ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 23 เส้นทางสู่ยุทธภพ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 25 ฝึกยิงธนู

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 24 ค้นหาโสมจิตวิญญาณ


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 24 ค้นหาโสมจิตวิญญาณ

แปลโดย iPAT  

ฮวงปิงหูรู้ว่าตนเองไม่ได้ทำให้หลี่ฉิงซานรู้สึกหมดกำลังใจ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสริม “การต่อสู้ด้วยดาบและหมัดของเจ้าไร้รูปแบบ ดูเหมือนเจ้าจะฝึกเคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างกาย ศิลปะการต่อสู้ประเภทนี้ให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตามหากเจ้าไม่มีกำลังภายในที่ยอดเยี่ยมคอยสนับสนุน มันจะเป็นเรื่องยากที่เจ้าจะกลายเป็นนักสู้ชั้นหนึ่ง แน่นอนว่าการเป็นจอมยุทธ์กำลังภายในเป็นไปไม่ได้”

“นักสู้ชั้นหนึ่ง? เช่นนั้นข้าอยู่ระดับใด? แล้วจอมยุทธ์กำลังภายในคือสิ่งใด?”

คำถามมากมายของหลี่ฉิงซานทำให้ฮวงปิงหูยิ่งเชื่อว่าทักษะการต่อสู้ทั้งหมดของหลี่ฉิงซานมาจากปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่บังเอิญผ่านมาจริงๆ หากเขามีอาจารย์อย่างถูกต้อง มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ “ฉิงซาน ด้วยทักษะของเจ้าในเวลานี้ เจ้ายังไม่ถึงแม้แต่ระดับนักสู้ชั้นสาม”

“เป็นเช่นนั้น!”

“เจ้าสามารถเอาชนะคนเก็บโสมเหล่านั้น นั่นหมายความว่าเจ้าเป็นนักสู้แล้ว เจ้ายังเด็ก ไม่จำเป็นต้องเสียใจมากเกินไป ตราบเท่าที่เจ้าฝึกฝนอย่างถูกต้องและกลายเป็นนักสู้ชั้นสาม เจ้าจะสามารถท่องเที่ยวไปทั่วภูมิภาคโดยไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้าน ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า มันไม่มีปัญหาที่เจ้าจะไปถึงระดับดังกล่าว”

ฮวงปิงหูไม่กล้าพูดมากเกินไปเพราะเกรงว่าจะทำลายความมุ่งมั่นของหลี่ฉิงซาน ดังนั้นเขาจึงกล่าวให้กำลังใจฝ่ายหลังด้วยความปรารถนาดี อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าเป้าหมายที่วัวดำมอบให้หลี่ฉิงซานตั้งแต่แรกคือการท่องเที่ยวไปทั่วโลกโดยไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้าน สิ่งที่เรียกว่ากำลังภายในที่ฮวงปิงหูกล่าวถึงเป็นเพียงเรื่องตลกสำหรับมัน

“สำหรับจอมยุทธ์กำลังภายใน มันยิ่งลึกลับ พวกเราต้องเปิดจุดชีพจรทั้งหมดในร่างกายก่อนและทะลวงเส้นลมปราณเพื่อแปลงกำลังภายในให้เป็นพลังลมปราณ พลังปราณจะไหลเวียนอยู่ในร่างกายของผู้ฝึกตนตลอดเวลา เมื่อพลังลมปราณมีมากพอ ผู้ฝึกตนสามารถปลดปล่อยมันออกมาจากร่างกายเพื่อทำร้ายคู่ต่อสู้”

‘เดี๋ยว! ข้าคิดว่าพลังปราณในร่างกายของข้าในเวลานี้สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระแล้ว อย่างไรก็ตามข้ายังไม่สามารถปล่อยมันออกมานอกร่างกาย ดูเหมือนข้ายังฝึกมาไม่เพียงพอ’

หลี่ฉิงซานเข้าใจทันทีว่าจุดเริ่มต้นของเขาแตกต่างจากคนปกติ เส้นทางที่เขาเดินไปเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่สามารถจินตนาการถึง

“ท่านหัวหน้านักล่า ข้าจะกลายเป็นจอมยุทธ์กำลังภายในอย่างแน่นอน!”

ฮวงปิงหูยกย่องความทะเยอทะยานของหลี่ฉิงซานแต่เขาไม่เชื่อ จอมยุทธ์กำลังภายในงั้นหรือ? เมื่อเขาได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก เขาก็มีความทะเยอทะยานอันสูงส่งเช่นเดียวกันนี้ แต่มันจะง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?

ราวกับฮวงปิงหูได้เห็นตัวเองในอดีต เขากล่าว “หากเจ้าสามารถเป็นจอมยุทธ์กำลังภายในได้จริงๆ ข้าจะยกตำแหน่งหัวหน้านักล่าให้เจ้า!”

นี่ไม่ใช่คำสัญญาไร้สาระ ฮวงปิงหูเชื่อว่าแม้หลี่ฉิงซานจะกลายเป็นจอมยุทธ์กำลังภายในได้จริงๆ แต่เขาก็ต้องใช้เวลาสองหรือสามทศวรรษ ฮวงปิงหูไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขาเป็นจอมยุทธ์กำลังภายในอยู่แล้ว

หลี่ฉิงซานสังเกตเห็นบางสิ่ง “ท่านหัวหน้านักล่า ท่านดูไม่ค่อยสบาย”

“ข้าเกิดมาอ่อนแอ เดิมทีหมอบอกว่าข้าจะอยู่ได้ไม่นาน อย่างไรก็ตามแม่ของข้าปฏิเสธที่จะเชื่อและพยายามเลี้ยงดูข้ามาอย่างยากลำบาก ข้าปฏิเสธที่จะเชื่อว่าตนเองอ่อนแอกว่าคนอื่นๆในหมู่บ้านเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงบังคังตัวเองให้ฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่รากฐานของข้ายังคงอ่อนแอ เมื่อเวลาผ่านไป อาการเจ็บป่วยของข้าก็ยิ่งกำเริบ ตอนนี้ข้าอาจเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”

หลี่ฉิงซานรู้สึกชื่นชมชายที่อยู่ตรงหน้าเล็กน้อย แม้เขาจะไม่มีความสามารถหรือทักษะที่โดดเด่น แต่พลังใจและความมุ่งมั่นของเขาก็ควรค่าแก่การยกย่อง หลี่ฉิงซานจะถือเขาเป็นแบบอย่างที่ดี

“อย่ากังวล ท่านหัวหน้านักล่า เราเพียงต้องหาโสมจิตวิญญาณ แล้วท่านจะหายป่วยอย่างแน่นอน”

“ถูกต้อง แม้มันจะมีความเป็นไปได้ไม่มาก แต่ข้ายังมีความหวัง เราต้องฉวยโอกาสในช่วงเวลาที่หมู่บ้านราชาโสมอ่อนแอลงเพื่อเข้าสู่ภูเขาและค้นหามันในวันนี้ เจ้าต้องการไปด้วยหรือไม่?”

“บาดแผลของข้ายังไม่หายดี ข้าคงช่วยได้ไม่มาก” หลี่ฉิงซานย่อมไม่ตกลง แม้ฮวงปิงหูจะวางตัวดูดี แต่หลี่ฉิงซานจะไม่เชื่อใจเขาอย่างแท้จริง

“เอาล่ะ ไม่เป็นไร เช่นนั้นเมื่อเจ้าหายดีแล้ว เราจะสู้กันอีกครั้ง ข้าจะหาคนมาสอนทักษะการยิงธนูให้เจ้า” ฮวงปิงหูตบไหล่หลี่ฉิงซาน

เมื่อฮวงปิงหูจากไป หลี่ฉิงซานรีบถามวัวดำทันที

วัวดำกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “นักสู้ชั้นหนึ่งชั้นสองอันใด? แม้แต่มดปลวกยังต้องพิสูจน์ว่าผู้ใดแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่างั้นหรือ? หากเจ้าได้รับโสมจิตวิญญาณ มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการบ่มเพาะของเจ้า”

หลี่ฉิงซานทำได้เพียงมองดูมันอย่างช่วยไม่ได้

“ข้ามีความสุขมากที่เจ้าจะได้เรียนรู้วิธีการล่าสัตว์และหยุดพึ่งพาข้า ในที่สุดข้าก็สามารถพักผ่อน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องดูแลตัวเอง!”

เป็นไปตามคำกล่าวของวัวดำ หลังจากนั้นมันก็ไม่เคยหาอาหารให้หลี่ฉิงซานอีกเลย อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานก็ไม่มีความตั้งใจที่จะพึ่งพามันเช่นกัน สำหรับการขโมยเหยื่อจากปากของสัตว์ร้ายสองตัว เขารู้สึกไม่มั่นใจเล็กน้อย เขาอาจเสียชีวิตโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงถอนหายใจสองสามครั้งและปัดเป่าความคิดเหล่านั้นทิ้งไป เขาเคี้ยวโสมอีกต้นและเริ่มนั่งสมาธิ เขาจะนอนหลับในเวลากลางคืนเท่านั้น

ผีน้อยโผล่ออกมาจากป้ายไม้และกลายเป็นเด็กที่มีใบหน้าบอบบาง มันชำเลืองมองหลี่ฉิงซานก่อนจะตัดสินใจบินเข้าไปในภูเขาพร้อมกับสายลมของยามค่ำคืนขณะขยับริมฝีปากสีซีดของมันโดยไม่มีถ้อยคำหลุดออกมา

หากมีผู้เชี่ยวชาญในการอ่านปากอยู่ที่นี่ พวกเขาจะบอกได้ว่าเด็กผู้นี้กำลังพึมพำว่า “โสมจิตวิญญาณ”

วัวดำชำเลืองมองมันก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เสี่ยวอันบินออกจากหมู่บ้านบังเหียนม้าและเข้าไปในเทือกเขาที่ทอดตัวยาว

ผีน้อยเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระแต่มันต้องหลีกเลี่ยงลมภูเขาที่กรรโชกแรงในบางครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป มันเริ่มเห็นดวงไฟอยู่ไกลๆพร้อมกับนักล่าจากหมู่บ้านบังเหียนม้าที่นั่งอยู่รอบกองไฟ ฮวงปิงหูกำลังพูดคุยกับนักล่าอีกสองสามคนอย่างเงียบๆ

เสี่ยวอันบินวนรอบพวกเขาสองสามรอบและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นผีน้อยก็บินขึ้นไปบนยอดเขาไป่เหลา

มันตรวจสอบลำธารและหินทุกก้อนที่มันเคลื่อนผ่าน บางครั้งมันจะถูกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยดึงดูดความสนใจไปบ้าง แต่หลังจากชั่วครู่มันก็กลับไปทำภารกิจของมันและค้นหาโสมจิตวิญญาณต่อไป

‘ข้าต้องหาโสมจิตวิญญาณ ข้าสามารถช่วยเขาได้ด้วยวิธีนี้’

เมื่อรุ่งเช้ามาเยือน กลุ่มนักเก็บโสมเริ่มออกเดินทางแต่พวกเขาถูกขับไล่โดยฮวงปิงหู ทั้งสองฝ่ายไม่พบโสมจิตวิญญาณ เสี่ยวอันก็เช่นกัน ผีน้อยกลับหมู่บ้านบังเหียนม้าด้วยความเหนื่อยล้าก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้น หลังจากทั้งหมดจิตใจของเด็กยังไม่มั่นคงมากนัก เด็กไม่สามารถจดจ่ออยู่กับบางสิ่งได้เป็นเวลานาน ยิ่งกว่านั้นภารกิจดังกล่าวยังน่าเบื่อเกินไป

อย่างไรก็ตามเมื่อเสี่ยวอันเห็นใบหน้าที่กำลังหลับใหลของหลี่ฉิงซาน แรงจูงใจของมันก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง มันกำหมัดแน่นก่อนจะพุ่งเข้าไปในป้ายไม้และเข้านอน

เช้าตรู่ นักล่าชราที่ดูเคร่งขรึมมาปลุกหลี่ฉิงซาน “ท่านหัวหน้าส่งข้ามาสอนทักษะการยิงธนูให้เจ้า!”

หลี่ฉิงซานสังเกตเห็นว่าขาซ้ายของชายชราผู้นี้พิการเล็กน้อย แต่เขาเพียงชำเลืองมองด้วยหางตาเพื่อรักษามารยาท อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคิดว่านักล่าชราจะสังเกตเห็นและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “มันถูกหมาป่าขย้ำ ไปกันเถอะ!”

บนพื้นที่ว่างเปล่าทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน กลุ่มเด็กที่โตแล้วกำลังรออยู่ คนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มอายุใกล้เคียงกับหลี่ฉิงซานขณะที่คนที่อายุน้อยกว่ายังมีน้ำมูกไหลออกมาจากจมูก อย่างไรก็ตามทุกคนล้วนแบกคันธนูเอาไว้บนแผ่นหลังและมองหลี่ฉิงซานด้วยสายตาไม่เป็นมิตร

“ท่านปู่จาง เขาจะอยู่กับเรางั้นหรือ?”

ชายชราขาพิการพยักหน้าเล็กน้อยและไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม เขาเพียงกล่าวว่า “นำคันธนูของพวกเจ้าออกมา!”

ทุกคนหยุดพูดทันที พวกเขาเร่งนำคันธนูออกมาและเล็งเป้าที่อยู่ในระยะไกล ปู่จางช่วยแก้ไขจุดบกพร่องให้กับทุกคนโดยปล่อยให้หลี่ฉิงซานยืนมองอยู่ด้านข้าง

หลี่ฉิงซานไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าเบื่อ ตรงข้าม เขาตั้งใจฟังคำสอนของปู่จางอย่างระมัดระวัง สิ่งนี้ดำเนินไปเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ปู่จางจะสั่งให้ทุกคนไปพัก ในที่สุดชายชราก็หันมาพูดกับหลี่ฉิงซาน “ไปฝึกพละกำลังของเจ้าก่อน” เขาชี้นิ้วไปยังก้อนหินที่ดูเหมือนดัมเบลล์ที่อยู่ด้านหลัง

หลี่ฉิงซานเดินไปหยิบก้อนหินขึ้นมาอย่างว่าง่าย หากเปรียบเทียบกับวัวดำที่ไม่สนใจความปลอดภัยของเขา วิธีการสั่งสอนของปู่จางถือว่าอ่อนโยนมากแล้ว

ปู่จางไม่ชอบหลี่ฉิงซาน แต่เขาไม่สามารถฝ่าฝืนคำสั่งของฮวงปิงหู ดังนั้นเขาจึงจงใจเย็นชากับหลี่ฉิงซาน อย่างไรก็ตามเขาไม่เคยคาดหวังว่าหลี่ฉิงซานจะไม่แสดงความขุ่นเคืองออกมาแม้แต่น้อย มันแตกต่างจากสิ่งที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง เขาคิดในใจ ‘ไม่แปลกใจเลยที่หัวหน้าจะชอบเขาถึงเพียงนี้!’

“เจ้าหนู เจ้ามาจากไหน?” กลุ่มเด็กอดไม่ได้ที่จะเข้าไปถามด้วยท่าทางยั่วยุ

“หมู่บ้านกระทิงหมอบ”

“หือ พวกชาวนา แต่เจ้าแข็งแรงเหมือนวัว ข้าได้ยินมาว่าเจ้านำวัวมาด้วย ที่นี่ไม่ต้องการวัว แล่เนื้อมันมากินเถอะ!”

หลี่ฉิงซานจะไม่ลดตัวลงต่อสู้กับเด็กเหล่านี้ แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้พวกเขาดูถูกเช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงระเบิดความแข็งแกร่งและโยนหินสองก้อนที่มีน้ำหนักหกสิบกิโลกรัมขึ้นสู่อากาศ

“แม่จ๋า!” กลุ่มเด็กวิ่งหนีกระจัดกระจายไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว หากหินก้อนใดก้อนหนึ่งตกลงบนหัวของพวกเขา หัวของพวกเขาคงแตกเหมือนผลแตงโม

ก้อนหินร่วงลงมา หลี่ฉิงซานไม่ได้พยายามหลบพวกมัน ในทางกลับกัน เขารวบรวมสมาธิและคว้าก้อนหินเอาไว้ในมืออีกครั้ง จากนั้นเขาก็หันกลับไปเผยรอยยิ้มให้กับคนอื่นๆ

กลุ่มเด็กตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์ พวกเขากลืนน้ำลายลงคอด้วยความไม่อยากจะเชื่อ มันต้องใช้พละกำลังเท่าใดเพื่อยกหินทั้งสองก้อนขึ้นมา? คนส่วนใหญ่อาจทำได้ แต่มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะโยนพวกมันขึ้นสู่อากาศและยังสามารถคว้าจับมันมาได้อีกครั้ง

หลี่ฉิงซานไม่สนใจเด็กเหล่านี้แต่เขาเผยรอยยิ้มให้ชายชราและกล่าว “ท่านปู่จาง ข้ายังต้องฝึกพละกำลังอีกหรือไม่?”