ตอนที่แล้วบทที่ 25: ปราบเย่ชิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 27: มุ่งหน้าสู่สถาบันจี้เซวี่ย

บทที่ 26: ให้เข้าสถาบันจี้เซวี่ย


หลังจากที่รวมพลังโฮ่วเทียนสองชั้นฟ้าห้าสิบคนแล้ว  การจู่โจมที่เหมือนภายุกระหน่ำของเย่เซิงก็ตกใส่ตัวของไอ้เย่ชิง  การป้องกันของมันไม่มีผลอะไรเลยจึงได้ถูกซัดกระเด็นไปพร้อม ๆ กับเสียงแตกหักของอะไรบางอย่างดังออกมาจากแขนข้างหนึ่งของมัน  นี่ขนาดมันใช้วิชาเก้าชีพจรเข้าช่วยแล้วนะแต่ก็ยังไม่ช่วย

ทุก ๆ คนต่างเบิกตากว้างจ้องมองไอ้เย่ชิงที่พ่ายแพ้  ถึงร่างกายมันจะไม่ได้บาดเจ็บสาหัสอะไรแต่ที่บาดเจ็บที่สุดคือหน้ามัน  เพราะมันแตกละเอียดไปหมดแล้ว  สีหน้าของมันมืดหม่นเหมือนก้นหม้อที่ถูกเผาไฟ  แววตาของมันไฟลุกซู่แต่ไม่ใช่ไฟต่อสู้  เป็นไฟที่สะท้อนอารมณ์อันซับซ้อนในใจไม่ว่าจะความโกรธแค้นหรือความอิจฉาริษยา

“ฝ่าบาท  กระหม่อรู้สึกไม่ค่อยสบาย  ขอตัวก่อนพะยะค่ะ” ไอ้เย่ชิงรีบประสานมืออย่างสุภาพพึมพำคำเหล่านี้ก่อนจะวิ่งออกไป  มันไม่กล้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปเพราะรู้สึกอับอายกับสายตาที่จับจ้องมา

หูเหมยแม่มันก็จ้องไปที่ไอ้ขยะเย่เซิงอย่างกับจะกระโดดกัดคอ  จากนั้นก็หันไปกราบทูลองค์จักรพรรดิว่า “ฝ่าบาทเพคะ  บุตรชายหม่อมฉันยังเด็กจึงไม่รู้มารยาท  ได้โปรดยกโทษให้เขาด้วยเถอะเพคะ”

องค์จักรพรรดิก็โบกมือและทรงตรัสว่า “เขาแพ้การแข่ขันและไม่อาจรักษาหน้าตัวเองไว้ได้ถึงได้ทำแบบนั้น  เป็นเรื่องปกติของเด็กหนุ่ม  ไป  ไปปลอบเขาเถอะ”

หูเหมยกล่าวขอบคุณก่อนจะคำนับแล้วรีบออกไปทันที  และแม้ในขณะที่กำลังเดินออกไปก็ยังไม่วายเหลือบมามองเย่เซิงอย่างคาดโทษไว้ก่อนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังและมุ่งร้ายอีกหนึ่งที

“ฝ่าบาทเพคะ  ผลการต่อสู้ครั้งนี้ชัดเจนแล้ว  รางวัลเป็นของน้องสิบสองซึ่งหมายความว่าน้องสิบสองจะได้ตำแหน่งเทียนจื่อเหมินเซิงใช่ไหมเพคะ?” พระมเหสีเย่ถามด้วยความยินดี

ทุกคนต่างหันไปมองที่เย่เซิงและองค์จักรพรรดิ  ว่าพระองค์จะทรงมอบตำแหน่งเทียนจื่อเหมินเซิงให้เย่เซิงไปจริง ๆ น่ะเหรอ?

ตำแหน่งอันทรงเกียรติซึ่งสามารถรับประกันได้เลยว่าในอนาคตจะต้องมีชีวิตอย่างหรูหรา

“จักรพรรดิตรัสแล้วไม่คืนคำ  ในเมื่อเย่เซิงเอาชนะเย่ชิงได้แล้วเรื่องก็เป็นไปตามนั้น” องค์จักรพรรดิบัญชา

เย่เซิงรีบโค้งคำนับทันที “ขอบพระทัยพะยะค่ะ”

“เย่เซิงเอ๋ย  เจ้าเป็นชายหนุ่มที่มีอนาคตและพรสวรรค์อันหายากยิ่งซึ่งต้าฉินเราต้องการมาก  วันนี้เราแต่งตั้งเจ้าเป็นเทียนจื่อเหมินเซิงเป็นกรณีพิเศษ  หมายความว่าเจ้าต้องไม่ทำให้ชื่อเสียงของเราจักรพรรดิเสื่อมเสีย” องค์จักรพรรดิย้ำเตือนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

“เย่เซิงขอบพระทัยพะยะค่ะ” เย่เซิงโค้งคำนับตอบรับเสียงดัง

ด้วยสถานะแบบนี้เขาจะเป็นอิสระอย่างแท้จริง  เป็นอิสระจากหวางฝูตระกูลเย่และไม่ต้องเรียนรู้ฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป

จากนั้นเย่เซิงก็เงยหน้าแล้วหันไปมองผู้คนรอบ ๆ ซึ่งเห็นว่าหลายคนกำลังส่งสายตาอิจฉามองมา  หลายคนเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

ส่วนเย่หวางเหย่นั้นสงบมากเหมือนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย  ซึ่งนั่นทำให้เย่เซิงไม่สบายใจเพราะว่าด้วยสันดานของคนแบบนั้นเย่เซิงไม่น่าจะรอดและถูกลงโทษไปนานแล้ว

สีหน้าของนายหญิงใหญ่ก็เคร่งเครียด  รอยยิ้มที่ยิ้มออกมานั้นดูเชรี่ยยิ่งกว่าตอนร้องให้ซะอีก  ตัวนางที่นั่งอยู่นั้นแข็งทื่อดวงตายังคงสั่นระริกไม่มั่นคง  จะให้เดาว่านางคิดอะไรอยู่นั้นก็เดาไม่ออก

ส่วนคนสุดท้ายที่เขาสังเกตเห็นคือนายหญิงเฒ่า  หน้าของอีแก่นี่ยิ่งกว่าตัวเหี้ยอีก  แววตาที่จ้องมองมานั้นหาเศษเสี้ยวของความเป็นมิตรไม่เจอจริง ๆ มีแต่ความเป็นศัตรูล้วน ๆ ไม่รู้ว่าไปเกลียดกันมาตั้งแต่ชาติปางไหน

และแน่นอนเย่เซิงไม่สนใจเลยว่าพวกมันจะมองเขายังไงหรือคิดกับเขาแบบไหน  เพราะอีกเดี๋ยวเขาก็จะได้ออกจากสถานที่บัดซบรี้แล้ว  และหลังจากนี้เขาคงจะไม่ได้มามีปฏิสัมพันธ์กับตัวตะกวดพวกนี้อีกต่อไป  แล้วมันเรื่องอะไรที่ต้องไปสนใจพวกมัน?

มีเพียงคนเดียวที่ทำให้เย่เซิงประหลาดใจ

นั่นก็คือหลิงฮวาซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องเขาเอง  พฤติกรรมของนางนี่ยากที่จะมองออก  หลังจากที่นางได้เห็นเย่เซิงเข้ารับตำแหน่งเทียนจื่อเหมินเซิงสีหน้าของนางก็ออกอาการโมโหนิดหน่อยก่อนจะเก็บอาการกลับไปในพริบตาพลางก้มหน้าลง  และเมื่อนางรู้ตัวว่าเย่เซิงกำลังมองตัวเองอยู่นั้นนางก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาเขา

แววตาของนางดูเหมือนงูพิษที่เย็นชาอย่างยิ่ง  แต่ความเย็นชานั้นก็หายวับไปอย่างเร็วเกือบจะทันทีที่เขาสังเกตเห็นและเปลี่ยนเป็นแววตาอบอุ่นตามปกติ

แต่น่าเสียดายสำหรับนางที่เย่เซิงสามารถจับพิรุธในช่วงจังหวะนั้นได้พอดี

พระมเหสีเย่เพิกเฉยต่อปฏิกิริยาของคนอื่น ๆ ทั้งหมด  เพราะแค่เย่เซิงชนะพระนางก็ทรงมีความสุขมากแล้ว  พระพักตร์ชื่นบานเหมือนได้ดื่มน้ำผึ้งมา  รอยยิ้มงดงามเผยออกพร้อมกับพูดว่า “ฝ่าบาทเพคะ  ตอนนี้เย่เซิงเป็นเทียนจื่อเหมินเซิงแล้ว  หม่อมฉันก็อยากจะหาสถานที่ดี ๆ ให้เขาซักหน่อยเพคะ”

องค์จักรพรรดิทรงกระซิบว่า “นี่ ๆ น้องหญิง  อยากได้อะไรเจ้าก็รีบ ๆ หน่อยเถอะตอนนี้เราหิวแล้วนะ”

“ฝ่าบาทเพคะ  เมื่อจัดการเรื่องน้องชายเสร็จแล้วเดี๋ยวหม่อมฉันจะพาพระองค์หาอะไรดี ๆ ดื่มกันตกลงไหมเพคะหืม?” พระมเหสีเย่พูดด้วยน้ำเสียงเย้ายวน

“เอาล่ะ ๆ รีบ ๆ บอกเรามาว่าเจ้าอยากให้เย่เซิงไปอยู่ที่ไหน” องค์จักรพรรดิถามด้วยเสียงหัวเราะสะใจ

“สถาบันจี้เซวี่ยเพคะ” พระมเหสีเย่กล่าวอย่างมั่นใจสุด ๆ ต่อหน้าสายตาทุกคู่ในหวางฝูที่จับจ้องมา  และนั่นก็ทำให้พวกมันทุกตัวสั่นสะท้านด้วยความตกใจ

โดยเฉพาะอีนายหญิงใหญ่มันขมวดคิ้วมองพระมเหสีด้วยความไม่อยากจะเชื่อ  มันไม่นึกไม่ฝันมาก่อนเลยว่าพระมเหสีจะมีความทะเยอทะยานเรื่องน้องชายขยะนั่นถึงขนาดนี้  ขนาดถึงขั้นอยากส่งเย่เซิงเข้าสถาบันจี้เซวี่ย

ดวงตาของเย่หวางเหย่สาดประกายเย็นชากับคำพูดเหล่านี้ในทันใด  มันหันไปพิจรานาเย่เซิงอีกครั้งพลางครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

“ไม่ได้!  สถาบันจี้เซวี่ยเป็นสถานศึกษาที่ก่อตั้งโดยต้าฉิน!  นักเรียนทุกคนที่ถูกรับเข้าเรียนล้วนเป็นอัจฉริยะเท่านั้น!  แม้แต่ในหวางฝูเรายังมีไม่กี่คนที่เข้าได้!  แล้วอย่างเย่เซิงจะไปเข้าได้ได้อย่างไร!?” ไม่นึกว่าคนแรกที่คัดค้านตะเป็นอีนายหญิงเฒ่า  มันเอาไม้เท้าเคาะพื้นและพูดอย่างวางอำนาจ

เมื่อมีตัวเปิดก็ต้องมีตัวตาม  ซึ่งตัวกตามก็คืออีนายหญิงใหญ่ “นายหญิงเฒ่ากล่าวถูกต้องแล้ว!  เย่หวางเหย่มีลูกมากกว่าสิบคน  มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เข้าศึกษาในสถาบันจี้เซวี่ยได้  และเย่เซิงไม่มีสิทธิ์เข้า!”

หลังจากที่สตรีเบอร์สูงสองคนของบ้านพูดขึ้นพระมเหสีเย่ก็ยิ้มออกมา  แววตาของพระนางสาดประกายอำนาจที่มองไม่เห็นปกคลุมไปทั่วทั้งสถานที่  นายหญิงใหญ่หวาดกลัวจนหัวใจแทบระเบิด  ความหวาดกลัวนั้นได้สะท้องออกมายังหน้าต่างของหัวใจอย่างดวงตา  และนางก็ใช้ดวงตาที่สะท้อนจิตใจตัวเองคู่นั้นมองไปยังพระมเหสี

“นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงให้สัญญา  อีกทั้งพวกเจ้าทั้งคู่ต่างก็เป็นคนในหวางฝู่ตระกูลเย่  เย่เซิงเป็นน้องชายของเราและเป็นลูกหลานในหวางฝูตระกูลเย่ด้วย  ดังนั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะรังเกียจเขามากขนาดไหน  แต่ในฐานะของคนเป็นย่าและภรรยาใหญ่ของเย่หวางเหย่แล้วก็ควรที่จะเปิดใจกว้าง ๆ อวยพรเขาต่างหาก  มิฉะนั้นเดี๋ยวคนภายนอกจะครหาได้ว่าคนในหวางฝูของเย่หวางเหย่ผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นแหล่งรวมตัวของพวกขี้อิจฉา  เมื่อลูก ๆ จากต่างแม่เหมือนจะได้ผลประโยชน์ก็เสนอหน้าออกมาขัดขวางกันให้สลอน  นอกจากนี้เย่หวางเหย่ยังไม่ได้พูดอะไรซักคำเลยแต่พวกเจ้ากลับปากยื่นปากยาวกันแล้ว  จะข้ามหน้าข้ามตากันเกินไปหน่อยไหม?” พระมเหสีเย่ไม่ยอมปล่อยให้อีสองตัวนี่ได้แสดงท่าทางอวดเบ่งอีกต่อไปโดยจัดการกดหัวพวกมันทั้งคู่ลง  ท่าทีของนางช่างเย็นชานักและเหมือนจะไม่ใส่ใจเลยว่าที่นั่งข้าง ๆ ตัวเองคือพระสวามีซึ่งเป็นองค์จักรพรรดิด้วย  ซึ่งพฤติกรรมของนางทำให้อีกพวกนายหญิงทั้งสองที่โดนกดหัวถึงกับโกรธจัดจนอยากจับพระนางมาถลกหนังทั้งเป็น

สีหน้าของอีนายหญิงใหญ่เริ่มซีดเผือดเหมือนไก่ต้มซึ่งในใจก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ  นางพยายามระงับความโกรธของตัวเองอย่างหนักถึงกับหยิกขาตัวเองที่อยู่ใต้โต๊ะ  เนื้อจากขาว ๆ เปลี่ยนเป็นแดง  จนจากแดงเปลี่ยนเป็นเขียวถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้สำเร็จ

พระมเหสีเย่เอ่ยปากสั่งสอนนางต่อหน้าคนมากมายอีกทั้งยังต่อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิด้วย  ตัวนางที่แม้จะเป็นนายหญิงใหญ่ของบ้านนี้ก็ตามแต่สถานะของนางก็ยังเป็นเพียงแค่ภรรยาของผู้ใต้บังคับบัญชาขององค์จักรพรรดิ  ด้วยสถานะที่ต่างกันถึงขนาดนี้นางจะไปทำอะไรได้

และแม้นายหญิงใหญ่จะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ก็ตาม  แต่อีนายหญิงเฒ่านี่ไม่ไหวมันเอาไม่อยู่เลยแม่แต่นิดเดียว  นับตั้งแต่ที่พระมเหสีก้าวเท้าเข้าสู่หวางฝูตัวนายหญิงเฒ่าก็เหมือนถูกบังคับให้เอาอุจจาระใส่ปากแล้วเคี้ยวโดยห้ามคายทิ้งอยู่ตลอดเวลา

ทำไมอีแก่นี่ถึงเป็นแบบนี้น่ะเหรอ?  ก็เพราะกำพืดมันไงเล่า  ตัวมันจริง ๆ แต่เดิมใช่ชนชั้นสูงซะที่ไหน  เป็นแค่ชาวบ้านปากตลาดเซราะกราวขนาดหนักตัวหนึ่งเท่านั้น  การฝึกฝนอบรมมารยาทอะไรก็ไม่เคยมีกับเขา  แต่ที่มันได้ดิบได้ดีอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะอภิชาติบุตรอย่างเย่หวางเหย่ผงาดขึ้นมาต่างหาก  แต่สันดานไพร่อย่างไรก็เป็นไพร่  เมื่อมันเห็นว่าไอ้ลูกเฮ็งซวยของนางสนมที่มันเกลียดกำลังจะได้ดิบได้ดีก็เก็บอาการไม่อยู่  ความไร้สำนึกถึงที่ต่ำที่สูงระเบิดออกและลุกขึ้นหมายจะแหกปากด่าทอพระมเหสีที่ไม่เคารพคำสั่งของครอบครัว

แต่เย่หวางเหย่ยืนขึ้นก่อนที่มันจะได้ผายลมโง่ ๆ อะไรออกมาและกล่าวว่า “ท่านแม่ไม่จำเป็นต้องโกรธขนาดนั้น  ที่พระมเหสีกล่าวนั้นก็ไม่ผิด  เย่เซิงเองก็เป็นลูกชายข้า  ในเมื่อได้เป็นเทียนจื่อเหมินเซิงแล้วสถานศึกษาที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้ก็มีเพียงสถาบันจี้เซวี่ยเท่านั้น”

อีนายหญิงเฒ่าถึงขั้นแหกตาจ้องมองลูกชายตัวเองอย่างตกตะลึง  มันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น  ลูกชายคนนี้น่าจะเกลียดไอ้เย่เซิงมากที่สุดแท้ ๆ แต่ทำไมถึงยังไปสนับสนุนไอ้ตัวขยะอีก?

แต่เย่หวางเหย่ไม่ได้อธิบายอะไร  ทำแค่ส่ายหัวและให้แม่มันนั่งลง

อีตัวแม่ก็ยังคงโกรธจัด  แต่กลับไม่กล้างระเบิดโทษะใส่ลูกชายตัวเองเลยได้แต่นั่งลงทั้งที่ยังโกรธจนเส้นเลือดที่หัวแทบจะระเบิดอยู่นั่นแหล่ะ

ทุก ๆ คนต่างหวาดกลัว  ตั้งแต่ตอนที่พระมเหสีเริ่มโกรธจนกระทั่งเย่หวางเหย่ยืนขึ้นพูด  ทุก ๆ ต่างคนรู้สึกได้ว่าบรรยากาศตึงเครียดมาก ๆ กังวลว่าจะเกิดการระเบิดได้ทุกเมื่อ

คนที่ยืนดูเรื่องราวอย่างสงบนิ่งไม่ทุกข์ร้อนก็คงมีแต่เจ้าตัวเย่เซิงเท่านั้นแหล่ะ

องค์จักรพรรดิโบกมือและทรงตรัสว่า “เอาละ ๆ ไม่มีเหตุผลที่ต้องโต้เถียงเรื่องนี้อีก  เราได้ให้สัญญากับเย่เซิงไว้แล้วว่าหากเขาเอาชนะเย่ชิงได้จะแต่งตั้งเป็นเทียนจื่อเหมินเซิง  และสัญญากับพระมเหสีเย่แล้วด้วยว่าจะทำตามคำของของพระนางหนึ่งอย่าง  ในเมื่อพระมเหสีต้องการให้เย่เซิงเข้าศึกษาที่สถาบันจี้เซวี่ยเราก็จะให้เป็นไปตามนั้น  วันพรุ่งนี้ให้เย่เซิงไปรายงานตัวที่สถาบัน  เดี๋ยวเราจะออกคำสั่งให้”

เย่เซิงคุกเข่าลงทันทีและกล่าวด้วยความซาบซึ้งว่า “ขอบพระทัยเป็นอย่างสูงพะยะค่ะ”

พระมเหสีเย่รินสุราให้องค์จักรพรรดิอย่างพึงพอใจพร้อมกับพูดว่า “ขอบพระทัยสำหรับความรักนะเพคะ”

5 1 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด