ตอนที่แล้วSN-ตอนที่ 1 ปฐมบทโลกมืด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSN-ตอนที่ 3 มุ่งสู่แบล็ควอเตอร์

SN-ตอนที่ 2 การเป็นฮีโร่


เมื่อ อัลดิช ยังเป็นเด็ก เขาใฝ่ฝันที่จะเป็นฮีโร่อยู่เสมอ มันเป็นความฝันที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากบางสิ่ง โดยพื้นฐานแล้วเด็กทุกคนก็เคยฝันที่จะเป็นฮีโร่ในบางจุด โดยเฉพาะมันไม่น่าแปลกใจเลยหลังจากที่ได้ยินชื่อเสียงเกี่ยวกับวีรบุรุษแห่งยุคทำให้ตัวตนของฮีโร่ได้รับการเคารพเป็นอย่างมาก

อัลดิช เคยได้ยินนิทานก่อนนอนนับพันเรื่องเกี่ยวกับวีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ แวนการ์ด ที่เขาสามารถปราบวายร้ายด้วยหมัดอันไร้เทียมทานของเขา อีกทั้งยังช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนพร้อมกับยุติยุคสมัยแห่งความชั่วร้ายลงได้

เมื่อเขาโตขึ้น เขาก็มักจะเห็นฮีโร่บนหน้าจอโทรทัศน์ที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบหลากสีสัน ไม่ว่าจะเป็น คนที่สวมใส่เสื้อคลุม มีกล้ามัดที่ใหญ่ และ รอยยิ้มกว้าง โดยคนเหล่านี้ได้ช่วยเหลือในการอพยพผู้คนจากตึกคารที่กำลังลุกไหม้ และ เมื่อ วาแลน ที่น่ากลัวปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็โฉบเข้ามาจัดการพวกมันและกอบกู้ความสงบสุขกลับคืนมา

เหล่าฮีโร่มักจะได้รับความสนใจโดยพวกเขาได้ปรากฏตัวบน โฆษณาโฮโลแกรมหรือทอล์คโชว์หรือกระทั่งโซเชียลมีเดียและสตรีมมิ่ง-ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพวกเขาล้วนได้รับความสนใจทั้งสิ้น

แต่ที่สำคัญที่สุดที่ อัลดิช อย่างเป็น ฮีโร่ก็เพราะ พ่อแม่ของเขา

พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นฮีโร่ แม้ว่าจะไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก แต่พ่อของเขาสามารถยิงเปลวไฟออกมาจากมือของเขาได้ หรือแม้กระทั่งเขาสามารถจุดไฟเพื่อหลอมละลายกำแพงได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับ บลู-บลาซ ที่สามารถหลอมละลาย วาแลน ที่มีขนาดตัวเท่าอาคารให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ในไม่กี่วินาที แต่เขาก็ดูสง่างามมากเช่นกัน

ส่วนแม่ของ อัลดิช เธอเป็นขั้วตรงข้ามกับพ่อของเขาโดยสิ้นเชิง นั่นก็เพราะเธอสามารถควบคุมน้ำได้ คล้ายกับหลักการเดียวกับพ่อของเขา

พ่อแม่ของ อัลดิช เป็นแค่ ฮีโร่ทั่วไปสำหรับสาธารณชนทั่วไป แต่เนื่องจากพวกเขาเป็นพ่อแม่ของเขา พวกเขาจึงเป็นฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของ อัลดิช

พวกเขาดูยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเลี้ยงดูเขามาให้เคารพรักในความยุติธรรม โดยบอกว่าความยุติธรรมคือความเชื่อมั่นของเหล่าฮีโร่ เพราะท้ายที่สุด แม้อาจจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ แต่มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนยิ้มได้

ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ความยุติธรรม และ ความกล้าหาญ รวมถึง เสน่ห์ต่าง ๆ ของเหล่าฮีโร่ มันทำให้ อัลดิช ปราถนาที่จะเป็นฮีโร่มาโดยตลอด

เพียงแต่น่าเสียดายที่ในไม่ช้า อัลดิช ก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่มีพลังพิเศษ

90% ของมนุษยชาตินั้นเกิดมาพร้อมกับยีนต์กลายพันธุ์ ซึ่งมันเป็นกลุ่มก้อนเล็ก ๆ ที่ให้กำเนิดพลังพิเศษ หรือ พัฒนาพวกมันเมื่อตอนอายุ 10 ปี ใครก็ตามที่อายุครบ 10 ปี และ ยังไม่มีการแสดงอาการใด ๆ ของการมีอยู่ของยีนต์กลายพันธุ์ พวกเขาจะถูกจัดอยู่ในประเภท ‘ยีนต์ธรรมดา’ หรือที่เรียกกันว่า ‘ข้อบกพร่อง’ - มนุษย์ที่มีข้อบกพร่องนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ล้มเหลวในยุคที่พลังคือทุกสิ่ง

ดังนั้น อัลดิช จึงกลายเป็นคนประหลาดไปโดยปริยาย - เพราะในประชากร 5% ที่หายากของโลกนี้ล้วนเป็นผู้บกพร่องด้วยกันทั้งหมด

ในสังคมที่ให้คุณค่ากับอำนาจและพลังที่มีส่วนในการช่วยสนับสนุนมนุษยชาติ อัลดิช ถือว่าเป็นชนชั้นล่างของโลกอย่างแท้จริง เขาเป็นเพียงขยะ ที่รอวันที่จะถูกทิ้งเพียงเท่านั้น

เพราจะไม่มีใครแต่งงานกับเขา จะไม่มีใครมาเชื่อมสัมพันธ์ไมตรีกับเขา

อัลดิช เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยผู้วิวัฒที่สามารถปล่อยพลังพิเศษออกมาได้ ดังนั้น เขาสามารถลืมเรื่องการกลายเป็นฮีโร่ไปได้เลย กระทั่งงาน ก็คงไม่มีใครจ้างเขาด้วยซ้ำ เพราะในทุกที่ทำงานก็มีหลายคนที่เป็นผู้วิวัฒ และ มันทำให้พวกเขาสามารถทำงานได้ดีมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสำหรับ อัลดิช เพราะในวัยเด็กของเขา เขามักจะถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่ลดละเนื่องจากเขาไม่มีพลัง หลังจากกลับจากโรงเรียน เขาจะเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำ และ น้ำตา อีกทั้งยังเต็มไปด้วยหัวใจที่รู้สึกเจ็บปวด แต่ทั้งหมดนี้ โชคดีที่ พ่อแม่ของเขาได้ให้การสนับสนุนต่อเขา

พวกเขาพยายามเลี้ยงดูเขาด้วยค่านิยมที่ดีและยั่งยืนที่จะกลายเป็น ‘ฮีโร่’ โดยบอกให้เขาเงยหน้าขึ้น พยายามมองเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดี เพื่อที่จะได้ไม่ทิ้งความฝันของเขา แต่ถึงกระนั้นทุกอย่างก็มาถึงจุดสิ้นสุด

ในวันเกิดปีที่ 13 ของ อัลดิช เขาใช้เวลาทั้งคืนอยู่ในบ้านเพียงคนเดียว เพื่อรอให้ พ่อแม่ของเขากลับมาจากภารกิจตามล่าพวก วาแลน ที่ถูกปล่อยออกมาโดยองค์กรอาชญากรรมที่มีอำนาจ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ไทรเด้น

จากนั้นความเจ็บปวดบางอย่างของ อัลดิช ก็ได้เผยออกมาในเวลานั้น

เพราะตอนเที่ยงคืน หน้าจอโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นของ อัลดิช ได้ฉายภาพบางอย่างด้วยตัวของมันเอง กระทั่ง ข่าวต่างประเทศก็ออกอากาศเช่นเดียวกัน โดย เขาเห็น พ่อแม่ของเขาถูกมัดติดกับเก้าอี้และถูกขังไว้ในห้องสกปรกที่เต็มไปด้วยคราบเลือด

พวกเขาถูกทุบตีจนกลายเป็น รอยฟกช้ำและแผลเป็น กระทั่งเครื่องแต่งกายของพวกเขาที่เป็นสีแดงกับสีน้ำเงินยังขาดเป็นชิ้น ๆ สิ่งนี้ทำให้เขาทำได้เพียงเงยหน้ามองอย่างมึนงงในขณะที่ ชายสวมหน้ากากสีแดงได้กล่าวพูดกับ อัลดิช โดยเขาบอกว่านี่เป็นราคาสำหรับพ่อแม่ของเขาที่กล้าต่อต้านองค์กรไทรเด้น

อัลดิช ได้เฝ้ามองดูผู้ชายหลายคนเริ่มทำร้ายพ่อแม่ของเขาทีละส่วน ถอนเล็บ ตัดนิ้ว เผาไหม้ ฉีกเนื้อหนัง ไฟฟ้าช็อต ใช้กรด ใช้พิษ สิ่งนี้ทำให้ อัลดิช รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

อัลดิช มองดู พ่อแม่ของเขาถูกทุบตีและถูกจัดการราวกับเนื้อสัตว์ที่วางอยู่ในร้านขายเนื้อ เสียงกรีดร้องของความเจ็บปวดของพวกเขาได้เปล่งร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง

และนั่นเป็นช่วงเวลาที่การถ่ายทอดนี้ได้ถูกตัดไป จากนั้น ตำราจและฮีโร่ ก็ได้บุกมาที่บ้านของ อัลดิช ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง โดยร่างของเขา ได้ยืนอยู่ห่างจากหน้าจอโทรทัศน์ด้วยสีหน้าที่แน่นิ่งจนทำให้พวกเขาได้พาเขาส่งไปที่ โรงพยาบาล

อัลดิช ไม่ได้ร้องไห้ในคืนนั้น และ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เคยร้องไห้อีกเลย เพราะบางสิ่งบางอย่างในตัวได้แตกสลาย สิ่งเหล่านี้ ได้ไปปิดผนึกรอยร้าวเหล่านั้นทำให้เขาหลงเหลือแต่ความเย็นชามาโดยตลอด

หลายวันผ่านไป มีการออกค้นหา พ่อแม่ของ อัลดิช และ คนร้ายที่ฆ่าพวกเขา แต่ทว่าก็ไม่มีอะไรคืบหน้า

อัลดิช ตระหนักได้ในตอนนั้นทันทีว่าไม่มีความยุติธรรมในโลกนี้

อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งที่พ่อแม่ของเขาเชื่อ

ความยุติธรรมไม่ใช่อำนาจอีกต่อไป เพราะทั่วทุกหนแห่งพวกเขาสมควรได้รับกรรมที่พวกเขาทำ

ใช่แล้ว ความยุติธรรมไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นการกระทำ และ มีเพียงผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถทำให้ความยุติธรรมกลายเป็นจริงได้

อัลดิช ได้ปล่อยให้ความแค้นกัดกินเขา เขาได้เติมเชื้อเพลิงจนกลายเป็นค้อนที่จะทำลายความยุติธรรมผ่านกะโหลกของผู้ที่สมควรได้รับมัน แต่เขาจะปราบวายร้ายเหล่านี้ได้อย่างไร? เขาต้องการใบอนุญาติของฮีโร่เพื่อที่จะริเริ่มติดตามคนร้ายเหล่านี้โดยที่ไม่ต้องให้ฮีโร่เริ่มตามล่าเขาเพราะเป็นศาลเตี้ยที่ไม่มีใบอนุญาติ

แต่ไม่มีสถาบันฮีโร่ไหนที่จะยอมรับเขาที่ไร้พลัง

แต่โชคก็ยังเหลือติดตัวเขาอยู่บ้าง

พ่อแม่ของเขาได้มอบเงินจำนวนมหาศาลให้กับเขาเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในไม่กี่ปี และ ในจดหมายวันเกิดของเขายังบอกอีกด้วยว่าในฐานะคนในวงการฮีโร่พวกเขารู้ดีถึงโครงการของรัฐบาลใหม่ที่ถูกเรียกว่า ‘โครงการพัฒนาการต่อสู้’

โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นโครงการสวัสดิการสำหรับผู้ที่ไร้พลังเช่น อัลดิช ซึ่งพวกเขาสามารถเข้าร่วมกับสถาบันฮีโร่และฝึกฝนที่นั่นโดยใช้ชุดพลังกลที่ถูกเรียกว่า ‘เฟรม’ ได้ เพราะเมื่อถึงเวลา แม้แต่คนที่ไร้ค่า 5% ของมนุษยชาติ ก็ยังสามารถถูกเกณฑ์มาช่วยในการต่อสู้กับ วาแลน ได้

ในบรรดาผู้ที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาการต่อสู้ บุคคลที่โดดเด่นสามารถกลายเป็นฮีโร่ที่มีใบอนุญาติได้

โดยพ่อแม่ของเขาไม่ได้เขียนอะไรให้กับเขานอกจากการให้กำลังใจในจดหมายฉบับนั้น อีกทั้งมันยังเป็นสิ่งเยียวยาจิตใจเพียงอย่างเดียวของเขา

ขณะที่เขาถือจดหมายฉบับนั้นเขารู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก และ เขาได้ยินเสียงบางอย่างในหัวตลอดเวลา แต่เขาได้เก็บความเจ็บปวดเหล่านั้นไว้ในใจและปล่อยให้มันกลายเป็นพลังให้กับเขา

‘โครงการพัฒนาการต่อสู้’ ค่อนข้างเข้มงวดในการเลือก โดยพวกเขาจะเลือกผู้ที่มีสมรรถภาพทางร่างกายและความสามารถทางด้านจิตใจที่ดีที่สุดเพื่อที่จะสั่งการและมีการตัดสินใจที่กล้าหาญ

อัลดิช ได้ฝึกฝนร่างกายของเขาเป็นเวลา 3 ปี โดยการฝึกใช้ มีดที่คมกริบ ศิลปะต่อสู้ สิ่งนี้ทำให้มวลกล้ามของเขาค่อนข้างหนาแน่น แต่การประเมินจิตใจค่อนข้างเป็นปัญหาสำหรับเขา เพราะเขาปราถนาที่จะฆ่ามากเกินไป เขาปราถนาที่จะฆ่า และ อาจจะกลายเป็นผู้ที่ไม่เชื่อฟังคำสั่ง กระทั่งเขากล้าคิดเรื่องการเสียสละผู้คนเพียงไม่กี่คนเพื่อผลประโยชน์ของคนหลายคนเป็นสิ่งที่ควรจะทำ

มีอยู่ครั้งนึง เมื่อ ผู้วิวัฒ ได้ประเมินและพยายามเข้าถึงจิตใจของ อัลดิช เพื่อค้นหารายละเอียดต่าง ๆ ทางจิตใจของเขา โดย อัลดิช ก็ได้ทำให้จิตใจของเขามีอาการชักเล็กน้อย โดยสิ่งนี้มันทำให้เขาสันนิษฐานได้ว่า จิตใจของ อัลดิช มีความ ‘ผิดปกติ’ และ ‘บิดเบี้ยว’ มากเพียงใด

ดังนั้นจึงไม่มีสถาบันการศึกษาระดับบนสุดหรือแม้แต่ระดับกลางพิจารณาเกี่ยวกับตัวตนของเขา แม้ว่า อัลดิช จะทำคะแนนได้สูงที่สุดในมาตราการชี้วัดสมรรถภาพทางกายก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้รับการยอมรับ

ถึงกระนั้น อัลดิช ก็ยังสามารถเข้าเรียนสถาบันการศึกษาที่เต็มใจรับเขาเข้ามาได้

โดยสถาบันการศึกษานี้มีขนาดเล็กและไม่มีชื่อเสียง มันถูกเรียกว่า แบล็ควอเตอร์ มันเป็นสถาบันการศึกษาที่มีข้อมูลน้อยนิดจนทำให้ผู้คนรู้สึกสงสัยในทันที แต่พวกเขาก็ยินดีที่จะเมินการประเมินทางด้านจิตใจที่ไม่ดีของ อัลดิช

ดังนั้น เมื่อ อัลดิช อายุได้ 16 เขาก็ได้เข้าเรียนสถาบันสอนฮีโร่เช่นเดียวกับที่เขาเคยใฝ่ฝันเอาไว้ตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็ก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะต้องการใบอนุญาติในการช่วยชีวิต แต่ตอนนี้เขาต้องการใบอนุญาติในการล่า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด