บทที่ 23: ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้าน
วันรุ่งขึ้น
หวางฝู่ตระกูลเย่เงียบมาก เหล่าคนรับใช้ต่างก้มหน้าก้มตาทำงานกันอย่างหนัก พวกมันไม่กล้าเอาเวลาไปซุบซิบนินทาเหมือนปกติ
เย่เซิงตื่นแต่เช้าตรู่และเห็นว่าทหารองครักษ์ได้เข้ามาทำหน้าที่เฝ้ายาม พวกเขาอยู่ทุกหนทุกแห่งของหวางฝูตระกูลเย่ ประจำการอยู่รอบด้านทั้งในและนอก ยกเว้นภายในห้องส่วนตัวของสมาชิกในครอบครัว ทุก ๆ ห้าเก้าล้วนมีทหารองครักษ์ยืนอารักษ์ขาอยู่ตลอดทาง
เย่เซิงรู้ว่าผู้องครักษ์เหล่านี้มาเพื่อแสตนบายคอยคุ้มกันองค์จักรพรรดิรัชกาลที่สองของต้าฉินที่จะเสด็จมาร่วมงานเลี้ยง
จักรพรรดิองค์นี้แตกต่างจากองค์ก่อน ตลอดสิบเจ็ดปีที่ขึ้นครองราชย์บัลลังก์ นอกจากปีแรกที่ใช้ทหารหนึ่งล้านนายเข้าทำลายนิกายสังสารวัฏแล้วพระองค์ไม่เคยนำประเทศเข้าสู่สงครามใด ๆ ที่ต้องใช้กำลังทหารเกินหนึ่งแสนนายอีกเลย
พระองค์ทรงโปรดความสงบสุขและการพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง
นี่จึงกลายเป็นรากฐานในการปกครองของต้าฉินและได้รับการยกย่องจากประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ยากจน จักรพรรดิฉินที่สองได้ส่งข้าราชการรุ่นเยาว์เข้าไปทำหน้าที่รับผิดชอบ โดยหมายที่จะฝึกฝนขัดเกลาข้าราชการเยาว์วัยเหล่านั้นให้รู้จักรับผิดชอบ ให้รู้จักมีแรงผลักดันในการพัฒนาพื้นที่ที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ ส่วนพวกวัยกลางคนและวัยชรานั้นก็ให้ไปปกครองเขตคนรวยเอาเพื่อให้ได้พันผ่อนอย่างสงบสุข
มีการประเมินข้าราชการทุกคนปีละครั้ง มีการแจกรางวัลและลงโทษอย่างยุติธรรม และหากข้าราชการทำผลงานได้ดีก็จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ในช่วงสิบปีมานี้คนหนุ่มสาวในต้าฉินทุกคนต่างรู้ดีว่าหากพวกเขาต้องการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วล่ะก็ จะต้องออกไปดูแลและพัฒนาพื้นที่ชนบทมากขึ้น หากทำผลงานได้ดีล่ะก็จะสามารถเลื่อนตำแหน่งได้ภายในสามถึงห้าปี
ยิ่งไปกว่านั้นจักรพรรดิฉินที่สองชอบสร้างถนน ทั้งเก้าเขตของต้าฉินมีถนนอย่างดีเชื่อมต่อกัน ส่วนความกว้างของถนนก็เรียกได้ว่าเยี่ยมยอดคือเอาม้าสิบตัวมาเรียงหน้ากระดานกันได้โดยไม่เบียด จะเว้นก็แต่ถนนที่เชื่อมไปยังภูเขาอันห่างไกลที่ไม่ได้สร้างถนนให้ใหญ่ถึงขนาดนั้น
เมื่อสร้างถนนเสร็จแล้ว จักรพรรดิฉินที่สองก็เริ่มจัดการเส้นทางเดินทะเล ทรงปราบปรามโจรสลัด กวาดล้างทำความสะอาดน่านน้ำอันตราย ทำให้แน่ใจว่าเส้นทางการค้าทางทะเลทั้งหมดดำเนินไปได้อย่างราบรื่น พ่อค้ารายใหญ่ต่างใช้การเดินเรือเพื่อขนสินค้าเข้าออกกับสถานที่ต่าง ๆ
แม้ว่าจักรพรรดิฉินที่สองจะไม่ได้พิชิตดินแดนใหม่เหมือนที่บรรพบุรุษทำ แต่ด้านการปกครองนี่คือยอดเยี่ยม ทรงปกครองประเทศอย่างมีระเบียบและยุติธรรม และที่สำคัญที่สุดคือในฐานะมนุษย์แล้วแทบจะเรียกว่าไร้ที่ติ
ไม่หลงระเริงในสุรานารี ไม่โลภในทรัพย์สิน ไม่กระหายอำนาจหรือต้องการให้ใครมายอมรับ
สิบเจ็ดปีในราชย์บัลลังก์พระองค์มีพระสนมที่ได้รับการยอมรับเก้าคน ส่วนฮาเร็มที่เหลือมีอีกเป็นสิบซึ่งส่วนใหญ่แล้วมาจากการแต่งงานทางการเมือง
จักรพรรดิฉินที่สองยังเยาว์วัยอยู่มีพระชนพรรษาเพียงสี่สิบพรรษาและยังสามารถปกครองต้าฉินให้เจริญรุ่งเรืองต่อไปได้อีกพักใหญ่
ผู้ปกครองที่เฉลียวฉลาดดังกล่าวนี้ได้รับการยกย่องจากบัณฑิตมากมาย ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงต้องการสร้างสถาบันจี้เซวี่ย เหล่าบัณฑิตอาวุโสจึงออกตัวมาให้การสนับสนุนทันที ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงหนึ่งปี สถาบันจี้เซวี่ยได้กลายเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก และแม้แต่สาวกของนิกายหลัก ๆ ก็ยังต้องการที่จะเข้ามาศึกษา
...
ในวันนี้เย่เซิงยังคงอยู่ในเรือนเล็ก ๆ ของตนไม่ออกไปไหน ทั้งหวางฝูมีการคุ้มกันแน่นหนา และในตอนเย็นได้มีแรงกดดันอันมหาศาลได้ปกคลุมทั่วทั้งหวางฝูไว้ บรรยากาศเหมืองเวลาจะหยุดนิ่ง เย่เซิงขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เขากล้าสาบานเลยว่าเขาเห็นมังกรฟ้าที่ดูสง่าน่าเกรงขามคร่อมท้องฟ้าอยู่จริง ๆ
ดูเหมือนจะเป็นนิมิต เมื่อเย่เซิงกระพริบตามังกรตัวนั้นก็หายไป ท้องฟ้ากลับมาเป็นดังเดิมอีกครั้ง
“คุณชายสิบสองเจ้าคะ พระมเหสีเย่เชิญท่านเข้าร่วมงานเลี้ยงและบอกว่าฝ่าบาทเสด็จใกล้จะถึงแล้ว” คนใช้คนหนึ่งรายงาน
เย่เซิงจัดระเบียบตัวเองและเดินไปตามทางเดินอย่างสบาย ๆ
ห้องโถงใหญ่เรือนกลางบัดนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย
แน่นอนว่าคนที่อยู่หัวโต๊ะคือเย่หวางเหย่ ถัดจากเขาเรียกตามลำดับสถานะคือพระมเหสีเย่, นายหญิงเฒ่า, นายหญิงใหญ่, นายหญิงสอง จากนั้นเป็นลูก ๆ ของเหล่าภรรยาเช่นเย่ชิงกับเย่หลินเอ๋อ เด็กคนอื่น ๆ ที่นายหญิงเฒ่าโปรดปรานอย่าหลิงฮวาและอื่น ๆ ก็อยู่ด้วย เพียงแต่แยกนั่งที่โต๊ะอื่น
การมาถึงของเย่เซิงได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย
รอยยิ้มดีใจของนายหญิงเฒ่าหายวับไปในทันที แววตาของนางเต็มไปด้วยความรังเกียจเหลือบมองเขาแค่แว้บเดียวแล้วรีบเบือนหน้าหนี
นายหญิงใหญ่หลับตาและเพิกเฉย
แต่นายหญิงสองหูเหมยกลับหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “เจ้าสิบสองมาแล้ว ดูเหมือนว่าทุก ๆ คนจะรอเจ้าอยู่นะ”
ใบหน้าของไอ้เย่ชิงก็ปรากฏความไม่พอใจขึ้นทันที มันกำหมัดอย่างแน่นโดยไม่พูดอะไรออกมา
เย่หลินเอ๋อ, หลิงฮวาและคนอื่น ๆ ต่างก็มองไปที่เย่เซิงอย่างสงสัย
เนื่องจากเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระมเหสี เย่เซิงจึงไม่ได้ใช้วิชาสวมคราบ กลิ่นอายของเขาไม่ใช่คนจ๋องกรอดที่ยอมก้มหัวให้ทุก ๆ คนอีกต่อไป เขาเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างมั่นอกมั่นใจและจ้องหน้าเย่หวางเหย่อย่างกล้าหาญ
คนทั้งหมดที่นี่มีเพียงคนเดียวที่ทำให้เย่เซิงต้องหวาดกลัวก็คือเย่หวางเหย่
และเมื่อเย่เซิงเดินเข้ามา ท่าทีของเย่หวางเหย่ยังคงสงบขณะที่จ้องมองเย่เซิงอย่างตั้งใจ ไม่มีใครรู้เลยว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่
ความสงบของเย่หวางเหย่ทำให้เย่เซิงรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาเดินไปหาเย่หวางเหย่และโค้งคำนับ “คารวะท่านพ่อ”
เย่หวางเหย่ถามว่า “เจ้าเรียนวรยุทธ์อย่างนั้นเหรอ?”
หัวใจของเย่เซิงที่ยังก้มหัวอยู่สั่นสะท้านแต่ก็สงบลงทันที เงยหน้าขึ้นมามองเย่หวางเหย่และกล่าวว่า “ลูกเรียนรู้ด้วยตนเองไม่มีใครสอน”
“โกหก เจ้าละเมิดกฎโดยแอบเรียนวรยุทธ์ นี่เจ้าจงใจท้าทายอำนาจของข้าใช่หรือไม่?” เย่หวางเหย่ถามอย่างเย็นชา
อีหูเหมยกับไอ้เย่ชิงที่ได้ยินก็มีสีหน้าที่ยินดี ‘ไอ้เย่เซิงมันแอบเรียนวรยุทธ์จริง ๆ ด้วย เดี๋ยวมันก็ต้องตายเร็ว ๆ นี้แล้ว’
นายหญิงใหญ่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ แววตาสาดประกายดุร้ายจ้องไปยังเย่เซิง จากนั้นนางก็มองไปที่พระมเหสีเย่ทันที
พระมเหสีเย่ที่นั่งด้านข้างของเย่หวางเหย่กล่าวว่า “เราเป็นคนที่สอนวรยุทธ์ให้น้องสิบสองเอง แล้วจะไปถือว่าแอบฝึกได้อย่างไร”
หลังจากที่พระมเหสีเย่กล่าวเช่นนั้นเย่หวางเหย่ก็ขมวดคิ้วถาม “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าน้องสามของเจ้ามีจุดจบอย่างไร?”
เย่เซิงกัดฟันกรอด พี่สามของเขาก็แอบเรียนวรยุทธ์เหมือนกันและโดนทุบตีจนตาย
พระมเหสีเย่ไม่มีความกลัวแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญกับบุคคลที่อยู่ในลำดับสูงสุดของบรรดาสิบสองเซียนผู้ครองโลก นางหัวเราะเบา ๆ และตอบว่า “หึหึ มีหรือที่เราจะไม่ปล่อยให้โศกนาฏกรรมเหมือนกันน้องสามเกิดขึ้นอีกครั้ง เราเป็นคนอนุญาตให้เย่เซิงฝึกวรยุทธ์เอง และน้องสิบสองก็อายุถึงแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้แต่ลูกนกก็ยังต้องรู้จักบินด้วยปีกของตนเอง นายหญิงเฒ่าเห็นด้วยหรือไม่?”
ทุก ๆ คนย่อมรู้ว่านายหญิงเฒ่าเกลียดชังเย่เซิงที่สุดแล้ว ดังนั้นนางจึงหลงกลได้ง่าย ๆ และยินดีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้จนรีบพูดว่า “เจ้าสิบสองเย่เซิงมีอายุมากแล้วและไม่มีสิทธิ์ที่จะสืบทอดสิ่งใด ๆ ในหวางฝูตระกูลเย่แม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเราควรปล่อยให้เขาออกจากบ้านเราไปเถอะ”
ดวงตาของเย่เซิงสาดประกายความสุขขึ้นมาเลย เขาไม่ได้สนใจทรัพย์สินของตระกูลเชรี่ยนี่อยู่แล้ว ความฝันสูงสุดในตอนนี้คือการออกจากไอ้หวางฝูเฮ็งซวยนี่นี่แหล่ะ
เย่หวางเหย่จ้องมองเย่เซิงอย่างละเอียดด้วยสไตล์เดิมคือดูไม่รู้ว่าในหัวกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากเงียบอยู่นานสุดท้ายก็พูดขึ้นว่า “ในเมื่อท่านแม่ว่าอย่างนั้นข้าก็จะไม่เอาเรื่องที่เย่เซิงแอบเรียนวรยุทธ์อีก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปให้เย่เซิงออกจากบ้านได้”
เย่เซิงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ ‘จู่ ๆ ตูก็ออกไปได้ง่าย ๆ เบอร์นี้เลย? รอบก่อนโดนโบยไปตั้งห้าสิบไม้ยังออกไม่ได้แท้ ๆ’
แล้วเขาก็พบเข้ากับดวงตาที่ดุร้ายของเย่หวางเหย่จ้องสวนกลับมา เจ้าตัวถามว่า “ทำไม? หรือเจ้าไม่เต็มใจที่จะจากไป?”
“ขอบพระคุณท่านพ่อขอรับ” เย่เซิงคุกเข่าลงแสร้งทำเป็นขอบคุณทันที
“ข้าจะไม่เอาความเรื่องที่เจ้าแอบเรียนวรยุทธ์ แต่ถ้าเจ้ากล้าทำลายชื่อเสียงของหวางฝู่ตระกูลเย่ของข้าล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้าในฐานะคนทรยศทันที” เย่หวางเหย่กล่าวอย่างเฉยเมย
หัวใจของเย่เซิงกระตุก เขาไม่สงสัยในคำพูดของเย่หวางเหย่เลยแม้แต่น้อย เพราะยังไง ๆ เย่เซิงก็ไม่ใช่ลูกชายคนแรกที่โดนมันทุบตีจนตายอยู่แล้ว
“ลูกจะไม่ทำลายชื่อเสียงของหวางฝู่ตระกูลเย่อย่างแน่นอน” เย่เซิงสัญญา
“ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!” เสียงประกาศที่ดังก้องกังวานดังก้องทำให้คนทั้งบ้านต้องเคลื่อนไหว
เย่หวางเหย่เดินออกไปก่อนตามด้วยพระมเหสีเย่ นายหญิงเฒ่าและคนอื่น ๆ
เย่เซิงเองก็เดินตามไปเงียบ ๆ
ไอ้เย่ชิงมันเข้ามาข้าง ๆ แล้วกัดฟันกรอดจ้องมองเขา “ที่แท้เจ้าก็แอบเรียนวรยุทธ์ และที่เจ้าถูกข้าทำร้ายเมื่อหลายวันก่อนก็เป็นการเสแสร้งสินะ เย่เซิงเอ๋ยเจ้าจะเจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว”
เย่เซิงไม่ได้พูดอะไรตอบโต้มัน จะว่าไม่ใส่ใจกับไอ้งี่เง่านี่เลยก็ไม่ผิด เขายังไม่อาจบอกออกไปว่าตนเองพึ่งจะเรียนวรยุทธ์หลังจากที่โดนไอ้เย่ชิงทุบตีจนตาย เพราะว่ามันยากจะเชื่อจนเกินไป เหตุการณ์ที่เขาถูกฆ่าพึ่งผ่านไปได้ประมาณสองสัปดาห์และเขาก็เป็นถึงโฮ่วเทียนสามชั้นฟ้าแล้ว หากบอกความจริงนี้ให้คนอื่น ๆ ได้รู้ล่ะก็มันคงทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นอย่างแน่นอน