ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0067
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0069

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0068


บทที่ 24 นักบุญหญิง (3)

* * *

แหงนหน้ามองท้องฟ้าสักพัก นักบุญหญิงเดินเข้ามาใกล้กองไฟและนั่งยอง

ในสภาพคาบมีดในปาก ดวงตาเอาแต่จ้องกองไฟ

คนคนนี้คือนักพยากรณ์ หนึ่งในสิบสองผู้ปกครองจริงหรือ?

“…ไหนว่าบนโลกมีผู้ปกครองแค่สิบสองคน?”

ได้ยินคำถามของฉัน ลิลี่พยักหน้า

“แล้วทำไมถึงเดินสวนกันบ่อยนัก?”

“ระฆังเอล โรคร่า เบลล่า”

ถ้าเหล่าผู้ปกครองคิดจะเคลื่อนไหว เส้นทางมักทับซ้อนกัน เป็นธรรมดาที่จะได้พบเจอกลางทาง

ว่าแต่ เธอเป็นนักพยากรณ์จริงหรือ

“ถ้าอ้าปากไม่ได้ แล้วจะมอบคำทำนายยังไง”

นักบุญหญิงทำเพียงจ้องกองไฟด้วยสายตาเหม่อลอย

ฝ่ายที่ตอบคืออัศวิน

“คำทำนายทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้ ล้วนมาจากนักพยากรณ์รุ่นก่อน หรือไม่ก็สิ่งที่ท่านนักบุญเคยทำนายไว้ก่อนจะหยุดทำนาย”

มีดที่หากคาบแล้วก็จะเอาออกจากปากไม่ได้อีก

เป็นราวกับบานประตูที่ปิดกั้นคำทำนายทั้งปวง

ฉันสงสัยว่าเพราะเหตุใด แต่อัศวินทำเพียงแค่ส่ายหน้า

อาจเป็นสิ่งที่เธอไม่รู้ หรือไม่ก็ฉันไม่ควรฟัง ถ้าทางนั้นไม่อยากพูด ฉันก็ไม่ซักไซ้

ย้อนกลับมาที่เนื้อหาเดิมของอัศวิน

หนึ่งในคำทำนายระบุไว้ว่า ผู้ที่สั่นระฆังเอล โรคร่า เบลล่า จะเผชิญเคราะห์กรรมเพราะดาวดำ

…แต่ฉันเป็นคนพาดาวดำขึ้นสวรรค์

หลังจากยืนยันกับอัศวินจนแน่ใจ ฉันหันไปถามลิลี่ด้านหลัง

“บางที คำทำนายอาจเป็นแค่เรื่องงมงาย”

ฉันคิดขำๆ แต่ท่าทีลิลี่แตกต่างออกไป

“นักพยากรณ์ไม่เคยทำนายผิด”

“ไม่เคยเลย?”

ลิลี่พยักหน้าขึงขัง

“ไม่มีทางผิด เพราะนั่นคือวิวรณ์จากเทพ เป็นชะตากรรมของนักพยากรณ์ตั้งแต่เกิด”

ลิลี่หันมาทางฉัน

“เจ้าก็เห็นนักพเนจรแล้วไม่ใช่หรือ แม้จะเกิดมาเป็นเอลฟ์ แต่ก็เอาชนะชะตากรรมไม่ได้ ต้องเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงหมู่บ้านของเจ้า”

ก็เคยได้ยินมาบ้าง

ซอจีอาพูดชัดเจนว่า เธอเกลียดชังชะตากรรมของตัวเอง เพราะไม่ว่ายังไงก็ฝ่าฝืนไม่ได้

อย่างไรก็ดี เหตุผลที่เธอมายังหมู่บ้านชาวโลก ก็เพื่อเติมเต็มคำสัญญาในการตามหาลิลี่

กำลังจะบอกว่า ไม่มีใครสามารถขัดขืนชะตากรรมได้?

“แล้วทำไมครั้งนี้ถึงผิด”

“นั่นแหละที่แปลก ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้ามันแปลกไปหมด”

สุดท้ายก็เข้าอีหรอบเดิม

“…ฉันชินแล้วล่ะ ไม่ว่าจะเรื่องที่มนุษย์พูดภาษารูนไม่ได้ หรือมนุษย์เป็นผู้ปกครองไม่ได้… จะเกิดอะไรขึ้นอีกก็คงไม่น่าแปลกใจ”

“ที่แปลกที่สุดคือนิสัยของเจ้าต่างหาก”

“นิสัยของฉัน? ทำไม? ก็ทำตัวปรกติมาตลอด…”

ทันใดนั้น ฉันหวนนึกถึงเรื่องสมัยอดีต ที่เคยตัดสินใจพักการเรียนมหาวิทยาลัยเพียงเพราะเบื่อ

“…ไม่ปฏิเสธก็แล้วกัน เมื่อก่อนก็เคยมีคนพูดแบบเดียวกับเธอ”

ลิลี่กลั้นขำเมื่อได้ยินคำตอบ

* * *

ลิลี่ครุ่นคิด

แม้เธอจะขำมุกตลกของคังซอนฮู แต่ภายในใจก็ยังมองว่าแปลก

ลิลี่เคยได้ยินจากพ่อมาตั้งแต่เด็ก ว่านักพยากรณ์ได้ทำนายจุดจบของอาณาจักรซินก้าไว้นานแล้ว

และคำทำนายก็เกิดขึ้นจริง

พ่อของเธอเชื่อคำนำทายมาตลอด จนถึงขั้นที่เลิกฝ่าฝืนชะตากรรมและยอมรับจุดจบของซินก้าแต่โดยดี

สองสามีภรรยาซินก้าเลือกที่จะส่งต่อชะตากรรมของตระกูล โดยการช่วยให้บุตรสาวมีชีวิตรอดต่อไป

ด้วยเหตุนี้ คำทำนายจากนักพยากรณ์จึงไม่เคยพลาด และไม่มีเอกสารฉบับใดบันทึกถึงความผิดพลาดมาก่อน

แต่ทำไมคราวนี้ถึงผิด?

อาจเป็นเหตุการณ์เล็กๆ แต่แรงกระเพื่อมไม่เล็กแน่นอน

อย่างไรก็ดี ถึงจะเล่าให้คังซอนฮูฟัง อีกฝ่ายก็คงไม่ใส่ใจ เพราะชายคนนี้ไม่เคยตระหนักถึงความพิเศษของตน

สิ่งที่เขาสนใจคืออะไร?

ประสบการณ์ระหว่างทาง

แค่เรื่องเดียวเท่านั้น

ลิลี่ค่อยๆ ซึมซับแนวคิดดังกล่าว

เพราะคังซอนฮูแสดงให้เห็นหลายครั้งแล้วว่า แนวคิดการใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ผิด

อิสรภาพ

คังซอนฮูมองว่าสิ่งนี้สำคัญที่สุด

‘เขาเป็นอิสระจากชะตากรรมของนักล่า?’

สำหรับประเด็นนี้ ลิลี่ยังหาข้อสรุปไม่ได้

จากคำบอกเล่าของซอจีอา นักล่าคือคนเถื่อนที่ควรจะสูญเสียความเป็นคนโดยสิ้นเชิง ไม่เปิดใจรับใครทั้งสิ้น

แล้วทำไมคังซอนฮูที่เกิดมาพร้อมชะตากรรมของนักล่า ถึงมีนิสัยแตกต่างออกไป

ความคิดของลิลี่มาตายตรงนี้ทุกครั้ง

เธอจึงไม่คิดต่อ เครียดไปก็เปลืองสมอง นั่นคือวิธีที่คังซอนฮูสอนมา

ลิลี่แค่ยิ้ม

“ข้าอยากพักผ่อน”

ได้ยินคำพูดลิลี่ คังซอนฮูพยักหน้าพลางแหงนหน้ามองฟ้า

ยังเหลืออีกหลายชั่วโมงก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น มีเวลาให้พักผ่อนเหลือเฟือ ลิลี่อาจติดตามคังซอนฮูมาตลอดทางโดยไม่เหน็ดเหนื่อย แต่เธอเองก็มีขีดจำกัด

“กลับไปที่กองไฟกันก่อนไหม? ฉันอยากฟังเรื่องราวจากอัศวินมากกว่านี้”

คังซอนฮูพูดพร้อมกับเดินย้อนกลับไปทางกองไฟ

อัศวินกำลังสัปหงก

ในท่าแบบนี้ เธอยังดูสง่างาม

“คุณอัศวิน”

คังซอนฮูเรียกอัศวินอย่างสุภาพ อัศวินสะดุ้งตื่นด้วยอาการตกใจเบาๆ

“อ…อื้อ? มีอะไร?”

“เธอคนนั้นกำลังจะหลับไม่ใช่หรือ”

อัศวินรีบหันไปมองทางขวามือ

นักบุญหญิงที่นั่งยองข้างกองไฟเมื่อสักครู่ กำลังเอนศีรษะเข้าหากองไฟมากขึ้นเรื่อยๆ

“ท่านนักบุญหญิง!”

อัศวินตะโกนเรียกนักบุญหญิงเสียงดัง

“เฮือก!”

นักบุญหญิงสะดุ้งพร้อมกับรีบเงยหน้า พลางใช้มือสองข้างประคองมีดอย่างระมัดระวัง

ด้วยดวงตาเบิกกว้าง เธอจ้องอัศวินพร้อมกับส่ายศีรษะ

“อื้อ! อื้อ!”

“…เราเชื่อใจหล่อนได้จริงๆ ใช่ไหม”

ได้ยินคำพูดคังซอนฮู ลิลี่เองก็ตอบไม่ถูก

“ตอนแรกก็ดูเป็นคนลึกลับ”

“ใช่”

“…แต่สุดท้ายก็ไม่ต่างจากเรา”

“…อื้อ”

เธอตอบอย่างมั่นใจ

* * *

“หือ…”

ลิลี่ลืมตาขึ้น เธอไม่แน่ใจว่าหลับไปนานแค่ไหน

ด้านนอกยังได้ยินเสียงฟืนไหม้อยู่

ยังผ่านไปไม่นาน? หรือมีใครตื่นมาก่อกองไฟอีกรอบ?

เธอไม่ทราบ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ

พิจารณาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยสว่าง เดาได้ว่าพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น

เธอดึงถุงนอนที่คลุมถึงหัวไหล่ลง ดูเหมือนว่าคังซอนฮูจะช่วยห่มให้

เมื่อเงยหน้าขึ้น ลิลี่พบว่าฉากกั้นแสงภายในเต็นท์ถูกปิดสนิททั้งหมด

“…?”

ปิดไว้ทำไม?

หลังจากมองไปรอบๆ เธอสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากล

จนกระทั่งมองออกไปด้านนอกเต็นท์ ลิลี่ได้เข้าใจว่าทำไมคังซอนฮูถึงต้องปิดฉากกั้น

เธอรีบออกมาข้างนอก เห็นคังซอนฮูกำลังยืนกอดอกแหงนมองฟ้า

ลิลี่ค่อยๆ เข้าไปใกล้

แหมะ—

แหมะ—

เสียงหนืดๆ ดังมาจากฝ่าเท้า

โลกทั้งใบกำลังถูกย้อมด้วยสีขาว เกาะท้องฟ้าที่อยู่ไกลลิบๆ ก็มีสีขาวโพลนเช่นกัน

ยังกับอยู่ในนิทาน

บนเกาะลอยฟ้ามีปราสาทหนึ่งหลัง

ฉากที่แต่เดิมก็น่าตื่นตาตื่นใจอยู่แล้ว เมื่อถูกย้อมจนกลายเป็นสีขาวโพลน ลิลี่รู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

แต่ตรงข้ามกับความรู้สึกนั้น สายลมที่พัดผ่านช่างเย็นยะเยือก

“หิมะตกน่ะ”

เป็นเสียงของอัศวิน นักบุญหญิงที่นั่งข้างกองไฟก็กำลังแหงนมองท้องฟ้า

“ลิลี่… นี่คือผลจากการขึ้นสวรรค์ของดารากร?”

คังซอนฮูถามพลางเงยหน้า ลิลี่ครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูด

“อาจจะ”

คังซอนฮูผงกหัว สีหน้าคล้ายกับกำลังไตร่ตรองบางสิ่ง

แต่ก็ครุ่นคิดแค่ครู่เดียว

“กินอะไรกันเถอะ”

ลิลี่เปิดกระเป๋า หยิบซุปเลือดวัวกึ่งสำเร็จรูปออกมา

คังซอนฮูอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เมื่อเห็นลิลี่คุ้นชินกับวิถีชีวิตเช่นนี้ในเวลาอันสั้น

* * *

อัศวินกินบางสิ่งที่ดูคล้ายกับวุ้น

เสบียงสำหรับแวมไพร์? ดูเหมือนจะทำจากเลือด สำหรับฉัน มันไม่น่ากินสักเท่าไร

ฉันกินขนมต๊อกที่ซอจีอาทำให้ แม้รสชาติจะห่วยเหมือนกับหน้าตา แต่กลับช่วยเติมเต็มความอิ่มท้องได้อย่างน่าทึ่ง เป็นอาหารชั้นยอดสำหรับการเดินทางไกล

ในหม้อบนกองไฟ ซุปเดือดๆ กำลังส่งกลิ่นหอม

ซุปเลือดวัวสำหรับลิลี่ ฉันเลือกซื้อยี่ห้อที่มีคุณภาพสูงสุด

การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างยาวนาน ก็เลยต้องพิถีพิถันสักหน่อยเพราะกลัวเธอจะเบื่อ

ทว่า

“…คุณอัศวิน”

“…หือ”

“ถ้านักบุญหญิงเข้าไปใกล้กว่านี้ เธออาจจะหยดเครื่องปรุงใหม่ลงไปโดยไม่รู้ตัว”

นักบุญหญิงกำลังจ้องหม้อด้วยดวงตาเบิกกว้าง จนน่ากังวลว่าน้ำลายของเธอจะหยดลงไป

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ภาพจำของฉันที่มีต่อตำแหน่ง ‘นักบุญหญิง’ คงพังทลายไม่เป็นท่า

แน่นอน นักบุญหญิงไม่ได้ทำเช่นนั้น

ได้ยินคำพูดของฉัน เธอรีบเงยหน้าและหันมา พลางดึงชายเสื้ออัศวินสองสามหน

“อื้อ! อื้อ!”

อัศวินสบตากับนักบุญหญิงสักพักก่อนจะหันมาพูดกับเรา

“ท่านนักบุญหญิงสงสัยเกี่ยวกับวิธีปรุงอาหารของพวกเจ้าน่ะ ข้าเองก็ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน”

อัศวินค่อนข้างอ่อนโยนกับนักบุญหญิง เมื่อเทียบกับบรรยากาศที่ค่อนข้างเย็นชาและแข็งกร้าวของเธอ

เห็นว่าถูกนักบุญหญิงเก็บมาเลี้ยงสินะ

“เธอเข้าใจที่นักบุญหญิงพูดด้วยหรือ”

“แค่พอเดาได้”

“แค่นั้นก็น่าทึ่งมากแล้ว”

“เพราะข้าคือแวมไพร์ผู้เชื่อมวิญญาณกับท่านนักบุญ”

จากนั้น เธอหันมาทางลิลี่

“ดูเหมือนว่ารอยัลบลัดจะเลือกมนุษย์สินะ”

ลิลี่ที่กำลังเหม่อมองหม้อเดือด สะดุ้งเล็กน้อยพลางหันกลับมา

“…เธอก็ได้ยินความคิดของฉันเหมือนกัน? ฉันอายนะ”

ลิลี่ส่ายหน้า

“ไม่เลย แค่คลื่นหัวใจของพวกเราตรงกันเฉยๆ”

อัศวินยิ้มเจือจาง

ฉันกล่าวพลางมองนักบุญหญิงที่กำลังจ้องหม้อเดือด

“นักบุญหญิงไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกหรือ ทำไมถึงดูแปลกใจกับเรื่องแบบนี้”

“นี่คือครั้งแรกเลย… จะเรียกว่าหนีออกมาก็ไม่ผิด”

“…”

“ก่อนหน้านั้น พวกเราไม่เคยออกจากกำแพงมหาวิหาร”

ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นสักหน่อย ทำไมถึงเพิ่งเคยออกมาเที่ยว?

ดูเหมือนว่าตำแหน่งนักบุญหญิงจะน่าอึดอัดกว่าที่ฉันคิด

ขณะเริ่มมื้ออาหาร นักบุญหญิงยังคงไม่หายคาใจในวิธีการปรุงอาหารของลิลี่

หลังจากอัศวินลองชิมซุปของลิลี่ เธอทำหน้าตกตะลึง

“ถ้าเป็นเจ้านี่… ข้ากินได้ทุกวันโดยไม่เบื่อ”

นั่นคือเหตุผลที่ลิลี่กินมันทุกวัน แต่ฉันทนผงชูรสไม่ได้

หลังกินเสร็จ ลิลี่ถาม

“เจ้าจะทำยังไงต่อ”

“เตรียมตัวขึ้นไปที่นั่น”

ฉันชี้ไปทางเกาะท้องฟ้า

“ยังไง? คำตอบของเจ้ากว้างเกินไป”

“ยังบอกไม่ได้ ต้องค่อยๆ เดินไปทีละก้าว ถึงที่นั่นแล้วอาจจะได้รู้อะไรก็ได้”

ฉันกล่าวพลางแหงนมองเกาะท้องฟ้า

พิจารณาจากยอดหอคอยในจุดที่ใกล้ที่สุด ระยะห่างจากตรงนั้นน่าจะหลายร้อยเมตร

“มีไอเดียหรือยัง”

“…ป่าจะถือกำเนิดได้สองวิธี หนึ่ง ด้วยเมล็ดพันธุ์ป่าที่มาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของป่าแก่ชรา และสอง กลุ่มต้นไม้และพืชพรรณรวมตัวกันจนเกิดอัตตาแบบกลุ่ม”

“ข้าเคยได้ยินมาบ้าง”

“แต่ถ้าทำบางสิ่งกับเมล็ดพันธุ์ป่า มันจะไม่กลายเป็นป่า แต่จะเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ แทน และเมื่อเป็นแบบนั้น…”

นั่นคือโอกาส

ฉันเคยเห็นสปริกแกนปลูกต้นไม้ในพริบตามาแล้ว ถ้านึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อครั้งพบเซลฟีครั้งแรก ก็พอจะอนุมานหลักการได้ไม่ยาก

ลิลี่มองไปรอบๆ

“แต่แถวนี้ไม่มีป่า… เจ้าเตรียมเมล็ดพันธุ์ป่าเอาไว้แล้ว?”

ฉันส่ายหน้า

“ป่าเบอร์มิวด้ายังไม่มีเมล็ดพันธุ์ จึงขอไม่ได้… และเธอคิดจริงหรือว่าแถวนี้ไม่มีป่า?”

“…เจ้าหมายถึงอะไร”

ฉันแหงนมองฟ้า

“หิมะตกใช่ไหมล่ะ? รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น จากนั้นค่อยมาตัดสินใจกัน”

ลิลี่แหงนมองท้องฟ้าตาม

หิมะในต่างโลกมีสีค่อนไปทางฟ้า

กำลังจะบอกว่า ท้องฟ้าในต่างโลกอัดแน่นด้วยพลังเวท?

อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะที่นี่คือต่างโลก

หลังจากไตร่ตรองสักพัก ฉันเปิดปาก

“สมัยก่อนที่ฉันดิ้นรนเอาตัวรอดในป่า รู้ไหมว่าฉันเคยเห็นหิมะตกกี่ครั้ง”

แน่นอนว่าลิลี่ส่ายหน้า

“แค่สองครั้ง”

“…แต่เจ้าเห็นไวลด์ฮันต์ถึงแปดครั้ง”

“ใช่”

“กลับเคยเห็นหิมะแค่สองครั้ง?”

ฉันพยักหน้าพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“แถวนั้นคงเป็นเขตที่ไม่มีหิมะตก… และนั่นทำให้ฉันเรียนรู้บางสิ่ง”

“เรียนรู้?”

“จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหิมะตกในที่ที่ไม่เคยตก”

พวกเรายืนรออย่างเงียบงัน

เพียงไม่นาน เหตุการณ์ในความทรงจำของฉันถูกฉายซ้ำอีกครั้ง

“…เมื่อหิมะตกในที่ที่ไม่เคยตก สิ่งที่ซ่อนตัวอยู่จะกระสับกระส่ายและรีบหนี”

ดูเหมือนว่าชาวต่างโลกอย่างลิลี่ อัศวิน และนักบุญหญิงจะไม่ทราบข้อเท็จจริงนี้

เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะพวกเธอใช้ชีวิตใต้เพดานมาตลอด

ผืนดินเริ่มยกตัวสูง คล้ายกับเห็ดขนาดเท่าบ้านกำลังผุดหัว บางสิ่งโผล่ขึ้นจากพื้นพร้อมกับการฟุ้งกระจายของทรายและฝุ่น

ครืน!

พวกเรามองเห็นเพียงวัตถุทรงกลมขนาดมหึมาสามก้อน แต่ละตัวสูงกว่ากระท่อมที่ฉันเคยสร้างประมาณสองเท่า

หิมะ ดิน และหญ้าบนกระดองของพวกมันร่วงกราวไม่ขาดสาย

“…นี่มันตัวอะไร”

“เต่า”

“เต่า?”

เต่ายักษ์ ลำพังความสูงอย่างเดียวก็มากกว่าตึกสองชั้นแล้ว จึงไม่ต้องจินตนาการถึงขนาดตัวโดยรวม

“ฉันเรียกมันว่า”

— ผู้เฝ้าประตูแห่งป่าใต้ดิน

“ในต่างโลก ป่าไม่ได้มีแค่บนดิน”

ป่าคือสิ่งมีชีวิต

หมายความว่า ป่าวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด

บางป่าดำรงชีวิตอยู่ใต้ดิน ถือเป็นการยอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงผืนดินที่มีการแข่งขันสูง

นับตั้งแต่เห็นหิมะตก ฉันคำนวณสถานการณ์นี้ไว้ในใจล่วงหน้า จึงชวนคุยเพื่อดึงเวลา

“…แล้วจะไม่อันตรายหรือ”

“พวกมันขี้ขลาดมาก”

เต่าเหล่านี้อ่อนโยนกว่าที่ตาเห็น ป่าจึงสร้างความสัมพันธ์แบบต่างฝ่ายต่างพึ่งพา

“เพื่อแลกกับการช่วยปิดกั้นทางเข้าป่า พวกมันจะได้รับยางไม้เป็นสิ่งตอบแทน… จะเรียกว่าสัตว์กินพืชก็คงไม่ได้ คงต้องเรียกพวกมันว่าสัตว์กินน้ำแทน”

แต่ช่างน่าขัน เต่าเหล่านี้เกลียดอากาศเย็น

ดังนั้น เมื่อความเย็นสุดขั้วปรากฏขึ้นในเขตอบอุ่น โลกจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีสำหรับป่าใต้ดิน เพราะหมายถึงทางเข้าจะเปิดออก

สภาพอากาศแบบสุดขั้วไม่เคยเป็นผลดีกับธรรมชาติ ไม่ว่าจะในโลกไหน

“ฮู… ฮู…”

เต่าบกเริ่มก้าวเดินอย่างเชื่องช้าพลางส่งเสียงอันน่าขบขัน

ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันจะไปที่ไหน และจะทำอะไรต่อไป

เพราะทุกครั้ง ฉันจะเห็นแค่การเดินจากไป

แต่เท่านี้ก็ยิ่งใหญ่มากพอแล้ว

เมื่อหันไปมองด้านข้าง สีหน้าของนักบุญหญิง ลิลี่ และอัศวินแทบไม่แตกต่างกัน ทุกคนยืนทึ่งกับฉากที่เต่ายักษ์กำลังเคลื่อนย้าย

นักบุญหญิงดึงชายเสื้ออัศวินแผ่วเบา

หลังจากการเคลื่อนย้ายจบลง หลุมยักษ์ปรากฏขึ้นเต็มทุ่งกว้าง

“…ทั้งหมดเชื่อมต่อกับป่าแห่งเดียว”

คงเป็นการยากที่แต่ละทางเข้า จะนำพาไปยังป่าที่ต่างกัน เพราะพวกมันอยู่ใกล้กันเกินไป

“ต้องเป็นป่าที่ใหญ่ขนาดไหนกัน…”

ฉันเลือกเข้าไปในทางที่ไม่ค่อยลาดชัน

ยิ่งเดินลงไปก็ยิ่งมืด ลิลี่จับชายเสื้อของฉันพลางเตรียมพร้อมสำหรับการมองเห็นในที่มืด

แต่ฉันรู้ดีว่านั่นไม่จำเป็น

จนกระทั่งเดินมาถึงชั้นใต้ดินที่แสงส่องไม่ถึง ลิลี่ได้ตระหนักว่าไม่จำเป็นต้องใช้โมห์สmohs เลยสักนิด

“…สุดยอด”

แม้แต่ลิลี่ที่มักเก็บอาการ ก็ยังอดอุทานออกมาไม่ได้

“…ป่าคือสิ่งมีชีวิต”

ฉันพูดขณะแหงนหน้า

“มันจึงพัฒนาตัวเองไปตามที่อยู่อาศัย”

เหตุผลเดียวที่สิ่งมีชีวิตพัฒนา ก็เพื่อความอยู่รอด ฉันมองไม่เห็นเหตุผลข้ออื่น

แต่ช่างน่าขัน ผลลัพธ์กลับออกมางดงามเสมอ ยิ่งตระหนักถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ฉันก็ยิ่งหลงใหลเสน่ห์ของธรรมชาติ

ทิวทัศน์ตรงหน้าของพวกเราประกอบไปด้วย

เพดานที่ดูเหมือนกับท้องฟ้ายามค่ำคืน บนนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่างพร่างพรายราวกับหมู่ดารากรกำลังจ้องมองมา

เถาวัลย์ของป่าห้อยลงมาจากเพดานถึงพื้น บนเถามีผลไม้ส่องแสงสีแดง น้ำเงิน ม่วง และส้ม

แมลงที่มีปีกระยิบระยับเกาะอยู่บนผลไม้เพื่อดูดน้ำหวาน

จากนั้น น้ำหวานถูกส่งต่อไปยังหนอนจนกระทั่งกลายเป็นหิ่งห้อย

ลิลี่ใช้มือสัมผัสต้นไม้หน้าทางเข้า

“…เห็ด”

“ตัวเลือกสำหรับการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่แสงส่องไม่ถึง”

ลิลี่พยักหน้ารับ

“…”

เมื่อหันหลังกลับ ฉันเห็นอัศวินกับนักบุญหญิงเดินตามลงมาด้วย

ตามมาทำไม?

คงเป็นการตัดสินใจของนักบุญหญิง

นักบุญหญิงเงยหน้ามองเพดานด้วยดวงตาสั่นเทา

ฉันเข้าใจความรู้สึกนั้นดี

มันเคยเกิดขึ้นกับฉันสมัยที่ปีนเทือกเขาหิมาลัยครั้งแรกและได้เห็นเมฆลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้า

นั่นคือการออกสำรวจครั้งแรกของฉัน

อารมณ์ต่างๆ มันท่วมท้นขึ้นมาเองอย่างไรเหตุผล

ฉันมองตรงไปข้างหน้า

“…ป่าใหญ่ขนาดนี้ ถ้าขอดีๆ ก็คงยอมยกเมล็ดพันธุ์ให้สักเมล็ด”

ขณะครุ่นคิด ฉันพบกลุ่มด้ายพัวพันอยู่ใต้ฝ่าเท้า

ด้ายเหล่านี้คอยดึงเถาวัลย์และผลไม้ส่องแสงใกล้ๆ เข้าหากัน

ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นใยแมงมุมสีแดง

ใช่แล้ว ฉันรู้จักแมงมุมที่พ่นใยสีแดง

ทว่า ด้ายเหล่านี้ไม่ใช่ใยแมงมุม

ลิลี่หันมาสนใจ

“นี่คือ?”

“…”

ฉันไม่รีบร้อนมอบคำตอบ

เพราะด้ายเหล่านี้เป็นฝีมือของปรสิต

ไม่ใช่ด้ายขาวเหมือนกับตัวที่ฉันเคยพบ แต่เป็นสีแดง

“…ลิลี่”

“หือ”

“อากาศหนาวๆ แบบนี้ เธออยากได้เสื้อโคตไหม”

“เสื้อโคต?”

แม้จะยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด แต่ลิลี่กำลังจ้องฉันด้วยสีหน้ากระวนกระวาย

คล้ายกับเธอพอจะเดาท่าทีของฉันได้

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (1/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด