ตอนที่แล้วบทที่ 23: ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้าน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 25: ปราบเย่ชิง

บทที่ 24: เทียนจื่อเหมินเซิง


จักรพรรดิได้เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระราชวังพร้อมกับราชองครักษ์และคนรับใช้  และในไม่ช้าก็มาถึงหวางฝู่ตระกูลเย่

“ถวายบังคมฝ่าบาท!” ทุก ๆ คนต่างคุกเข่าลงยกเว้นเย่หวางเหย่กับพระมเหสีเย่

“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี  วันนี้เรามาเข้าร่วมงานเลี้ยงครอบครัว  พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้นเถอะ” เสียงอันอบอุ่นกล่าว  ชายวัยกลางคนผู้สง่างามก้าวลงจากเกี้ยวอันหรูหรา  ชายผู้นี้คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน  จักรพรรดิฉินที่สอง

หลังจากที่เย่เซิงลุกขึ้นยืนและมองดูก็พบว่าฉินเอ้อฉือ (จักรพรรดิฉินที่สอง) นี้มีบรรยากาศเหมือนนักวิชาการในชาติก่อนเลย  แตกต่างจากจักรพรรดิที่เขาจินตนาการไปคนละเรื่อง

“เชิญฝ่าบาททางนี้พะยะค่ะ” เย่หวางเหย่กล่าว

“อืม  พวกเจ้าที่เหลือให้รอข้างนอก  กานเยว่เข้าไปข้างในกับเรา” ฉินเอ้อฉือกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“พะยะค่ะ!” เหล่าผู้ติดตามตอบพร้อมกัน

“กานเยว่  ไม่นึกเลยว่าในที่สุดฝ่าบาทก็ชวนเจ้าได้สำเร็จ” เย่หวางเหย่มองไปที่บุคคลที่ยืนอยู่ถัดจากองค์จักรพรรดิ

เย่เซิงก็แอบด้วย  ชายผู้เงาจางจนแทบไม่รู้ว่ามีอยู่  เขายืนกอดกระบี่อยู่ในเงาของฉินเอ้อฉือโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว

“ฝ่าบาททรงชักชวนข้าอยู่หลายครั้ง  และพระองค์ก็ทรงจริงใจอย่างยิ่ง  ข้ากานเยว่จึงได้ตัดสินใจอยู่ที่เซียนหยางและเป็นผู้คุ้มกันให้กับฝ่าบาท” กานเยว่กล่าว  เสียงของเขาแหบแห้งราวกับเอาตะไบสองอันมาถูกัน  เขาดูชราภาพมีผมขาวโพลนและริ้วรอยเหี่ยวย่นไปตามวัย  แต่มือกลับเนียนไม่ต่างจากมือเด็กสาว

“เย่หวางเหย่  ท่านเป็นคนพูดเองอยู่เสมอว่าเราออกจากเซียนหยางจะไม่ปลอดภัย  ดังนั้นเราจึงตัดสินใจจ้างมือกระบี่ที่เก่งที่สุดในโลกมาเป็นผู้คุ้มกัน  เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ ๆ เราก็สามารถเดินทางไปทั่วประเทศได้อย่างสบายใจแล้ว” ฉินเอ้อฉือกล่าวพลางหัวเราะลั่น

“ในเมื่อมีกานเยว่อยู่ด้วยข้าพระองค์ก็ไม่กลังวลเรื่องความปลอดภัยของพระองค์แล้ว  ขอแสดงความยินดีกับองค์ครักษ์ที่คู่ควรด้วยพะยะค่ะ” เย่หวางเหย่กล่าวเบา ๆ โดยสายตายังจับจ้องไปที่กานเยว่อยู่

“เอาล่ะ  วันนี้เป็นงานเลี้ยงของครอบครัว  ท่านกานเยว่เป็นผู้คุ้มกันของฝ่าบาทสามารถเข้าร่วมได้  ฝ่าบาทเพคะเชิญทางนี้” พระมเหสียิ้มอย่างงดงามขณะที่เดินไปจับแขนของฉินเอ้อฉือและพาพระองค์เข้าไปในบ้าน

เย่หวางเหย่ผายมือออกและกล่าวว่า “ปรมาจารย์กระบี่กานเยว่เชิญทางนี้”

กานเยว่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรและเดินตามองค์จักรพรรดิเข้าไปในบ้าน

...

งานเลี้ยงในหวางฝู่ตระกูลเย่เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก  จัดขึ้นที่สวนหลังบ้านของหวางฝู่ตระกูลเย่  คณะนักร้องประสานเสียงที่โด่งดังที่สุดในเซียนหยางได้รับเชิญให้มาทำการแสดง  ในขณะที่พวกเขาพึ่งจะเริ่มร้องเพลงพระมเหสีเย่นำองค์จักรพรรดิไปนั่งที่โต๊ะหลัก

งานเลี้ยงโต๊ะหลักสงวนไว้สำหรับเย่หวางเหย่, นายหญิงใหญ่, พระมเหสีเย่, องค์จักรพรรดิและกานเยว่  ส่วนแขกคนอื่น ๆ ทั้งหมดต้องไปนั่งโต๊ะที่จัดไว้บริเวณอื่น

“น้องสิบสองมานี่สิ” ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังจะออกจากงานเลี้ยงหลักไปยังอีกบริเวณหนึ่งนั้นเอง  จู่ ๆ พระมเหสีเย่พูดขึ้นมา

เย่เซิงที่ได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไรเลย  แต่ไอ้คนอื่นน่ะคิดแต่ละคนนี่แหม~ โดยเฉพาะไอ้เย่ชิง  มันรู้สึกอิจฉาตาร้อนสุด ๆ แล้วก็เอาตาร้อน ๆ ของมันจ้องไปที่เย่เซิงเขม็ง

“เย่เซิงมีฐานะต่ำต้อยเช่นนี้แล้วจะให้เข้าร่วมงานเลี้ยงได้อย่างไร?” อีนายหญิงใหญ่ที่ทนแรงอิจฉาไม่ไหวเลยต้องถาม

พระมเหสีเย่เหลือบมองนางอย่างสงบและกล่าวว่า “เราไม่ได้บอกให้เย่เซิงเข้าร่วมงานเลี้ยงแค่เรียกเขามาคุย  ว่าแต่ว่านายหญิงใหญ่เองเถอะเลือกปฏิบัติกับรุ่นเยาว์ในตระกูลเกินไปหรือไม่?”

สีหน้าของนายหญิงเปลี่ยนไป  นางกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะด้วยความเกลียดชังที่ปะทุอยู่ในจิตใจที่มีแต่เพิ่มขึ้น ๆ ไม่มีหยุด

แต่พระมเหสีเย่เพิกเฉยต่อนางและหันพูดกับองค์จักรพรรดิว่า “ฝ่าบาทเพคะ  นี่คือเย่เซิงน้องชายที่หม่อมฉันพูดถึงอยู่ ๆ เสมอ ๆ”

องค์จักรพรรดิมองเย่เซิงอย่างสงสัยเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อ้อ  นี่คือเด็กคนนั้นเองหรือ?  คนที่เจ้ามักจะบอกว่าเจ้าคิดถึง ๆ บ่อย ๆ ตอนอยู่ในวัง  ในที่สุดเราก็ได้พบตัวจริงเสียที  มารยาทก็งามรูปลักษณ์ก็ดูดีบุกคลิกก็ดูเหนือกว่าคนทั่ว ๆ ไปมาก”

เมื่อไอ้เย่ชิงมันได้ยินองค์จักรพรรดิชมเชยเย่เซิงอย่างนั้นใบหน้าของมันก็ยิ่งมีแต่จะบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น  จมูกของมันแทบจะพ่นควันได้เหมือนวัวที่กำลังโกรธแล้ว

อีหูเหมยแม่มันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ถึงกับขมวดคิ้วแล้วเอื้อมมือไปหยิกเอวมัน  ความเจ็บปวดไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้มันได้สติเลย  มันกลับจ้องหน้าแม่มันอย่างไม่พอใจแทนด้วยความโกรธแค้นที่อัดแน่นในหัวสมอง

แต่อีหูเหมยแม่มันที่สติครบถ้วนกว่าเยอะก็ไม่ยอมไอ้ลูกหน้าโง่  นางจ้องกลับด้วยสายตาที่ดุร้ายอันเป็นสัญญาณว่าเจ้าอย่าได้ก่อเรื่องโง่ ๆ ขึ้นมาเป็นอันขาด  เพราะที่นี่ตอนนี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะทำอะไรโง่ ๆ ตามอำเภอใจได้

จนในที่สุดไอ้เย่ชิงก็หยุดตัวเองไม่ให้ทำอะไรบ้า ๆ ลงไปได้สำเร็จ  มันจึงได้แค่เพียงมองไปที่เย่เซิงด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองสุด ๆ

เย่เซิงไม่รู้แต่ถึงรู้ก็ไม่สนหรอกว่าไอ้ตัวบัดซบมันจะขุ่นเคืองเขามากขนาดไหน  หลังจากที่องค์จักรพรรดิได้กล่าวชมเชยแล้วเขาจึงตอบกลับไปว่า “เป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่งที่ฝ่าบาททรงจำได้พะยะค่ะ”

“ฝ่าบาทเพคะ  ในบรรดาทุก ๆ คนในหวางฝูตระกูลเย่นี้หม่อมฉันรักน้องสิบสองที่สุด  และยังสงสารเขามากที่สุดด้วยเพคะ  วันนี้ที่กลับมายังหวางฝูตระกูลเย่ก็เพื่อที่จะทูลขอพระเมตตาจากฝ่าบาทให้แก่เย่เซิงด้วยเพคะ” พระมเหสีเย่กล่าวด้วยรอยยิ้มเบา ๆ

องค์จักรพรรดิไม่ทรงกริ้วแถมยังค่อนข้างสนใจจึงตรัสถามว่า “แล้วเจ้าต้องการอะไรให้น้องชายตัวน้อยล่ะหืม?”

ไม่ใช่แค่องค์จักรพรรดิที่สนใจในเรื่องนี้  แม้แต่ทุก ๆ คนก็ยังจ้องมองไปที่พระมเหสีเย่  ซึ่งรวมทั้งเย่หวางเหย่ด้วย  รายนี้ยังคงเหมือนเดิมคือขมวดคิ้วมองโดยไม่พูดอะไรและไม่มีใครรู้ว่าในหัวคิดอะไรอยู่

“เทียนจื่อเหมินเซิง (ศิษย์อุปถัมภ์ของจักรพรรดิ) เพคะ” ริบฝีปากแดง ๆ ของพระมเหสีเย่ยกยิ้มเล็กน้อยและกล่าวออกมา

ซึ่งทำให้ทุก ๆ คนในหวางฝู่ตระกูลเย่ต่างมองพระนางด้วยอาการตะลึกพริงเพริด  ศิษย์อุปถัมภ์ขององค์จักรพรรดินั้นเป็นสถานะที่มีความหมายมากเกินไป  และพระมเหสีเย่กำลังขอตำแหน่งที่ว่านั้นให้เย่เซิง?

แล้วสายตานับไม่ถ้วนก็มาตกอยู่ที่เย่เซิง  ซึ่งแน่นอนว่าล้วนเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยา

ดวงตาของเย่หวางเหย่หรี่ลงก่อนจะพูดว่า “เย่เซิงไม่มีชื่อเสียงหรือความสำเร็จใด ๆ ไม่คู่ควรกับตำแหน่งเทียนจื่อเหมินเซิง”

ไอ้เย่ชิงที่กำลังจะระเบิดโทษะแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่นั้นเมื่อได้ยินที่พ่อมันพูดปุ๊บ  มันก็หาช่องทางในการระบายความหงุดหงิดเจอปั๊บและรีบร้อนพูดทะลุกลางปล้องออกไปว่า “ทูลฝ่าบาท  เย่เซิงผู้นี้ทุก ๆ คนในหวางฝูต่างให้ค่าว่าเป็นเพียงเศษขยะไร้ประโยชน์  แม้แต่วรยุทธ์ยังต้องแอบเรียนซึ่งละเมิดกฎระเบียบ  คนแบบนี้ไม่คู่ควรกับตำแหน่งเทียนจื่อเหมินเซิงหรอกพะยะค่ะ!”

ไอ้เย่ชิงที่ได้ระบายแค้นออกไปซักทีก็รู้สึกสดชื่นสมใจสุด ๆ มันมองเย่เซิงอย่างไม่พอใจและไม่มีวันให้เย่เซิงได้เป็นศิษย์อุปถัมภ์ขององค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่มองสวนกลับมาให้มันได้เห็นกลับเป็นสายตาดูถูกเหยียดหยามของเย่เซิงซะอย่างนั้น

ไอ้เย่ชิงเกิดลางสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาเลยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะมองไปรอบ ๆ ตัว  ใบหน้างดงามของอีหูเหมยแม่มันมืดหม่นมากจนน่ากลัว  สายตาที่จ้องมองมันไม่ต่างจากลูกศรที่พุ่งทะลวงหัวใจของมัน

เมื่อมันหันมองย้อนกลับไปที่ที่โต๊ะหลักก็เห็นว่าสีหน้าของพระมเหสีตอนนี้เย็นเยียบสุด ๆ พระนางจ้องมองมันด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากมองศพของสุนัขจรจัดตัวหนึ่งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตนเองเลย  และสายตาสีหน้าที่ไร้อารมณ์นั้นใคร ๆ เห็นก็รู้ว่าตอนนี้พระมเหสีเย่ทรงกริ้วมาก ๆ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามากขนาดไหนเท่านั้นเอง

ถัดจากพระมเหสีเย่คือเย่หวางเหย่  สีหน้าท่าทางของเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างจากพระมเหสีเย่มากนัก  สายตานี่อย่างกับจะบอกว่าไอ้เย่ชิงมันไม่ใช่ลูกของตนเป็นเพียงไอ้หน้าโง่ที่ไหนก็ไม่รู้

แล้วไอ้ตัวก่อเรื่องที่พึ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปก็หน้าซีดตัวสั่นทันที

“เย่ชิง  วันนี้ฝ่าบาททรงประทับอยู่ที่นี่ด้วย  เจ้าในฐานะน้องชายข้ากลับเอ่ยวาจาดูหมิ่นพี่ชายตนเองต่อพระพักตร์ของพระองค์เช่นนี้  เห็นที่ข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพิสูจน์ตนเองให้พระองค์ได้เห็นแล้วสิ” เย่เซิงกล่าวหลังจากครุ่นคิดและเห็นสีหน้าของทุก ๆ คน

หลังจากที่ไอ้เย่ชิงมันได้ยินเย่เซิงพูดด้วยน้ำเสียงสีหน้าที่มีมารยาทสูงปุ๊บ  มันก็หงุดหงิดจนโต้กลับอย่างประชดประชัน “มีอะไรมาพิสูจน์อีก?  ท่านพ่อไม่อนุญาตให้เจ้าเรียนวรยุทธ์แต่เจ้ากลับไม่ฟังไปแอบเรียนเรียน  เจ้าอายุสิบหกปีแล้วแต่ยังเป็นเพียงแค่โฮ่วเทียนสามชั้นฟ้า  แล้วยังมีน้ำหน้าไปเป็นศิษย์อุปถัมภ์ขององค์จักรพรรดิได้ยังไงฮะ!?”

“ประการแรก  ท่านพ่อไม่อนุญาตให้ข้าเรียนวรยุทธ์ก็เป็นเรื่องระหว่างท่านพ่อกับข้า”

“ประการที่สอง  ข้าเริ่มเรียนวรยุทธ์จากพี่หญิงใหญ่ก่อนที่จะเข้าวังดังนั้นที่ข้าเรียนวรยุทธ์จึงไม่อาจพูดว่าแอบเรียน”

“ประการที่สาม  ในขณะที่พี่หญิงใหญ่อยู่ในวังข้าต้องฝึกวรยุทธ์อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้คนจับได้  ฝึกโดยไร้ซึ่งทรัพยากรใด ๆ และเป็นโฮ่วเทียนสามชั้นฟ้าได้  ความยากลำบากนั้นเหนือจินตนาการเพียงใดคงไม่ต้องให้ข้าบรรยาย”

“ประการที่สี่  เจ้าเย่ชิงที่ได้เรียนรู้ฝึกฝนวรยุทธ์ตั้งแต่ยังเด็กและเป็นโฮ่วเทียนหกชั้นฟ้า  แต่ในสายตาของข้าเจ้าไม่อาจเป็นตัวอะไรได้เลย  แค่เอาชนะเจ้าข้าสามารถทำได้ง่าย ๆ ราวกับพลิกฝ่ามือ”

เย่เซิงพูดเสียงดังฟังชัดและมีเหตุมีผล  เรียบเรียงรายละเอียดอย่างเข้าใจได้ง่าย  พระมเหสีเย่ที่ได้ยินถึงขั้นดวงตาเป็นประกาย

“น้องสิบสองพูดได้ดีมาก!” พระมเหสียิ้มพร้อมปรบมือให้เย่เซิง

เห็นได้ชัดเลยว่าพระมเหสีเย่ตั้งใจปกป้องเย่เซิงมากขนาดไหน  แม้แต่เย่หวางเหย่ก็ยังมองพระมเหสีเย่ด้วยความประหลาดใจ  ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสองคนนี้จะมั่นคงขนาดนี้

หลังจากที่ได้เห็นการแสดงแล้ว  องค์จักรพรรดิก็เข้าใจทุก ๆ อย่างโดยพื้นฐานแล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เย่หวางเหย่  ดูเหมือนว่าบ้านของท่านจะไม่กลมเกลียวกันสักเท่าไหร่นะ”

เย่หวางเหย่ถอนหายใจและตอบว่า “ข้าพระองค์ละอายใจกับเรื่องนี้จริง ๆ พะยะค่ะ  ข้าพระองค์ละเลยการสั่งสอนพวกเขามาหลายปีแล้ว  สุดท้ายฝ่าบาทถึงต้องมาทอดพระเนตรเห็นเรื่องน่าอับอายนี้”

“ไม่ต้องรู้สึกแย่ขนาดนั้น  ในเมื่อเย่เซิงบอกว่าการเอาชนะเย่ชิงนั้นง่ายดายไม่ต่างจากพลิกฝ่ามือ  เราก็จะให้โอกาสเขา  ให้ทั้งคู่ประลองกันอย่างยุติธรรม  หากเย่เซิงชนะเราจะยอมอุปถัมภ์ให้เป็นศิษย์เราและยอมรับคำขอของพระมเหสีที่ต้องการมอบให้น้องชายตัวน้อยนี่ทั้งหมด  แต่หากเย่เซิงแพ้เราก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องปฏิเสธคำขอของพระมเหสีเย่” องค์จักรพรรดิกล่าว

3 2 โหวต
Article Rating
1 Comment
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด