ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 12 อนุสัญญาสมาพันธ์ (Confederation Convention)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 14 เริ่มต้นการรุกรานวัลเทอร์ของลีโอเนีย (The Leonia began the invasion of Walter)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 13 ความสงบก่อนพายุจะมา (Calm before the storm)


ความสงบก่อนพายุจะมา

(Calm before the storm)

ทวีปอาริกาเซีย ขึ้นปีใหม่ 3926 งานเลี้ยงฉลองถูกจัดขึ้นทั่วหัวเมืองที่มีคนอาศัยจำนวนมาก ในขณะที่หมู่บ้านและชุมชนอาณานิคมที่ห่างไกลจัดงานเลี้ยงขนาดเล็กสำหรับครัวเรือนขึ้น 2 เดือนที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงที่หลายคนรับรู้ได้

รัฐบาลกลางถูกจัดตั้งขึ้น ถูกเรียกชื่อว่า สมาพันธ์รัฐอาริกาเซีย เป็นโครงสร้างการปกครองที่ทันสมัยที่สุดในอองโทราล อย่างไรก็ตามรัฐบาลสมาพันธ์ ยังคงเป็นเพียงแค่การทดลอง การบริหารบ้านเมืองยังคงไม่ได้ดีมากนัก อาจจะเป็นเพราะบุคลากรที่มีการศึกษามีจำนวนจำกัด ผู้ที่อยู่เบื้องหลังโครงสร้างกฎหมายและสังคมเป็นใครไม่ใช่ที่ไหนไกล นอกเสียจากกลุ่มผู้ต่อต้านที่โผล่หัวออกมาจากที่ซ่อนตัวและประกาศตนต่อที่สาธารณะ

แน่นอนว่าแรงสนับสนุนต่อกลุ่มผู้ต่อต้านได้รับเสียงตอบรับเป็นจำนวนมาก ทำให้ตอนนี้กลุ่มได้เปลี่ยนชื่อไปเป็น ลูกหลานแห่งอาริกาเซีย (Children of Aricassia) นำโดยคุณหญิงเฟลิเซีย สกาเล็ต

บ้านของตระกูลจวิน ห้องรับแขก

เป็นอีกวันที่กลุ่มของเฟลิเซียได้มีการนัดพบเพื่อพูดคุยกัน ภายในห้องรับแขกมีคนจำนวนมากนั่งและยื่นอยู่ เนื่องจากว่าบ้านของแอร์นานั้นไม่ได้ใหญ่มาก แต่คนในกลุ่มนั้นมีจำนวนที่เยอะกว่าเก้าอี้ที่นั่งมีอยู่ ทำให้บางคนต้องยื่นสนทนาแทน

เฟลิเซียนั่งอยู่โซฟาพร้อมกับหญิงสองคน จิ้งจอกสาวไวท์ และหัวหน้ากลุ่มแสงตะวันออกนัทสึมิ โดยที่มีชายผู้เป็นที่รักของเธอยื่นอยู่ข้างหลัง ฝั่งขวาเป็นเก้าอี้นั่งเดียว เจ้าของบ้านตระกูลจวิน แอร์นา ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามโซฟาใหญ่เป็นชายอีกสามคน ประธานสมาพันธ์การค้า สมชาย อดีตผู้นำกองกำลังแบ่งแยก ริชาร์ด คนสุดท้ายในที่นั่งคือผู้บัญชาการสูงสุดของกองกำลังภาคพื้นทวีป ดักลาส ทั้ง 7 คนเหล่านี้คือกลุ่มผู้ก่อตั้งกลุ่มต่อต้านลีโอเนีย

นอกจาก 7 คนนี้แล้วสมาชิกย่อย บูลล์และกามิโล จากฝ่ายกองทัพ คิริลจากฝ่ายข่าวกรอง สาลิสา เฮเลน โรบิน เทลลามาซีร์และบิดาของเธอ ซึ่งเป็นผู้ปกครองของรัฐ

‘ กลุ่มนักปฏิวัติเสียมากกว่า ’ ดักลาสคิดในใจแต่เขาก็ไม่ได้กล่าวออกมาในห้องรับแขก

“เราเหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่จะพวกลีโอจะบุกโจมตี และสังหารพวกเขาชาวอาริกาเซียจนหมดทวีปใหม่” หมาป่าชราริชาร์ดกล่าว แม้ว่าบางคนจะไม่รู้ว่าพวกลีโอเนียจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่ดักลาส เฟลิเซียและผู้ที่เคยไปอาศัยในถิ่นของสิงโตนั้นรู้ดีแก่ใจ

“ยากที่จะเอาชนะได้ครับ” ลาสชะงัก “ถ้าจะให้เทียบทุกอย่างผมคงพูดไม่หมด”

ไม่ใช่ว่าลาสไม่เข้าใจ เขาใช้ชีวิตในทวีปบ้านเกิดของลีโอเนีย ทุกสิ่งบนลีโอเนียถือว่าห่างไกลจากอาริกาเซียอย่างมาก ต่อให้เขามายุคที่ทันสมัย แต่จะให้มาพัฒนาดินแดนที่เหมือนยุคมืดแบบอาริกาเซียก็คงทำไม่ได้ ลาสไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ วิศวกรก็ไม่ใช่ ถ้าจะเปลี่ยนให้อาริกาเซียก้าวหน้า เขาเองต้องใช้สมองของคนอื่นๆ โดยโยนไอเดียความรู้พื้นๆให้กับนักคิดหน้าใหม่

อย่างเช่นนักโทษที่ได้รับโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่บนอาริกาเซีย

“อาวุธปืนคาบศิลาที่เราใช้กันอยู่เป็นของเก่าในลีโอเนีย ในขณะที่ปืนของลีโอเนียเป็นอาวุธมีความแม่นยำสูงกว่าปืนตคาบศิลาของพวกเราอย่างมาก ไม่พอแค่นั้น ลีโอเนียยังเป็นดินแดนของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ทันสมัยที่สุดบนอัลชาฟไวส์ ต่างจากเราที่เป็นดินแดนเกษตรกรรมโบราณ”

“อะหร่ะ ที่ลีโอเนียยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ” นัทสึมิกล่าวถาม หลายคนในห้องนี้ยังไม่เคยเห็นบ้านเมืองของลีโอเนียมาก่อนในชีวิตนี้

“ยิ่งใหญ่จนเรากลัวเสียเลยล่ะ ท่านนัทสึมิ” เฟลิเซียกล่าวตอบ

ทางด้านเศรษฐกิจยังคงต้องพึ่งพาพวกพ่อค้าจากสมาพันธ์การค้า ซึ่งพวกเขาก็ยังคงปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการกบฏในครั้งนี้ การค้าขายยังคงดำเนินต่อไปแบบปกติสุข? หากสมาพันธ์การค้าถูกโจรสลัดใบเรือดำในอาจิเต้โจมตี พวกเขาคงสูญเสียรายได้จำนวนมากเป็นแน่ แต่เนื่องจากความเคลื่อนไหวของสหจักรวรรดิลีโอเนียนั้นจะยังคงไม่มา จนกว่าจะหมดหน้าหนาวที่โหดร้ายหลังเดือนกุมภาพันธ์ไป ข้อมูลที่สำคัญเช่นก็คงต้องขอบคุณพวกสายลับอย่างสุดใจ

แต่แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ต้องระวังตัวจากหน่วยสอดแนมของพวกลีโอที่อาจจะแอบอยู่บนอาริกาเซียเหมือนกัน…

การสนทนานั้นดำเนินไปอีกราวๆ สามชั่วโมงส่วนมากแล้วดักลาสจะเป็นคนพูดแนะนำคนในกลุ่ม โดยอย่างยิ่งเฟลิเซียที่ตอนนี้เป็นถึงตัวแทนของฝ่าบบริหาร แน่นอนว่าลาสได้เสนอและเขียนแนวทางของรัฐบาลกลางของสมาพันธรัฐให้กับทุกคนได้ออกความเห็น ชายหนุ่มสร้างสิ่งที่ทำให้หลายคนตกใจอีกครั้ง

ลาสเสนอให้ก่อตั้งหน่วยงานบริหารของรัฐบาลกลางสมาพันธรัฐ แม้ว่าจะมีหลายคนสงสัยถึงหน้าที่ของมัน ลาสได้อธิบายหน้าที่ของหน่วยงานว่าให้ทุกคนได้ฟัง ลาสต้องการสร้างรากฐานของหน่วยงานที่จะแบ่งภาระของฝ่ายบริหาร สุดท้ายของการสนทนาจะเป็นเรื่องของกองกำลังภาคพื้นทวีปที่ลาสเป็นกังวล เพราะว่าสมาพันธรัฐจะต้องหาเงินมาช่วยจ่ายค่าต่างๆให้กับกองทัพ

แต่สมาพันธรัฐพึ่งถูกก่อตั้งขึ้น เขาจะไปหาเงินจากไหนกันเล่า? โชคยังดีที่ลุงสมชายเตรียมเรื่องเงินทุนเขาไว้ให้แล้ว แน่นอนว่ามันไม่ได้โดยไม่ได้เสียอะไรเลย พ่อค้ายังไงก็ยังเป็นพ่อค้า เหมือนกับเงินกู้มากกว่าเงินทุน ซึ่งลาสก็รับรู้ได้ เมื่อได้คำสัญญาเรื่องเงินทุนแล้ว ประธานสมาพันธ์การค้าจะขอแยกตัวไปปทำธุระของตัวเอง ทำให้คนอื่นๆก็เริ่มทยอยกลับไปทำหน้าที่ของต้น

ดักลาส บูลล์ กามิโลและคิริล เดินทางกับค่ายทหารของตน ชายหนุ่มมองไปยังเมืองบอสตันที่เต็มไปด้วยผู้คนด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย เมืองท่าที่ยิ่งใหญ่อาจจะกลายเป็นเถ้าถ่านเมื่องต้องเจอกับ กองเรือที่ยิ่งใหญ่ แน่นอนว่าพวกเขาสู้กองเรือลีโอเนียไม่ได้ และไม่แน่ลาสอาจจะได้เจอกับกองกำลังที่เขาไม่อยากจะพบเจอที่สุด เซอร์เบอรัสที่ 3 สหายเก่าของชายหนุ่ม

นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวจับจ้องมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆขาวและลมทะเลอาจิเต้ที่พัดเส้นผมสีขี้เถ้าของเขา เขาคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะเอาชนะกองทัพมหาอำนาจของโลกด้วยความเหม่อลอย ก่อนที่เขาเอ่ยพึมพำออกมาขณะที่นั่งพิงหน้าต่างของรถม้า คำพูดของชายหนุ่มเบาจนคนที่นั่งด้วยกันไม่ได้ยิน

“ศัตรูของศัตรูคือมิตรของเรา… ซิสเตอร์ เอเบรียลล์… เราหวังว่าพวกคุณจะยอมรับอาริกาเซีย”

……

.

.

.

.

.

.

28 กุมภาพันธ์ ศอ.3926

อาณาจักรแฟแลงซ์อันศักดิ์สิทธิ์ มหานครสีขาวออร์เลรีส (Orléris City)

เมืองหลวงของแฟแลงซ์ที่ยิ่งใหญ่เป็น มหานครที่เก่าแก่สุดในอองโทราล มันถูกสร้างจากด้วยความประณีต หรูหราโอ่อ่าดูมีความมีอำนาจ ทุกอย่างของเมืองทุกโครงสร้างเมืองคือศิลปะสีขาว สถาปัตยกรรมที่เน้นไปถึงความสวยงามและความเชื่อของชาวแฟแลงศ์ที่มีต่อพระผู้สร้าง

ผังเมืองของออร์เลรีสนั้นถูกวางให้เป็นระเบียบจนน่าแปลกตา ตัวเมืองมีอายุยาวนานหลายพันปี แต่ถนนหนทางเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่ายเป็นระเบียบเรียบร้อย ตัวเมืืองมีแม่นํ้าขนาดใหญ่ไหลผ่านแม่ ตัวเมืองที่เหมือนวงกลมนั้นมีถนนเชื่อมต่อไปยังศูนย์กลางของเมือง ซึ่งมีสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง

พระราชวังสีขาวของราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ พระราชวังออร์เลรีส (Château de Orléris)  สมกับเป็นฐานะศูนย์กลางทางอำนาจแฟแลงศ์ โดยยังคงแฝงศิลปะที่เก่าแก่เอาไว้ กระจกจำนวนซึ่งมีราคาแพงถือเป็นส่วนหนึ่งขอพระราชวังแห่งนี้ ตัวพระราชวังออร์เลรีสล้อมรอบอีกหนึ่งสิ่งก่อสร้างที่สูงใหญ่ สวนสีเขียวที่เต็มไปด้วยสาวกระดับสูง อาสนวิหารแคโรไลน์แห่งออร์เลอริส (Cathédrale Caroline d'Orléris)

นักบวชเดินไปมาระหว่างอาสนวิหารและพระราชวังเหมือนกับขุนนาง อำนาจของแฟแลงซ์มีเพียงแค่สองอำนาจเท่านั้น อำนาจของราชวงศ์ และอำนาจของศาสนักจักร สองอำนาจที่ถ่วงดุลกัน ผู้ปกครองสูงสุดในแฟแลงซ์ สมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์แห่งราชวงศ์แฟแลงซ์ และ อัครมุขนายก โจเซฟที่ 2

สวนสีเขียวของพระราชวังออร์เลอริส หญิงสาวในเครื่องแบบนักบวชระดับสูงสีขาวทองของแฟแลงซ์ เธอเดินพร้อมกับผู้ติดตามอีก 4 คน ปีสีขาวและวงแหวนสีเหลือง บ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์ของซองทูอา หญิงสาวเดินไปที่ใดก็จะมีแต่คนทำความเคารพของด้วยสายตาของที่เลื่อมใส

เธอคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ มิราเบลล์ เดอ ฟลอริเต้ หญิงสาวผู้สูงส่งเดินเข้าอาสนวิหารแคโรไลน์แห่งออร์เลอริส ภายในเต็มไปด้วยนักบวชฝึกหัด ที่กำลังเตรียมตัวฝึกเวทมนตร์แห่งแสง ตามความเชื่อของแฟแลงซ์ แฟแลงซ์ถือว่าเป็นมหาอำนาจด้านการเวทมนตร์อย่างมาก เพราะงั้นแล้วผู้ที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้จะถูกส่งมาฝึกและเรียนรู้ในศาสนจักรกันตั้งแต่เด็ก

อาสนวิหารแคโรไลน์แห่งออร์เลอริส ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มาพร้อมกับที่อยู่อาศัย มิราเบลล์เดินทางขึ้นไปชั้นบนของอาสนวิหารก่อนจะหยุดตรงที่หน้าห้องขนาดใหญ่ ซองทูอาผู้ติดตามเปิดประตูให้กับเธอ เผยให้เห็นภายในห้อง เหมือนกับห้องพิธีแต่กลับดูเหมือนห้องรับแขกเสียมากกว่า มิราเบลล์สั่งให้ผู้ติดตามออกไป ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปในห้องและปิดประตูห้อง

“ท่านเจ้าข้า” หันหน้าตามเสียงเรียกก็พบกับซองทูอาผู้มีเส้นผมสีขาว เครื่องแบบนักบวชระดับสูง

“ซิสเตอร์ เอเบรียลล์” มิราเบลล์เอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปหาแขกอีกคน “และท่านคือ”

ผู้ที่อยูข้างๆ ซิสเตอร์ เอเบรียลล์ เป็นชายหนุ่มอายุน้อย เส้นผมสีนํ้าตาลอ่อน ดวงตาสีเขียวของเขาเป็นไปความอยากรู้อยากเห็น เขาลุกขึ้นและก้มหัวให้กับ มิราเบลล์ก่อนจะแนะนำตัว

“อันฮัลท์ เวติก้า จากสมาพันธรัฐครับ”

“แล้ว… กบฏแห่งอาริกาเซียเหตุใดจึงมาหาเรากัน?” มิราเบลล์ชะงักก่อนจะกล่าวออกมาด้วยนํ้าเสียงที่สเย็นช้าเล็กน้อย

“หากท่านต้องการความช่วยเหลือ ท่านคงต้องขอองค์ราชา ตัวเราไม่ได้มีอำนาจพอที่จะสั่งให้ชาวแฟแลงซ์ไปตายในทะเลแห่งความวุ่นวายเสียหน่อย”

“พวกเราชาวอาริกาเซียนั้นต้องการอิสรภาพ แต่การที่จะสามารถเอาชนะลีโอเนียได้นั้น พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากพวกท่าน เราเข้าใจว่ากองทัพเรือของลีโอเนียนั้นแข็งแกร่งที่สุดบนอองโทราล แต่ว่า…” อันฮัลท์หยุดชะงัก “ตัวผมอยากจะให้ท่านช่วยทำให้สามารถเข้าพบอัครมุขนายกเพื่อเจรจาด้วยครับ”

“ล้มเลิกเสีย อัครมุขนายกท่านคงไม่อยากจะยุ่งกับพวกลีโอในตอนนี้เป็นแน่” มิราเบลล์ยังคงปฏิเสธชายหนุ่ม จนทำให้ซิสเตอร์ เอเบรียลล์ถอนหายใจออกมา สร้างความสงสัยให้กับสตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างมาก เหตุใดเอเบรียลล์ถึงได้ดูเปลี่ยนไปอย่างมากหลังศึกที่เมืองโฟลิก แต่เธอก็ไม่ได้กล่าวถามอะไร

อันฮัลท์จ้องมิราเบลล์อยู่ขณะหนึ่งก่อนเขาจะกล่าวสิ่งที่จะทำให้หญิงตรงหน้าเปลี่ยนใจ

จักรวรรดิอาเรน่ากำลังรอการพิพากษาครั้งสุดท้าย

……

.

.

.

.

.

.

มีนาคม ศอ.3926

ใจกลางมหาสมุทรอาจิเต้ คลื่นทะเลขนาดใหญ่ซัดเข้ากับเรือขนส่ง เสียงกะลาสีโกนลั่นอยู่บนด้านฟ้าของเรือ ผืนทะเลขนาดใหญ่แห่งนี้ยังคงไม่สงบเหมือนเช่นเคยเรือแกลเลียนสีแดงเลือด ใบเรือแดงอ่อนพร้อมสัญลักษณ์ใบเรือรูปดอกกุหลาบสีขาวเรือ เรือที่โดดเด่นที่สุดบนพื้นทะเลอาจิเต้ คริมสัน-ไซเรน และกัปตันของเธอ โซเฟีย จาโตก้า โจรสลัดใบเรือดำ

นัยน์ตาสีดวงเดียว เส้นผมสีแดงปลิวตามสายลมของคลื่น โซเฟียใช้กล้องส่องไปรอบๆตัวเธอ กองเรือโจรสลัดใบเรือดำ ไม่ได้อยู่อย่างเดียวดาย เพราะว่าสิ่งที่เธอเห็นคือกองเรือขนาดใหญ่ของสหจักรวรรดิ ที่มุ่งตรงสู่โลกใหม่ กองทหารบนเรือจำนวนมาก เรือรบติดอาวุธที่เคลื่อนตัวเป็นระเบียบกองเรือ

ต่อให้เป็นกองเรือโจรสลัดของเธอก็คงสู้กับลีโอเนียอย่างลำบากอย่างไม่ต้องสงสัย

“ให้ตายสิอาริกาเซียกล้าต่อต้านลีโอไปได้ยังไงกันนะ!?” เธอกล่าวเสียงดังขณะที่มองไปยังเรือเหล็กซึ่งเป็นเรือธงของกองเรือนี้

“กัปตัน! แล้วแม่หนูที่น่ารักจะไม่เป็นไรเหรอ?” ต้นหนเรือคริมสัน-ไซเรนถามถึง หญิงสาวคนหนึ่งที่เคยเห็นอยู่กับกัปตันของเขา

“ต่อให้อาริกาเซียแพ้ หรือชนะ? ยังไงเจ้านั้นก็หาทางหนีได้อยู่ดี แต่ว่านะข้าไม่คิดว่าน้องสาวที่น่ารักคนนั้นจะกลายเป็นพวกที่ต่อต้านลีโอ~  ให้ตายสิยุคนี้มันช่างน่าตื่นเต้นจริงๆ !!” เธอเก็บกล้องส่องทางไกลและยกเหล้าขึ้นมาดื่มก่อนจะออกคำสั่งกลับลงใต้ทะเล “เตรียมดำลงใต้นํ้า !!”

สายตาของเธอยังคงมองกองเรือขนาดใหญ่ที่เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ อีกไม่นานสหจักรวรรดิก็จะไปถึงอาริกาเซีย และสงครามบนโลกใหม่ก็จะกำเนิดขึ้น เธอว่างตัวเป็นกลางและจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับสงครามที่จะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามสิ้นสุดหน้าหนาวนี้ โซเฟียก็คงเป็นห่วงชายหนุ่มที่เธอชอบจับแต่งตัว เธอยังคงหวังว่าดักลาสรอดในสงครามครั้งนี้

นํ้าทะเลค่อยๆขึ้นสูงขึ้นด้วยความรวดเร็ว โซเฟียที่ยิ้มตลอดเวลาเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่จริงจังอีกครั้ง คริมสัน-ไซเรนค่อยๆจมดิ่งลงใต้มหาสมุทร มวลนํ้าปกปิดด้านฟ้าเรือ นํ้าทะเลกระทบกับต้นขา ก่อนที่จะเลื่อนขึ้นมาบริเวณร่างกายของเธอ และทั้งตัวของหญิงสาวจะจมหายไปพร้อมกับคลื่นมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ ก่อนที่ตัวเรือคริมสัน-ไซเรนจะหายไปจากหน้านํ้าขบวนเรือลีโอเนีย

กองเรือใบเรือดำลงสู่ใต้ทะเล เหลือไว้เพียงแค่ขบวนกองทัพเรือของราชสีห์แดนเหนือที่มาพร้อมกับความพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ เป้าหมายของพวกเขามีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น

บดขยี้พวกกบฏ…


0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด