ตอนที่แล้วตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 19 พลังของหมัดปีศาจวัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 21 ซื้อโสม

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 20 เริ่มมีชื่อเสียง


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 20 เริ่มมีชื่อเสียง

แปลโดย iPAT  

ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะพลังปราณแต่ยังรวมถึงผลลัพธ์อันน่าอัศจรรย์ของน้ำตาวัวอีกด้วย

เขาหลบหมัดของฝ่ายตรงข้ามและใช้หมัดกระแทกนักล่าอีกคน

อย่างไรก็ตามนักล่าอีกคนพุ่งเข้ามาและหวังจะโจมตีจากด้านหลังอย่างชั่วร้ายโดยมีนักล่าอีกสองคนช่วยจับเอวของหลีฉิงซานเอาไว้และพยายามกดเขาลงบนพื้น

พวกเขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการล่าสัตว์บนภูเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเชี่ยวชาญทักษะในการปิดล้อมคู่ต่อสู้ แม้หลี่ฉิงซานจะสามารถเอาชนะพวกเขาทีละคน แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทันที

เมื่อเห็นว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยง หลี่ฉินซานจึงเพ่งสมาธิและควบคุมเศษเสี้ยวพลังปราณของเขาไปที่แผ่นหลัง นั่นทำให้มัดกล้ามเนื้อบนแผ่นหลังของเขาปูดโปนขึ้นเล็กน้อย

หมัดของฝ่ายตรงข้ามปะทะแผ่นหลังของหลี่ฉินซานแต่ผู้จู่โจมกลับรู้สึกราวกับตนเองกำลังชกวัวกระทิงที่แข็งแกร่ง หมัดของเขากลายเป็นอ่อนแรงขณะที่หลี่ฉินซานยังดูสบายดี

ในเวลาเดียวกันนักล่าอีกสองคนที่คว้าเอวของหลี่ฉินซานก็รู้สึกเหมือนพวกเขาเป็นฝ่ายถูกกดลงบนพื้นและไม่สามารถเคลื่อนไหว

ในที่สุดหลี่ฉินซานก็รอดพ้นจากสถานการณ์คับขัน เขากระแทกศอกทั้งสองข้างลง

เคล็ดวิชาหมัดปีศาจวัวเป็นการใช้ร่างกายทั้งหมดของผู้ฝึกฝน นอกเหนือจากหมัดและเท้า การโจมตีด้วยศอกก็เป็หนึ่งในการโจมตีที่ทรงพลังเช่นกัน

ความเจ็บปวดพุ่งเข้าโจมตีแผ่นหลังของสองนักล่าและมันก็ทำให้พวกเขาล้มลงบนพื้นอย่างน่าอนาถ

หลี่ฉินซานหันหลังกลับและพุ่งเข้าไปหานักล่าที่โจมตีเขาจากด้านหลัง เขาชกเข้าที่หน้าอกและส่งคนผู้นี้ล้มลงบนพื้น

ผู้คนที่อยู่รอบๆรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นคือเด็กหนุ่มที่เป็นฝ่ายเสียเปรียบกลับสามารถเอาชนะนักล่าห้าคนจากหมู่บ้านบังเหียนม้า นี่ทำให้พวกเขากลายเป็นพูดไม่ออก

หลี่ฉิงซานมองนักล่าทั้งห้าที่คร่ำครวญด้วยความเจ็บบปวดอยู่บนพื้นก่อนจะมองมือของเขาเอง หลังจากทั้งหมดความแข็งแกร่งของเขามาถึงระดับนี้แล้ว

อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะได้ดื่มด่ำกับความสำเร็จ นักล่ากลุ่มใหญ่ก็วิ่งเข้ามา พวกเขาง้างคันธนูและชักดาบออกมาปิดล้อมหลี่ฉิงซานด้วยความรู้สึกเกลียดชัง

หมู่บ้านบังเหียนม้าไม่ได้ส่งนักล่ามาที่เมืองธารสนเพียงห้าคนแต่ส่งมาราวยี่สิบคน พวกเขานำหนังสัตว์ที่พวกเขารวบรวมไว้มาขาย นักล่าวัยเยาว์ก่อนหน้านี้เป็นเพียงเด็กรุ่นน้องที่ติดตามนักล่ารุ่นพี่มาเพื่อหาประสบการณ์เท่านั้น

พวกเขาดิ้นรนพยายามเพื่อขายหนังสัตว์ เมื่อได้ยินว่าบางคนขายหนังสัตว์ในราคาย่อมเยา แล้วพวกเขาจะนิ่งเฉยได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้กับหลี่ฉิงซาน อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยคาดหวังว่าพวกเขาจะกลายเป็นฝ่ายได้รับบทเรียน

เห็นได้ชัดว่านักล่าอาวุโสไม่ได้เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ พวกเขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว เมื่อเผชิญหน้ากับคันธนูของนักล่าจำนวนมาก หลี่ฉิงซานรู้สึกเหมือนเขาเป็นสัตว์ร้ายที่ตกลงสู่หลุมพราง ชะตากรรมของเขาอยู่ในมือของผู้อื่น นี่ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังจริงๆ

งานเลี้ยงของพ่อบ้านหลิวเป็นเพียงการละเล่นของเด็ก แต่ตอนนี้คือสถานการณ์แห่งชีวิตและความตายที่แท้จริง คนเหล่านี้หาเลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ การชกต่อยไม่ใช่ความสามารถพิเศษของพวกเขาแต่เป็นการยิงธนู แม้หมัดปีศาจวัวของเขาจะสามารถปิดกั้นหมัดแต่มันไม่สามารถปิดกั้นลูกธนู

เมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย เขาดึงดาบที่เอวออกมาอย่างใจเย็นและมองไปรอบๆเพื่อหาหนทางหนี เขาไม่เคยคิดว่าการขายหนังสัตว์จะนำมาสู่สถานการณ์นี้ เขาไม่เต็มใจแต่บางทีเขาอาจต้องฆ่าบางคนเพื่อหาทางออกจากที่นี่

“เจ้าทำทั้งหมดนี่งั้นหรือ?” นักล่าชราถามเสียงดังขณะที่เขาแขวนคันธนูขนาดใหญ่ไว้บนแผ่นหลังและยืนอยู่ตรงกลางกลุ่มนักล่า

หลี่ฉิงซานตอบ “ถูกต้อง ข้าทำ!”

นักล่าอาวุโสมองหลี่ฉินซานด้วยความประหลาดใจ คนทั่วไปจะรู้สึกไร้อำนาจและหวาดกลัวเมื่อพวกเขาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หลี่ฉิงซานยังเด็กมากแต่เขากลับสามารถรักษาความสงบ เพียงสิ่งนี้ก็ทำให้เขาเหนือกว่าเด็กในหมู่บ้านบังเหียนม้าอย่างสมบูรณ์แล้ว

นักล่าอาวุโสถามเด็กหนุ่มตัวเตี้ยที่ถูกหลี่ฉิงซานกระแทกไหล่ “เสี่ยวเฮย เกิดสิ่งใดขึ้น?”

“ท่านหัวหน้า เด็กผู้นี้พยายามทำลายธุรกิจของเรา!” เสี่ยวเฮยพยายามลุกขึ้นจากพื้นอย่างยากลำบาก

ผู้คนเริ่มพูดคุย “นั่นไม่ใช่หัวหน้านักล่าของหมูบ้านบังเหียนม้างั้นหรือ?”

“มันคือเขา ฮวงปิงหู!”

หัวหน้านักล่าที่ถูกกล่าวถึงมีสถานะเทียบเท่าหัวหน้าหมู่บ้าน แตกต่างจากหมู่บ้านกระทิงหมอบที่ผู้มีอำนาจของหมู่บ้านจะมาพร้อมกับความอาวุโส คนที่สามารถเป็นหัวหน้านักล่าของหมู่บ้านบังเหียนม้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดของหมู่บ้าน พวกเขาจะดูแลเรื่องการล่าทั้งหมดของหมู่บ้าน

สำหรับฮวงปิงหู เขาเป็นหัวหน้านักล่ารุ่นปัจจุบันของหมู่บ้านบังเหียนม้าที่มีชื่อเสียงมาก หลี่ฉินซานเคยได้ยินชื่อคนผู้นี้มานานแล้วแต่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะเป็นชายชราที่ดูเหมือนคนป่วยใกล้ตายเช่นนี้

ชื่อเสียงของผู้คนเปรียบเสมือนเงาของต้นไม้ ยิ่งมีขนาดใหญ่เท่าใดก็ยิ่งมีอิทธิพลมากเท่านั้น หลี่ฉิงซานกำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันมหาศาล แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่หลี่ฉิงซานคนเดิมอีกต่อไป เขากล่าวเย้ยหยัน “เจ้าไม่ได้พูดสิ่งใดและพยายามพลิกแผงขายสินค้าของข้า เจ้ายังเหวี่ยงหมัดใส่ข้าก่อน แล้วตอนนี้ยังบอกว่าข้าทำลายธุรกิจของเจ้า หมู่บ้านบังเหียนม้าช่างสูงส่งนัก!”

ใบหน้าของฮวงปิงหูกลายเป็นมืดครึ้ม เขาตะโกน “เหตุใดพวกเจ้ายังไม่ลุกขึ้นมาอีก!? พวกเจ้าไม่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้เพียงคนเดียวและตอนนี้ยังโอดครวญอยู่บนพื้น พวกเจ้ายังคู่ควรกับการเป็นคนของหมู่บ้านบังเหียนม้าอีกงั้นหรือ?”

หลี่ฉิงซานรู้ว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ของเขาไม่เบา แต่ภายใต้คำสั่งของฮวงปิงหู นักล่ารุ่นเยาว์ทั้งห้าจึงต้องฝืนลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว นอกเหนือจากความหวาดกลัว มันยังเป็นเพราะความเคารพที่พวกเขามีต่อฮวงปิงหูอีกด้วย

ฮวงปิงหูยกมือขึ้นขณะที่นักล่าทั้งหมดเก็บคันธนูและดาบทันที “เราเป็นฝ่ายผิด แต่เด็กน้อย เจ้าไม่ควรลงมือหนักเช่นนี้”

“หากข้าไม่ลงมือหนัก มันคงเป็นข้าที่ต้องนอนอยู่ที่นั่น”

“เราออกจากหมู่บ้านครั้งเดียวเพื่อขายหนังสัตว์และสมุนไพร ความจำเป็นของหมู่บ้านต้องได้รับการคุ้มครอง มันไม่เป็นไรหากเจ้าขายสินค้าในราคาตลาด แต่วิธีที่เจ้าขายตอนนี้ทำให้ราคาปั่นป่วนและทำให้เราสูญเสียรายได้จำนวนมาก”

หลี่ฉิงซานเงียบ เขาไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับอนุญาตให้ขายสินค้าตามที่เขาต้องการ แม้ฮวงปิงหูจะมีชื่อเสียงและอิทธิพล แต่เขากลับยอมรับความผิดต่อหน้าสาธารณชนและยังให้เหตุผลกับเขาแทนที่จะกดขขี่ด้วยจำนวนคน นี่ทำให้หลี่ฉิงซานไม่ต้องการโต้เถียงและก่อกวนเขาอีกต่อไป

อย่างไรก็ตามหากพวกเขาต้องการต่อสู้หรือฆ่า เขาก็จะยืดหยัดเพื่อตัวเองเช่นกัน

ฮวงปิงหูกล่าว “ข้าจะซื้อหนังสัตว์ทั้งหมดของเจ้า!”

หลังจากนั้นกลุ่มนักล่าก็เก็บหนังสัตว์ของหลี่ฉิงซานไป

ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างชื่นชมอุปนิสัยของฮวงปิงหูผู้นี้ หลี่ฉิงซานค่อนข้างประหลาดใจ เขาชำเลืองมองถุงเงินที่ถูกส่งให้เขาก่อนจะเปิดปากกล่าว “ไม่จำเป็น”

หลังจานนั้นเขาก็หันหลังกลับและนำเกวียนจากไป ในความเป็นจริงเขาไม่ได้พึ่งพาหนังสัตว์เหล่านี้เพื่อหาเลี้ยงชีพตั้งแต่แรก ฮวงปิงหูเป็นคนใจกว้างและปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมากับเขา ดังนั้นหากเขายังเรียกร้องบางสิ่ง มันจะกลายเป็นการลดศักดิ์ศรีของตัวเขาเอง

ความชื่นชมปรากฏในสายตาของฮวงปิงหู เขาเฝ้ามองหลี่ฉิงซานเดินหายไปในฝูงชนก่อนที่เขาจะเปิดปากถามคนแถวนั้น “เด็กผู้นี้เป็นใครและมาจากไหน?”

ชาวนาผู้หนึ่งตอบอย่างระมัดระวัง “ดูเหมือนเขาจะเป็นหลี่เอ้อจากหมู่บ้านกระทิงหมอบ”

หลายคนในบริเวณนั้นเคยได้ยินเรื่องราวของหลี่ฉิงซาน ดังนั้นพวกเขาจึงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่แปลกใจเลย!”

แม้หมู่บ้านส่วนใหญ่จะอยู่ห่างไกลกัน แต่เรื่องที่เหมือนตำนานมักจะแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเสมอ หลี่ฉิงซานไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้ว