บทที่ 22: สถาบันจี้เซวี่ย
เย่เซิงใช้เวลาสามชั่วยามอยู่กับพี่หญิงใหญ่ ทั้งคู่พูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ดังนั้นระยะห่างที่รู้สึกอยู่เบา ๆ อันเนื่องมาจากห่างหายกันไปสามปีก็ค่อย ๆ ลดลงและหายไปในที่สุด
เมื่อค่ำคืนมาถึงเย่เซิงก็บอกลาเพื่อหลีกเลี่ยงเสียงติฉินนินทา หลังจากที่เขาจากไปขันทีเฒ่าซึ่งอยู่เงียบ ๆ ตลอดการสนทนาอยู่ข้าง ๆ มาโดยตลอดก็เดินเข้ามาพูดเบา ๆ ว่า “น้องชายของพระมเหสีมีบรรยากาศเหมือนยอดบุรุษวัยเยาว์ยิ่งพะยะค่ะ”
พระมเหสีตอบด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ก็เขาเป็นน้องชายของข้า แล้วจะเป็นคนไร้ค่าได้อย่างไรเล่า? ข้าต้องการช่วยเขาออกจากหวางฝู่ตระกูลเย่ ต้องใช้วิธีใดเกลี้ยกล่อมท่านพ่อดีล่ะ?”
“ข้าพระองค์มีข้อเสนอแนะพะยะค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดดีไหม” ขันทีเฒ่ากล่าวอย่างลังเล
“ขันทีหลิน เจ้ารับใช้เราตั้งแต่เข้าวัง และเราเองก็คิดว่าเจ้าเป็นลูกน้องที่ไว้ใจได้ที่สุดแล้ว จงพูดมาเถอะ” พระมเหสีเย่เริ่มจริงจังอีกครั้ง
“ฝ่าบาทได้ทรงสร้างสถานศึกษาริมฝั่งแม่น้ำเว่ย โดยมีจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงและมีทักษะฝีมือสูงส่งทั้งหมดไปรวมกัน นักเรียนจำนวนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝันที่จะเข้าเรียนในสถาบันแห่งนั้น ข้าพระองค์คิดว่าจะลองแนะนำคุณชายเย่เซิงให้เข้าสถาบันแห่งนั้นน่าจะดีที่สุดแล้ว พระมเหสีเห็นว่าอย่างไรหรือพะยะค่ะ?” ขันทีหลินตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“ใช่สถาบันจี้เซวี่ยหรือไม่?” พระมเหสีเลิกคิ้วและตกอยู่ในห้วงความคิดลึก ๆ
“สถาบันจี้เซวี่ยไม่รับผู้ที่ไม่ใช่อัจฉริยะ น้องชายเราไม่เคยได้รับอนุญาตให้เรียนวรยุทธ์มาก่อนและพึ่งเรียนรู้ได้เพียงเล็กน้อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาย่อมไม่มีทางเทียบเคียงกับคนรุ่นเดียวกันได้ แล้วเขาจะเข้าเรียนได้อย่างไรเล่า?”
สถาบันจี้เซวี่ยไม่เหมือนกับสถานศึกษาทั่ว ๆ นักเรียนทุกคนในสถานศึกษาต้องเป็นอัจฉริยะเท่านั้น ต่อให้เป็นอัจฉริยะที่หยิ่งผยองอวดดีก็ไม่สน
เย่เซิงที่ไม่มีทั้งชื่อเสียงทั้งความสามารถจะไปเข้าเรียนได้ยังไง?
ขันทีหลินขบคิดปัญหานี้แล้วกล่าวว่า “คุณชายเย่เซิงเสียเวลาวัยเยาว์มาหลายปีแล้วก็จริง แต่เท่าทีข้าพระองค์เห็นคือเขาเป็นคนที่มีแรงขับอะไรบางอย่างอยู่และยังสามารถพัฒนาได้ นอกจากนี้สถาบันจี้เซวี่ยคือสถาบันที่ฝ่าบาททรงก่อตั้งขึ้น ถ้าพระมเหสีสามารถฝากคุณชายเย่เซิงให้เป็นศิษย์สาวกของฝ่าบาทได้ล่ะก็ เขาจะสามารถเข้าเรียนในสถาบันจี้เซวี่ยได้อย่างแน่นอน แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณชายเย่เซิงเองว่าจะพยายามได้ดีแค่ไหนพะยะค่ะ”
“จริงด้วย ถ้าเขาเป็นศิษย์ของฝ่าบาทก็จะเข้าสู่สถาบันจี้เซวี่ยได้อย่างแน่นอน ข้อเสนอแนะของเจ้าไม่เลวเลย” พระมเหสีเย่ชมขันทีหลินด้วยตาที่เป็นประกาย
“การช่วยแบ่งปันความกังวลของพระมเหสีเป็นงานของข้าพระองค์อยู่แล้วพะยะค่ะ” ขันทีลินกล่าวอย่างนอบน้อม
“เราต้องการให้น้องชายคนนี้เติบโตขึ้นและช่วยเราแบ่งเบาความกดดันในวันข้างหน้าได้ ช่วงนี้นางสนมมากมายไม่ชอบเรานัก ข้าราชบริพารก็ไม่มีหน้าไหนที่ไว้ใจได้ หากน้องสิบสองมีศักยภาพจริง ๆ ล่ะก็สถาบันจี้เซวี่ยจะเป็นสถานที่ที่ทำให้ศักยภาพนั้นเบ่งบาน” พระมเหสีเย่กล่าวเบา ๆ
“ทุกอย่างจะเป็นไปตามพระประสงค์ของพระมเหสีอย่างแน่นอนพะยะค่ะ” ขันทีหลินให้ความมั่นใจกับนาง
...
หลังจากที่ลาพี่หญิงใหญ่แล้วเย่เซิงก็กลับไปที่ห้องของตนอย่างไม่อาจระงับความสุขในหัวใจได้ ความกังวลทั้งหมดที่มีก่อนหน้านี้หายไปเหมือนปลิดทิ้ง พี่หญิงใหญ่ยังคงเป็นพี่หญิงใหญ่คนเดิม ความห่วงใยที่นางมีต่อเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย
ความทรงจำเมื่อสามปีก่อนกับความเป็นจริงหลังจากสามปีมานี้ต่างเหมือนกันไม่แตกต่าง
“ต้องออกจากหวางฝู่ตระกูลเย่แล้วฝึกฝนอย่างหนักในเซียนหยาง เมื่อมีพลังพอที่จะปกป้องตัวเองได้ก็ค่อยมาหานายหญิงใหญ่เพื่อทวงเอาวิชาของนิกายสังสารวัฏกลับคืนมา” เย่เซิงวางแผนอนาคตเอาไว้ล่วงหน้าอย่างมีความหวัง ตัวเขาที่โดนแช่แข็งไม่อาจฝึกยุทธ์มาหลายปีบัดนี้พระมเหสีช่วยทำลายสภาพนั้นให้แล้ว
“เหนือสิ่งอื่นใดเลยก็คือต้องสืบหาสาเหตุการตายของแม่ด้วย ไอ้คาถาขุยไป้มันคือเชรี่ยอะไรกันแน่?” เย่เซิงพูดกับตัวเองอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด
‘จากที่นายหญิงใหญ่พูด ดูเหมือนว่าคาถาขุยไป้นี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับนางเลยจริง ๆ... รึเปล่า?’
เย่เซิงส่ายหัว คิดมากเรื่องนี้เอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยังไงก็ไม่มีหลักฐานอะไรอยู่แล้วเพราะงั้นโฟกัสไปที่จุดสำคัญที่สุดอย่างการแข็งแกร่งขึ้นจะดีกว่า
เมื่อถึงกลางดึกเย่เซิงก็เริ่มฝึกวรยุทธ์ ขณะที่ชาวโลกเริ่มฝึกฝนมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็ได้รับความเข้าใจลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย คืนนี้ทั้งคืนทำให้เขาเกิดความเข้าใจและแยกแยะอะไรได้มากมาย แม้จะไม่เลื่อนระดับก็ตาม แต่เขาก็ยังก้าวหน้ามากขึ้นกว่าเดิมเยอะ
เพลงหมัดกุ่นจี๋ เพลงกระบี่ลั่วเย่และจี้เฟิงปู้นั้นเขาเข้าถึงได้อย่างลึกซึ้งจนสุดขีดของขั้นหรูเหมินแล้ว อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ขั้นเสี่ยวเฉิง
ผนึกสังสารวัฏภายในตัวเขาก็ยังคงควบแน่นไปเรื่อย ๆ และยังคงอยู่ในขั้นเสวฮุ่ย กว่าจะถึงขั้นหรูเหมินก็อีกนานเลย
เย่เซิงมีเวลาน้อยเกินไป เขาพึ่งเริ่มฝึกฝนได้เพียงเกือบ ๆ สองสัปดาห์ และการที่เขาเป็นถึงโฮ่วเทียนสามชั้นฟ้าได้มันก็น่าทึ่งสุด ๆ แล้ว อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพลังจากชาวโลกได้ และเมื่อใช้ไพ่ในมือออกมาครบทุกใบล่ะก็เขาคงพอป้องกันตัวได้ในระดับหนึ่ง
ค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงจันทร์เจิดจ้าสาดส่องลงมาสู่ดิน เย่เซิงยังคงเคลื่อนไหวในห้องต่อไปเพื่อให้เข้าถึงเคล็ดวิชาเหล่านั้นได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
...
ในช่วงครึ่งคืนหลังเย่หวางเหย่ได้กลับมาที่หวางฝูแล้ว และเมื่อกลับมาปุ๊บก็ตรงไปที่ห้องของหูเหมยปั๊บทำให้นางมีความสุขมาก ๆ ก่อนหน้านี้เย่หวางเหย่ไม่ได้มาที่ห้องของนางแม้แต่ครั้งเดียวจนทำให้นางคิดว่าเขาเบื่อนางแล้ว
“เหลาเหย่เจ้าคะ ท่านกลับมาช้าเหลือเกิน จอมยุทธ์เหล่านั้นรับมือได้ยากมากหรือเจ้าคะ?” หูเหมยถามเบา ๆ พลางมือก็ช่วยเขาถูหลัง
เย่หวางเหย่ที่นั่งหลับตาอยู่ในอ่างอาบน้ำกล่าวว่า “บางทีข้าอาจอยู่ในเซียนหยางนานเกินไปจนใครหน้าไหนก็ไม่รู้อยากมาก็มากันตามใจชอบ”
“แต่ระดับวรยุทธ์ของเหลาเหย่คือที่หนึ่งในโลก ใครมันจะกล้าเข้ามาก่อปัญหาในเซียนหยางเล่า?” หูเหมยกล่าวอย่างดูถูก
“ที่หนึ่งในโลกที่ไหนกัน แม้แต่ ‘สวรรค์’ ข้าก็ยังไม่เคยได้เห็น เอาเถอะบอกเจ้าไปก็ไม่เข้าใจหรอก ว่าแต่วันนี้พระมเหสีเย่กลับมายังหวางฝูแล้วใช่หรือไม่? มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม?” เย่หวางเหย่เปลี่ยนเรื่องคุย
หูเหมยกลอกตามองบนก่อนจะตอบว่า “เช้านี้เกิดเรื่องครึกครื้นใหญ่เลยล่ะเจ้าค่ะ สิ่งแรกที่พระมเหสีทำเมื่อเสด็จมาถึงคือส่งแม่ท่านไปที่วัดในสภาพโกรธแค้นจนไม่อยากกลับมา”
เย่หวางเหย่พูดอย่างเฉยเมย “แล้วสาเหตุเล่า?”
“ก็เพราะลูกสิบสองของท่านน่ะซี่ พระมเหสีไม่พอพระทัยเมื่อทรงเห็นว่าเจ้าสิบสองไม่ได้มาเฝ้ารับเสด็จเลยโต้เถียงกับนายหญิงเฒ่า หลังจากที่ขับไล่นายหญิงเฒ่าไปอยู่วัดสำเร็จแล้วก็เอาแต่คุยกับเจ้าสิบสองเป็นการส่วนตัวอยู่ถึงสามชั่วยามแหน่ะ” อีหูเหมยจงใจพูดความจริงแค่เกือบหมดแต่ไม่หมด
เย่หวางเหย่ขมวดคิ้ว “เจ้าสิบสอง? เย่เซิง?”
“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร วันนี้เขาได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทำให้ดูแตกต่างไปจากเดิมราวกับเป็นคนละคน ทำเอาทุก ๆ คนที่ได้เห็นตกใจกันไปหมด บรรยากาศที่แผ่ออกมานั้นดูมีระดับยิ่งกว่าคุณชายใหญ่ ยามเดินหนักแน่นราวมังกรแตะละก้าวแตะพื้นราวเสือ แตกต่างจากเย่เซิงคนเดิมไปโดยสิ้นเชิง” หูเหมยตอบด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะ
เย่หวางเหย่ลืมตาขึ้นทันที นัยน์ตาราวกับว่ามีประกายสายฟ้าแลบอยู่ภายใน จากนั้นจึงหันไปจ้องมองหูเหมยด้วยแววตาที่น่าสะพรึงก่อนจะถามว่า “เจ้ากำลังบอกว่าเย่เซิงได้เรียนรู้วรยุทธ์อย่างนั้นรึ?”
หูเหมยตกใจมากและตอบอย่างรวดเร็วว่า “ข้าไม่ได้จะบอกอย่างนั้น เพียงแต่ได้พวกคนรับใช้ซุบซิบนินทากันก็เท่านั้น แต่การแสดงของเย่เซิงในวันนี้ก็ได้พลิกโฉมภาพจำที่ทุก ๆ คนเคยมีไปหมดแล้ว พวกคนรับใช้เลยพากันนินทาว่าเขาคงจะปิดบังไว้เพื่อรอให้พระมเหสีมาหาแล้วใช้ความรักที่พระนางมีให้ช่วยให้ตัวเองออกจากหวางฝู่ตระกูลเย่”
เย่หวางเหย่จ้องมองที่หูเหมยด้วยสายตาที่เหมือนหมาป่า หัวใจของหูเหมยเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว นางแทบจะไม่สามารถเอ่ยคำอะไรออกจากปากได้อีกและไม่กล้าพูดต่อแล้วด้วย
“นั่นไม่ใช่คำพูดของคนใช้ แต่เป็นคำพูดของเจ้าเองใช่ไหม?” ถามเย่หวางเหย่เสียงเรียบ
หัวใจของหูเหมยเต้นแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว และนางก็รีบแก้ตัวอย่างไว “หวางเหย่! ต่อให้ข้าจะขีอิจฉาปานใดก็ไม่ถึงขนาดใส่ร้ายเย่เซิงหรอกนะ แต่ในบ่ายวันนี้เย่เซิงดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงจริง ๆ”
“เข้าใจแล้ว ดูเหมือนว่าข้าต้องทดสอบเย่เซิงอย่างละเอียดอีกที หลังจากการเสด็จกลับในวันพรุ่งนี้ข้าจะดูว่าเย่เซิงไอ้แอบเรียนวรยุทธ์หรือไม่ หากมันกล้าทำจริง ๆ ล่ะก็ ข้าจะทำให้มันใช้ทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ได้เรียนรู้ว่ากฎของหวางฝูแห่งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามละเมิด!” ไอ้เย่หวางเหย่กล่าวอย่างเย็นชาขณะที่เอนหลังลงในอ่างอาบน้ำอีกครั้ง
ส่วนอีหูเหมยที่ได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยินดีทันทีเลยเชียว จากนั้นมันก็เปลี่ยนกระบวนท่าเป็นท่าเจ้าชู้โดยถอดเสื้อผ้าลงอ่างกับผัวมันแล้วกระซิบข้างหูว่า “เลิกคิดเรื่องพรรค์นั้นไปเถอะ นี่มันก็ดึกมากแล้ว”
ไอ้คนผัวก็เอื้อมมือไปดึงเมียมันเข้ามาหา อีเมียก็ร้องรับเบา ๆ จากนั้นเสียงน้ำในอ่างกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทุกทางก็ดังขึ้น