่นในความหวังว่าเสี่ยวอู่จะฟื้นตัวในเร็ว ๆ นี้และสวดอ้อนวอนให้เสี่ยวฮั่ววิวัฒนาการเร็วกว่านี้

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันอยู่นอกเหนือการควบคุมของหลินจินไปแล้ว แม้ว่ามันจะไม่เคยอยู่ในการควบคุมของเขาตั้งแต่เริ่มต้น แต่หลินจินก็ไม่เสียใจกับการตัดสินใจของเขา

ถ้าเขาไม่ยืนหยัดเพื่อชางเอ๋อร์และคนอื่น ๆ แล้วใครจะเป็นคนทำ?

ยิ่งไปกว่านั้น ชาวพื้นเมืองในทวีปกลาสซี่ได้จับและทรมานเสี่ยวอู่ก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่โทษชางเอ๋อร์ที่ฆ่าพวกเขา นี่เป็นเพียงผลของการกระทำของพวกเขา ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลินจินก็ต้องยึดมั่นอยู่ข้างพวกเขา

แม้ว่าเขาจะทำไม่ได้ แต่เขาก็ต้องทำ

สถานการณ์ที่แย่ที่สุดคือชาวพื้นเมืองทวีปกลาสซี่ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ของเมืองเมเปิ้ลในการโจมตีตอบโต้

การสนับสนุนที่แข็งแกร่งอาจปรากฏขึ้นสำหรับพวกเขาและหลินจินก็ตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้ดี

ดังนั้นเขาจึงต้องซื้อเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ด้วยโกลดี้ที่แข็งแกร่งมากจึงทำให้ความกังวลของหลินจินลดลงอย่างมาก แม้ว่าสัตว์วิเศษระดับสี่จะปรากฏขึ้นมา หลินจินก็ยังรู้สึกปลอดภัย

หากไม่มีทางเลือกจริง ๆ เขาก็จะส่งชางเอ๋อร์ออกมาสู้ด้วย

และหากแม้จะไม่ได้ผล พวกเขาก็จะซื้อเวลาจนกว่าเสี่ยวฮั่วจะพัฒนาสำเร็จ เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น ใครเล่าจะหยุดหลินจินและคนอื่น ๆ จากการหลบหนีได้?

ในขณะนั้น เย่หยู่โจวก็มาถึง

ผู้หมวดกั่วอยู่ภายใต้แรงกดดัน เขาต้องคอยคุมคนพื้นเมืองของทวีปกลาสซี่ที่เป็นไปด้วยความเดือดดาลไปให้บุกขึ้นไปบนภูเขา

เขาเป็นเพียงผู้หมวดที่มีสัตว์เลี้ยงเป็นสัตว์วิเศษระดับสอง กองกำลังที่เขานำมามีไม่เกินห้าสิบคน ดังนั้นการที่เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้นานขนาดนี้ก็ถือว่าตึงมือแล้ว

จั่วเหวินถังเดินทางมากับเย่หยู่โจว แม้ว่าในฐานะผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งที่มีสัตว์วิเศษระดับสาม เขาก็ยังไม่สามารถเปรียบเทียบกับเย่หยู่โจวได้ อย่างไรก็ตาม หนึ่งในนั้นคือนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันของเมืองเมเปิ้ล

การมาถึงของพ่อบ้านของคฤหาสน์เจ้าเมืองและเป็นตัวแทนของอำนาจของเมืองเมเปิ้ล การที่คนระดับเขามาถึง มันช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดในอากาศได้ทันที

ชาวพื้นเมืองในทวีปกลาสซี่เริ่มทำตัวเชื่อฟังมากขึ้น

หลังจากได้ยินเรื่องราวอันเลวร้ายของชาวพื้นเมือง เย่หยู่โจวก็ขมวดคิ้ว

ตอนนี้เขาเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่แล้ว

ผู้คนในทวีปกลาสซี่จับอสุรกายได้แต่หลังจากนั้นได้มีหญิงสาวปรากฏตัวเพื่อช่วยมัน หญิงสาวฆ่าชาวพื้นเมืองหลายคน ผู้เสียชีวิตคนหนึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของผู้คุมกฎของแคว้นนาคา

ชาวพื้นเมืองได้ทำการไล่ล่าและวางแผนที่จะแก้แค้นแต่พวกเขาต้องประสบความล้มเหลวไปก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงของพวกเขาที่ตายในครั้งนี้

"ท่านเย่  ผู้คุมกฎของแคว้นนาคาของเราจะอยู่ที่นี่ในไม่ช้า ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับหนึ่งของเมืองเมเปิ้ล ดังนั้นข้าหวังว่าท่านจะให้พวกเรายืมกำลังของท่าน” หัวหน้าของชาวพื้นเมืองกล่าว

เขาไม่มีความกล้าที่จะทำตัวเหิมเกริมต่อหน้าเย่หยู่โจวแต่ท่าทางของเขายังคงมีความแน่วแน่

เย่หยู่โจวรู้สึกรำคาญอย่างเห็นได้ชัด เขาโต้กลับอย่างเย็นชา “แล้วถ้าข้าไม่ให้พวกเจ้ายืมกำลังล่ะ? พวกเจ้าจะทำอะไรได้? แม้ว่าผู้คุมกฎของแคว้นนาคาจะมาถึง ข้าก็จะให้คำตอบแบบเดียวกันแก่เขา อย่าลืมว่าพวกเจ้าอยู่นอกเหนือเขตอำนาจของดินแดนของพวกเจ้า”

ชาวบ้านในทวีปกลาสซี่กัดฟันแต่ไม่พูดอะไรอีก

ถึงกระนั้นปัญหานี้ก็ต้องได้รับการแก้ไข เย่หยู่โจวมองดูเงาบนยอดเขาและพูดกับจั่วเหวินถังว่า “พ่อบ้านจั่ว เราไม่รู้แค่ว่าชายคนนั้นเป็นใครแต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้แน่นอน เขาไม่ใช่คนที่ดีนักเมื่อพิจารณาว่าเขาจัดการพวกสัตว์วิเศษเหล่านี้ได้อย่างไร ดังนั้นข้าจะขึ้นไปบนภูเขาและพบเขาด้วยตัวเอง”

จั่วเหวินถังไม่เคยปฏิเสธข้อเสนอนี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ระวังตัวด้วย ท่านเย่”

เย่หยู่โจวหัวเราะคิกคักและจั่วเหวินถังตระหนักว่าเขาพูดอะไรผิดไป เขารีบแก้ไขคำพูดของตัวเอง "ท่านเย่เป็นผู้พิทักษ์อาณาจักรมังกรหยก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านจะไม่กลัวคนพาล แต่ข้าแค่กังวลว่าอีกฝ่ายจะเป็นจอมวางแผน…”

“ขอให้พ่อบ้านจั่วมั่นใจได้เลย ชายคนนั้นมีอสุรกายอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ดังนั้นข้าจะไม่มีวันปล่อยเขาหนีไปได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ยิ่งกว่านั้นเมื่อผู้คุมกฎของแคว้นนาคาปรากฏขึ้น เรายังต้องให้คำอธิบายบางอย่างแก่เขา ข้าจะไปจัดการชายคนนั้นก่อน”

เสียงของเหยู่โจวฟังดูมั่นใจ เมื่อพูดจบก็มีหมอกปรากฏขึ้นข้าง ๆ เขาและเขาก็กระโดดขึ้นไปบนนั้น จากนั้นเขาก็ขี่หมอกขึ้นไปบนภูเขาราวกับว่าเขาเป็นเทพบนก้อนเมฆ

ที่ซ่อนอยู่ภายในหมอกนี้คือสัตว์วิเศษระดับสี่ของเขา มังกรทะลวงเมฆา

หลินจินไม่ได้คาดคิดว่าเย่หยู่โจวจะปรากฏตัว

เขาไม่รู้เกี่ยวกับผู้คุมกฎของแคว้นนาคา ดังนั้นเขาจึงรู้คิดแค่ว่าเมืองเมเปิ้ลตอบโต้รุนแรงเกินไป เขาไม่คิดว่าสถานการณ์จะเลวร้ายมากจนพวกเขาถึงกับต้องส่งเย่หยู่โจวมา

หลินจินรู้ความสามารถของเย่หยู่โจวเป็นอย่างดี หากพวกเขาต้องต่อสู้กัน ทั้งเขาและเสี่ยวฮั่วก็ไม่คู่ควรกับชายชราอย่างแน่นอน พวกเขาไม่สามารถชนะได้แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากโกลดี้ก็ตาม

ท้ายที่สุด โกลดี้เป็นเพียงระดับสาม ดังนั้นการต่อสู้กับมังกรทะลวงเมฆาระดับสี่จึงเป็นงานที่ท้าทาย

ถ้าชางเอ๋อร์มาช่วย ทุกอย่างจะง่ายดายในพริบตา

แต่นั่นก็ไม่จำเป็น

เพราะเมื่อเขาเห็นเย่หยู่โจว ความคิดที่กล้าหาญก็ปรากฏขึ้นในหัวของหลินจิน

เขาให้โกลดี้ยืนขึ้นและหมาป่าเงาซ่อนตัวอยู่ในความมืด ในขณะเดียวกัน หลินจินก็เอามือไปข้างหลังเพื่อทำท่าทางของผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อเย่หยู่โจวขึ้นไปบนเนินเขาและเห็นหลินจิน เขาพบว่าชายผู้นี้ไม่มีอะไรเลย นอกจากความแปลกประหลาด

นอกจากการสวมเสื้อที่ดูธรรมดาของเขาแล้ว เขายังสวมหน้ากากที่ทำจากเปลือกไม้อีกด้วย ไม่ว่าใครมองก็พบว่าแปลกทั้งนั้น? หลังจากสำรวจพื้นที่แล้ว เขาเห็นไก่ตัวใหญ่อยู่ข้างหลังและมีออร่าที่ซ่อนอยู่ในความมืด แต่พวกมันเหล่านี้เป็นเพียงสัตว์วิเศษระดับสามเท่านั้น ดังนั้นเย่หยู่โจวจึงไม่สะทกสะท้าน

สิ่งที่น่าสนใจคือการที่ชายผู้นี้ก้าวเข้ามาหาเย่หยู่โจว เขาไม่กลัวว่าเย่หยู่โจวจะโจมตีเขางั้นเหรอ?

แต่แน่นอนว่าเย่หยู่โจวจะไม่ทำอย่างนั้น แม้ว่าเขาจะทำเช่นนั้น เขาต้องชี้แจงตัวตนกับอีกฝ่ายก่อน ท้ายที่สุด เขาเป็นคนที่มีเกียรติ ดังนั้น เย่หยู่โจวจึงแสดงท่าทางภาคภูมิใจและกล่าวว่า

“อสุรกายเป็นบ่อเกิดของภัยพิบัติอันร้ายแรง ข้าไม่มีวันปล่อยให้พวกมันลอยนวลเด็ดขาด เจ้าเป็นใคร? บอกนามของเจ้ามา!”

หลินจินลดเสียงลงและหัวเราะอย่างตั้งใจก่อนจะพูดว่า

“ข้าเป็นใครอย่างงั้นหรือ? เราเพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่นานมากนี้ แต่เจ้ากลับลืมข้าซะแล้วหรือ เฒ่าเย่!”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด