บทที่ 24: เทียนจื่อเหมินเซิง
จักรพรรดิได้เสด็จพระราชดำเนินออกจากพระราชวังพร้อมกับราชองครักษ์และคนรับใช้ และในไม่ช้าก็มาถึงหวางฝู่ตระกูลเย่
“ถวายบังคมฝ่าบาท!” ทุก ๆ คนต่างคุกเข่าลงยกเว้นเย่หวางเหย่กับพระมเหสีเย่
“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี วันนี้เรามาเข้าร่วมงานเลี้ยงครอบครัว พวกเจ้าทุกคนลุกขึ้นเถอะ” เสียงอันอบอุ่นกล่าว ชายวัยกลางคนผู้สง่างามก้าวลงจากเกี้ยวอันหรูหรา ชายผู้นี้คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน จักรพรรดิฉินที่สอง
หลังจากที่เย่เซิงลุกขึ้นยืนและมองดูก็พบว่าฉินเอ้อฉือ (จักรพรรดิฉินที่สอง) นี้มีบรรยากาศเหมือนนักวิชาการในชาติก่อนเลย แตกต่างจากจักรพรรดิที่เขาจินตนาการไปคนละเรื่อง
“เชิญฝ่าบาททางนี้พะยะค่ะ” เย่หวางเหย่กล่าว
“อืม พวกเจ้าที่เหลือให้รอข้างนอก กานเยว่เข้าไปข้างในกับเรา” ฉินเอ้อฉือกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“พะยะค่ะ!” เหล่าผู้ติดตามตอบพร้อมกัน
“กานเยว่ ไม่นึกเลยว่าในที่สุดฝ่าบาทก็ชวนเจ้าได้สำเร็จ” เย่หวางเหย่มองไปที่บุคคลที่ยืนอยู่ถัดจากองค์จักรพรรดิ
เย่เซิงก็แอบด้วย ชายผู้เงาจางจนแทบไม่รู้ว่ามีอยู่ เขายืนกอดกระบี่อยู่ในเงาของฉินเอ้อฉือโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“ฝ่าบาททรงชักชวนข้าอยู่หลายครั้ง และพระองค์ก็ทรงจริงใจอย่างยิ่ง ข้ากานเยว่จึงได้ตัดสินใจอยู่ที่เซียนหยางและเป็นผู้คุ้มกันให้กับฝ่าบาท” กานเยว่กล่าว เสียงของเขาแหบแห้งราวกับเอาตะไบสองอันมาถูกัน เขาดูชราภาพมีผมขาวโพลนและริ้วรอยเหี่ยวย่นไปตามวัย แต่มือกลับเนียนไม่ต่างจากมือเด็กสาว
“เย่หวางเหย่ ท่านเป็นคนพูดเองอยู่เสมอว่าเราออกจากเซียนหยางจะไม่ปลอดภัย ดังนั้นเราจึงตัดสินใจจ้างมือกระบี่ที่เก่งที่สุดในโลกมาเป็นผู้คุ้มกัน เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ ๆ เราก็สามารถเดินทางไปทั่วประเทศได้อย่างสบายใจแล้ว” ฉินเอ้อฉือกล่าวพลางหัวเราะลั่น
“ในเมื่อมีกานเยว่อยู่ด้วยข้าพระองค์ก็ไม่กลังวลเรื่องความปลอดภัยของพระองค์แล้ว ขอแสดงความยินดีกับองค์ครักษ์ที่คู่ควรด้วยพะยะค่ะ” เย่หวางเหย่กล่าวเบา ๆ โดยสายตายังจับจ้องไปที่กานเยว่อยู่
“เอาล่ะ วันนี้เป็นงานเลี้ยงของครอบครัว ท่านกานเยว่เป็นผู้คุ้มกันของฝ่าบาทสามารถเข้าร่วมได้ ฝ่าบาทเพคะเชิญทางนี้” พระมเหสียิ้มอย่างงดงามขณะที่เดินไปจับแขนของฉินเอ้อฉือและพาพระองค์เข้าไปในบ้าน
เย่หวางเหย่ผายมือออกและกล่าวว่า “ปรมาจารย์กระบี่กานเยว่เชิญทางนี้”
กานเยว่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรและเดินตามองค์จักรพรรดิเข้าไปในบ้าน
...
งานเลี้ยงในหวางฝู่ตระกูลเย่เป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก จัดขึ้นที่สวนหลังบ้านของหวางฝู่ตระกูลเย่ คณะนักร้องประสานเสียงที่โด่งดังที่สุดในเซียนหยางได้รับเชิญให้มาทำการแสดง ในขณะที่พวกเขาพึ่งจะเริ่มร้องเพลงพระมเหสีเย่นำองค์จักรพรรดิไปนั่งที่โต๊ะหลัก
งานเลี้ยงโต๊ะหลักสงวนไว้สำหรับเย่หวางเหย่, นายหญิงใหญ่, พระมเหสีเย่, องค์จักรพรรดิและกานเยว่ ส่วนแขกคนอื่น ๆ ทั้งหมดต้องไปนั่งโต๊ะที่จัดไว้บริเวณอื่น
“น้องสิบสองมานี่สิ” ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังจะออกจากงานเลี้ยงหลักไปยังอีกบริเวณหนึ่งนั้นเอง จู่ ๆ พระมเหสีเย่พูดขึ้นมา
เย่เซิงที่ได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ไอ้คนอื่นน่ะคิดแต่ละคนนี่แหม~ โดยเฉพาะไอ้เย่ชิง มันรู้สึกอิจฉาตาร้อนสุด ๆ แล้วก็เอาตาร้อน ๆ ของมันจ้องไปที่เย่เซิงเขม็ง
“เย่เซิงมีฐานะต่ำต้อยเช่นนี้แล้วจะให้เข้าร่วมงานเลี้ยงได้อย่างไร?” อีนายหญิงใหญ่ที่ทนแรงอิจฉาไม่ไหวเลยต้องถาม
พระมเหสีเย่เหลือบมองนางอย่างสงบและกล่าวว่า “เราไม่ได้บอกให้เย่เซิงเข้าร่วมงานเลี้ยงแค่เรียกเขามาคุย ว่าแต่ว่านายหญิงใหญ่เองเถอะเลือกปฏิบัติกับรุ่นเยาว์ในตระกูลเกินไปหรือไม่?”
สีหน้าของนายหญิงเปลี่ยนไป นางกำหมัดแน่นอยู่ใต้โต๊ะด้วยความเกลียดชังที่ปะทุอยู่ในจิตใจที่มีแต่เพิ่มขึ้น ๆ ไม่มีหยุด
แต่พระมเหสีเย่เพิกเฉยต่อนางและหันพูดกับองค์จักรพรรดิว่า “ฝ่าบาทเพคะ นี่คือเย่เซิงน้องชายที่หม่อมฉันพูดถึงอยู่ ๆ เสมอ ๆ”
องค์จักรพรรดิมองเย่เซิงอย่างสงสัยเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อ้อ นี่คือเด็กคนนั้นเองหรือ? คนที่เจ้ามักจะบอกว่าเจ้าคิดถึง ๆ บ่อย ๆ ตอนอยู่ในวัง ในที่สุดเราก็ได้พบตัวจริงเสียที มารยาทก็งามรูปลักษณ์ก็ดูดีบุกคลิกก็ดูเหนือกว่าคนทั่ว ๆ ไปมาก”
เมื่อไอ้เย่ชิงมันได้ยินองค์จักรพรรดิชมเชยเย่เซิงอย่างนั้นใบหน้าของมันก็ยิ่งมีแต่จะบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น จมูกของมันแทบจะพ่นควันได้เหมือนวัวที่กำลังโกรธแล้ว
อีหูเหมยแม่มันที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ถึงกับขมวดคิ้วแล้วเอื้อมมือไปหยิกเอวมัน ความเจ็บปวดไม่ได้ช่วยกระตุ้นให้มันได้สติเลย มันกลับจ้องหน้าแม่มันอย่างไม่พอใจแทนด้วยความโกรธแค้นที่อัดแน่นในหัวสมอง
แต่อีหูเหมยแม่มันที่สติครบถ้วนกว่าเยอะก็ไม่ยอมไอ้ลูกหน้าโง่ นางจ้องกลับด้วยสายตาที่ดุร้ายอันเป็นสัญญาณว่าเจ้าอย่าได้ก่อเรื่องโง่ ๆ ขึ้นมาเป็นอันขาด เพราะที่นี่ตอนนี้ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะทำอะไรโง่ ๆ ตามอำเภอใจได้
จนในที่สุดไอ้เย่ชิงก็หยุดตัวเองไม่ให้ทำอะไรบ้า ๆ ลงไปได้สำเร็จ มันจึงได้แค่เพียงมองไปที่เย่เซิงด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองสุด ๆ
เย่เซิงไม่รู้แต่ถึงรู้ก็ไม่สนหรอกว่าไอ้ตัวบัดซบมันจะขุ่นเคืองเขามากขนาดไหน หลังจากที่องค์จักรพรรดิได้กล่าวชมเชยแล้วเขาจึงตอบกลับไปว่า “เป็นเกียรติของกระหม่อมยิ่งที่ฝ่าบาททรงจำได้พะยะค่ะ”
“ฝ่าบาทเพคะ ในบรรดาทุก ๆ คนในหวางฝูตระกูลเย่นี้หม่อมฉันรักน้องสิบสองที่สุด และยังสงสารเขามากที่สุดด้วยเพคะ วันนี้ที่กลับมายังหวางฝูตระกูลเย่ก็เพื่อที่จะทูลขอพระเมตตาจากฝ่าบาทให้แก่เย่เซิงด้วยเพคะ” พระมเหสีเย่กล่าวด้วยรอยยิ้มเบา ๆ
องค์จักรพรรดิไม่ทรงกริ้วแถมยังค่อนข้างสนใจจึงตรัสถามว่า “แล้วเจ้าต้องการอะไรให้น้องชายตัวน้อยล่ะหืม?”
ไม่ใช่แค่องค์จักรพรรดิที่สนใจในเรื่องนี้ แม้แต่ทุก ๆ คนก็ยังจ้องมองไปที่พระมเหสีเย่ ซึ่งรวมทั้งเย่หวางเหย่ด้วย รายนี้ยังคงเหมือนเดิมคือขมวดคิ้วมองโดยไม่พูดอะไรและไม่มีใครรู้ว่าในหัวคิดอะไรอยู่
“เทียนจื่อเหมินเซิง (ศิษย์อุปถัมภ์ของจักรพรรดิ) เพคะ” ริบฝีปากแดง ๆ ของพระมเหสีเย่ยกยิ้มเล็กน้อยและกล่าวออกมา
ซึ่งทำให้ทุก ๆ คนในหวางฝู่ตระกูลเย่ต่างมองพระนางด้วยอาการตะลึกพริงเพริด ศิษย์อุปถัมภ์ขององค์จักรพรรดินั้นเป็นสถานะที่มีความหมายมากเกินไป และพระมเหสีเย่กำลังขอตำแหน่งที่ว่านั้นให้เย่เซิง?
แล้วสายตานับไม่ถ้วนก็มาตกอยู่ที่เย่เซิง ซึ่งแน่นอนว่าล้วนเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความริษยา
ดวงตาของเย่หวางเหย่หรี่ลงก่อนจะพูดว่า “เย่เซิงไม่มีชื่อเสียงหรือความสำเร็จใด ๆ ไม่คู่ควรกับตำแหน่งเทียนจื่อเหมินเซิง”
ไอ้เย่ชิงที่กำลังจะระเบิดโทษะแต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่นั้นเมื่อได้ยินที่พ่อมันพูดปุ๊บ มันก็หาช่องทางในการระบายความหงุดหงิดเจอปั๊บและรีบร้อนพูดทะลุกลางปล้องออกไปว่า “ทูลฝ่าบาท เย่เซิงผู้นี้ทุก ๆ คนในหวางฝูต่างให้ค่าว่าเป็นเพียงเศษขยะไร้ประโยชน์ แม้แต่วรยุทธ์ยังต้องแอบเรียนซึ่งละเมิดกฎระเบียบ คนแบบนี้ไม่คู่ควรกับตำแหน่งเทียนจื่อเหมินเซิงหรอกพะยะค่ะ!”
ไอ้เย่ชิงที่ได้ระบายแค้นออกไปซักทีก็รู้สึกสดชื่นสมใจสุด ๆ มันมองเย่เซิงอย่างไม่พอใจและไม่มีวันให้เย่เซิงได้เป็นศิษย์อุปถัมภ์ขององค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่มองสวนกลับมาให้มันได้เห็นกลับเป็นสายตาดูถูกเหยียดหยามของเย่เซิงซะอย่างนั้น
ไอ้เย่ชิงเกิดลางสังหรณ์อัปมงคลขึ้นมาเลยชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะมองไปรอบ ๆ ตัว ใบหน้างดงามของอีหูเหมยแม่มันมืดหม่นมากจนน่ากลัว สายตาที่จ้องมองมันไม่ต่างจากลูกศรที่พุ่งทะลวงหัวใจของมัน
เมื่อมันหันมองย้อนกลับไปที่ที่โต๊ะหลักก็เห็นว่าสีหน้าของพระมเหสีตอนนี้เย็นเยียบสุด ๆ พระนางจ้องมองมันด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากมองศพของสุนัขจรจัดตัวหนึ่งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตนเองเลย และสายตาสีหน้าที่ไร้อารมณ์นั้นใคร ๆ เห็นก็รู้ว่าตอนนี้พระมเหสีเย่ทรงกริ้วมาก ๆ เพียงแต่ยังไม่รู้ว่ามากขนาดไหนเท่านั้นเอง
ถัดจากพระมเหสีเย่คือเย่หวางเหย่ สีหน้าท่าทางของเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างจากพระมเหสีเย่มากนัก สายตานี่อย่างกับจะบอกว่าไอ้เย่ชิงมันไม่ใช่ลูกของตนเป็นเพียงไอ้หน้าโง่ที่ไหนก็ไม่รู้
แล้วไอ้ตัวก่อเรื่องที่พึ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปก็หน้าซีดตัวสั่นทันที
“เย่ชิง วันนี้ฝ่าบาททรงประทับอยู่ที่นี่ด้วย เจ้าในฐานะน้องชายข้ากลับเอ่ยวาจาดูหมิ่นพี่ชายตนเองต่อพระพักตร์ของพระองค์เช่นนี้ เห็นที่ข้าคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพิสูจน์ตนเองให้พระองค์ได้เห็นแล้วสิ” เย่เซิงกล่าวหลังจากครุ่นคิดและเห็นสีหน้าของทุก ๆ คน
หลังจากที่ไอ้เย่ชิงมันได้ยินเย่เซิงพูดด้วยน้ำเสียงสีหน้าที่มีมารยาทสูงปุ๊บ มันก็หงุดหงิดจนโต้กลับอย่างประชดประชัน “มีอะไรมาพิสูจน์อีก? ท่านพ่อไม่อนุญาตให้เจ้าเรียนวรยุทธ์แต่เจ้ากลับไม่ฟังไปแอบเรียนเรียน เจ้าอายุสิบหกปีแล้วแต่ยังเป็นเพียงแค่โฮ่วเทียนสามชั้นฟ้า แล้วยังมีน้ำหน้าไปเป็นศิษย์อุปถัมภ์ขององค์จักรพรรดิได้ยังไงฮะ!?”
“ประการแรก ท่านพ่อไม่อนุญาตให้ข้าเรียนวรยุทธ์ก็เป็นเรื่องระหว่างท่านพ่อกับข้า”
“ประการที่สอง ข้าเริ่มเรียนวรยุทธ์จากพี่หญิงใหญ่ก่อนที่จะเข้าวังดังนั้นที่ข้าเรียนวรยุทธ์จึงไม่อาจพูดว่าแอบเรียน”
“ประการที่สาม ในขณะที่พี่หญิงใหญ่อยู่ในวังข้าต้องฝึกวรยุทธ์อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้คนจับได้ ฝึกโดยไร้ซึ่งทรัพยากรใด ๆ และเป็นโฮ่วเทียนสามชั้นฟ้าได้ ความยากลำบากนั้นเหนือจินตนาการเพียงใดคงไม่ต้องให้ข้าบรรยาย”
“ประการที่สี่ เจ้าเย่ชิงที่ได้เรียนรู้ฝึกฝนวรยุทธ์ตั้งแต่ยังเด็กและเป็นโฮ่วเทียนหกชั้นฟ้า แต่ในสายตาของข้าเจ้าไม่อาจเป็นตัวอะไรได้เลย แค่เอาชนะเจ้าข้าสามารถทำได้ง่าย ๆ ราวกับพลิกฝ่ามือ”
เย่เซิงพูดเสียงดังฟังชัดและมีเหตุมีผล เรียบเรียงรายละเอียดอย่างเข้าใจได้ง่าย พระมเหสีเย่ที่ได้ยินถึงขั้นดวงตาเป็นประกาย
“น้องสิบสองพูดได้ดีมาก!” พระมเหสียิ้มพร้อมปรบมือให้เย่เซิง
เห็นได้ชัดเลยว่าพระมเหสีเย่ตั้งใจปกป้องเย่เซิงมากขนาดไหน แม้แต่เย่หวางเหย่ก็ยังมองพระมเหสีเย่ด้วยความประหลาดใจ ไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสองคนนี้จะมั่นคงขนาดนี้
หลังจากที่ได้เห็นการแสดงแล้ว องค์จักรพรรดิก็เข้าใจทุก ๆ อย่างโดยพื้นฐานแล้วจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เย่หวางเหย่ ดูเหมือนว่าบ้านของท่านจะไม่กลมเกลียวกันสักเท่าไหร่นะ”
เย่หวางเหย่ถอนหายใจและตอบว่า “ข้าพระองค์ละอายใจกับเรื่องนี้จริง ๆ พะยะค่ะ ข้าพระองค์ละเลยการสั่งสอนพวกเขามาหลายปีแล้ว สุดท้ายฝ่าบาทถึงต้องมาทอดพระเนตรเห็นเรื่องน่าอับอายนี้”
“ไม่ต้องรู้สึกแย่ขนาดนั้น ในเมื่อเย่เซิงบอกว่าการเอาชนะเย่ชิงนั้นง่ายดายไม่ต่างจากพลิกฝ่ามือ เราก็จะให้โอกาสเขา ให้ทั้งคู่ประลองกันอย่างยุติธรรม หากเย่เซิงชนะเราจะยอมอุปถัมภ์ให้เป็นศิษย์เราและยอมรับคำขอของพระมเหสีที่ต้องการมอบให้น้องชายตัวน้อยนี่ทั้งหมด แต่หากเย่เซิงแพ้เราก็ช่วยไม่ได้ที่ต้องปฏิเสธคำขอของพระมเหสีเย่” องค์จักรพรรดิกล่าว