ตอนที่แล้วเกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 276
ทั้งหมดรายชื่อตอน

เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 277


ตอนที่ 277

นามของเขาคือหลินซวน อัจฉริยะตัวน้อยที่ต่อสู้กับรุ่นเยาว์มากกว่าพันคนโดยลำพังและสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลสี่สัตว์เทวะได้!

เหล่าอัจฉริยะที่ถูกเขาสังหารต่างตัวสั่นด้วยความหวั่นผวาและใบหน้าแสดงความหวาดกลัวออกมา

เมื่อผู้บ่มเพาะบางส่วนได้ยินเรื่องนี้ สีหน้าของพวกเขาล้วนแปรเปลี่ยนไป ด้วยหวั่นเกรงว่าจะเผลอไปยั่วยุตัวตนเทพมรณะผู้นี้เข้า

หากไม่มีความมั่นใจมากพอที่จะสังหารยอดฝีมือเช่นนี้ได้ การจู่โจมเขานับว่าเป็นเรื่องโง่เขลายิ่งนัก นั่นหมายความว่าศัตรูของเด็กน้อยผู้นี้อาจนำหายนะอันใหญ่หลวงมาสู่ตระกูลของตนเองได้ในอนาคต

หลังจากเหตุการณ์นั้น ข่าวอีกเรื่องหนึ่งก็แพร่กระจายไปทั่วทุกทิศ

ใครก็ตามที่สามารถบอกที่ซ่อนหรือช่วยเหลือในการสยบหลินซวนและพรรคพวกได้จะได้รับรางวัลเป็นสมุนไพรโอสถหมื่นปีและทักษะการบ่มเพาะระดับมนุษย์

และหากว่าคนผู้นั้นช่วยสังหารหลินซวนลงด้วยกัน จะได้รับรางวัลเป็นยุทธภัณฑ์ในระดับปฐพี โอสถวิญญาณพันปีจำนวนหนึ่ง หินวิญญาณชั้นยอดหนึ่งพันก้อน และทักษะการบ่มเพาะระดับปฐพี

สิ่งนี้ทำให้ทั่วทั้งหอสวรรค์จุติสั่นสะเทือน

สำหรับตระกูลเล็กๆ บางแห่ง โอสถวิญญาณพันปีนับได้ว่าเป็นมรดกตกทอดภายในตระกูล รุ่นเยาว์ทั้งหลายมิอาจได้แตะต้องมันนอกจากจะได้รับการอนุญาตจากบุคคลสำคัญของตระกูลเสียก่อน

อัจฉริยะมากมายเองก็มิได้มีทักษะการบ่มเพาะในระดับมนุษย์ติดตัวแม้แต่ทักษะเดียว แม้ว่าตระกูลใหญ่บางส่วนจะไม่ได้ขาดแคลนซึ่งทักษะเหล่านี้ แต่มันก็ได้รับการถ่ายทอดเฉพาะศิษย์ชั้นในเท่านั้น เหล่าศิษย์สายนอกทั้งหลายทำได้เพียงพึ่งพาทรัพยากรที่จะได้รับเป็นรายเดือนเพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้ นั่นทำให้พวกเขาขาดแคลนทักษะบ่มเพาะดีๆ เป็นอย่างยิ่ง

ยุทธภัณฑ์วิญญาณระดับปฐพีและทักษะการบ่มเพาะระดับปฐพีนับได้ว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่ายิ่งของยอดฝีมือแดนปราณอาณาเขตม่วงทั้งหลาย ในระดับนี้ พวกเขาจะสามารถปลดปล่อยพลังของยุทธภัณฑ์ขั้นปฐพีออกมาได้ สำหรับผู้บ่มเพาะทั้งหลายที่เข้ามายังหอสวรรค์จุติล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่ง การเลื่อนขั้นเพื่อบรรลุไปยังแดนอาณาเขตม่วงนั้นเป็นเพียงเรื่องที่ต้องอาศัยระยะเวลาซึ่งมากพอก็เท่านั้น

ผู้บ่มเพาะมากมายต่างเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความต้องการครอบครองสมบัติเช่นนี้ ทั่วทั้งหอสวรรค์จุติเริ่มทำการค้นหาตัวของหลินซวนในทันที

ความสามารถที่หลินซวนแสดงออกมาทำให้รุ่นเยาว์นับไม่ถ้วนอิจฉาริษยาเต็มหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีทักษะที่ทรงพลังมากมาย

ตราบเท่าที่สามารถสังหารหลินซวนได้และใช้ดวงวิญญาณของเขาเพื่อค้นหาทักษะเหล่านั้น ผู้ที่สังหารเขาได้อาจกลายเป็นอัจฉริยะเช่นหลินซวนคนที่สองก็เป็นไปได้

ทางด้านหลินซวนและเสี่ยวหวงที่หลบหนีได้สำเร็จ พวกเขามิได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้แม้แต่น้อย พวกเขาเดินทางภายใต้พระจันทร์เสี้ยวสองดวง และเป็นหลินซวนในทักษะเนตรของตนเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมรอบด้านโดนไม่ลดการป้องกันตัวลงแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว

บาดแผลที่เขาได้รับจากค่ายกลสี่สัตว์เทวะนั้นค่อนข้างหนักหนาเอาการ เขาไม่สามารถจะใช้วิชาตัวเบาได้ออกมาได้ ไม่เช่นนั้นจะทำให้บาดแผลที่ได้รับมาย่ำแย่ลง เขาจึงทำได้เพียงเดินเท้าบนพื้นดินเท่านั้น

“หากว่าเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวแล้ว ข้าจะทุบตีพวกมันเสียจนบิดามารดาของพวกมันจดจำบุตรหลานของตนเองไม่ได้” หวงหาวนำเอาผลไม้วิญญาณออกมาและยัดมันเข้าปากพลางพูดประโยคนั้นอย่างองอาจ

“พวกมันจะต้องชดใช้ให้เราอย่างแน่นอน”

“หลังจากเวลาผ่านไปไม่กี่วัน บาดแผลเหล่านี้จะสามารถฟื้นฟูได้ และเมื่อถึงเวลานั้น พวกเราจะตามล่าสังหารพวกมันให้หมดสิ้น” หลินซวนเอ่ยด้วยสายตาแหลมคม

ในชั้นนี้ของหอสวรรค์จุติ มีจิตสังหารของเหล่าอสูรมากมายที่แผ่ออกมาอยู่ทั่วทุกพื้นที่ ค่ำคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เหล่าอสูรทั้งหลายต่างเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน พวกเขาทั้งสองไม่อาจจะเดินหน้าต่อไปได้ จึงเลือกจะจับอสูรไก่สองตัวและค้นหาถ้ำที่ถูกทิ้งร้างไว้เพื่อทำอาหารและพักผ่อน

ด้วยกลัวว่ากลิ่นของอาหารจะดึงดูดอสูรตนอื่นๆ เข้ามาใกล้ หลินซวนจึงเลือกจะกางค่ายกลด้านนอกของถ้ำเพื่อมิให้มีสิ่งใดเล็ดลอดออกจากถ้ำแห่งนี้

“หอมอบอวลยิ่งนัก” หลินซวนน้ำลายไหลหยด ตั้งแต่ที่เขาได้ลองชิมรสชาติของอาหารซึ่งเสี่ยวหวงเป็นคนทำให้ในแดนรกร้าง เขาก็จดจำความยอดเยี่ยมของมันได้เสมอมา หลังจากผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ในที่สุดเขาก็ได้กินไก่ย่างฝีมือเสี่ยวหวงอีกครั้ง

ถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวนของอาหาร มองเห็นน้ำมันจากเนื้อไก่เปรอะเปื้อนบนใบหน้าอีกฝ่าย พวกเขาทั้งคู่อดมิได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น

หากมีผู้ใดรู้ว่าหลินซวนและหวงหาวมิได้หลบหนีหัวซุกหัวซุนและยังมีอารมณ์มานั่งกินไก่ย่างอย่างมีความสุขเช่นนี้ ผู้บ่มเพาะทั้งหลายคงนับถือพวกเขาจากใจจริง

พวกเขาบ้าบิ่นยิ่งนัก ถึงขั้นมิได้มองว่าผู้บ่มเพาะนับพันเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจแม้แต่น้อย

ทันใดนั้นเอง หลินซวนที่กำลังแทะน่องไก่อยู่ก็ขว้างเนื้อในมือออกไปและคว้าคอของเสี่ยวหวงถอยออกมาอย่างรวดเร็ว

พลังปราณบดขยี้ถ้ำแห่งนั้นจนพังทลาย คลื่นอากาศพัดออกไปรอบทาง

หากเขาทั้งสองไม่สามารถหลบออกมาได้ทันเวลา คงตกตายลงไปเสียแล้ว

ที่ซึ่งหลินซวนและเสี่ยวหวงเคยอยู่ก่อนหน้า ปรากฏร่างของพยัคฆ์ปฐพีซึ่งมีปีกข้างลำตัวแทนที่

พยัคฆ์ปฐพีตนนี้ราวกับได้รับความรักจากสรวงสวรรค์มาอย่างเต็มเปี่ยม ปีกทั้งคู่ของมันกว้างใหญ่จนคล้ายบดบังผืนฟ้าได้ พรสวรรค์ที่มันสืบทอดมาจากบรรพบุรุษทำให้มันสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระใต้ดิน และทำให้ความเร็วของมันมากมายยิ่งนัก มันปลดปล่อยกลิ่นอายอันหนักอึ้งออกมาทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกได้ถึงความกดดัน

ในยามที่หลินซวนพบเจอถ้ำแห่งนี้ มันไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ภายในและเต็มไปด้วยชั้นฝุ่นหนา เขาจึงคิดว่ามันคงเป็นเพียงถ้ำที่ว่างเปล่าเท่านั้น ไหนเลยจะพบความจริงว่ามีอสูรอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้

เมื่อสังเกตเห็นร่องรอยแผลเป็นบนร่างของพยัคฆ์ตนนั้น ก็สามารถบอกได้ว่ามันเองต่อสู้กับอสูรปีศาจตนอื่นๆ มาเป็นระยะเวลาเนิ่นนาน และเพิ่งจะรักษาตัวให้หายดีได้เร็วนี้ๆ เท่านั้น

เมื่อเห็นว่าถ้ำของมันมีผู้อื่นบุกรุกเข้ามา จึงทำให้มันเกรี้ยวกราดเช่นที่เห็น

ในตอนที่พยัคฆ์ปฐพีค้นพบหลินซวนและเสี่ยวหวง มันคำรามลั่นและสะบัดปีกตบเข้าใส่หลินซวนเต็มแรง

“ไสหัวไป!”

นิ้วทั้งห้าของหลินซวนกำแน่นก่อนจะกลายเป็นหมัดที่เต็มไปด้วยปราณวิญญาณอันน่าสะพรึงกลัว เตรียมจะสังหารอสูรตรงหน้าในกำปั้นเดียว

เขาที่ยังคงบาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้าไม่อาจจะปะทะกับสิ่งใดเป็นเวลานานได้ ไม่เช่นนั้นแล้วนอกจากบาดแผลจะฉีกขาดมากกว่าเดิม นั่นยังดึงดูดให้เหล่าคนที่ไล่ล่าเขาอยู่พบเจออีกด้วย แม้ว่าหลินซวนจะไม่ได้เกรงกลัวผู้ใด ก็มิได้หมายความว่าเขาจะอยากเสี่ยงชีวิตตนเองในตอนนี้

ในหอคอยชั้นนี้ พยัคฆ์ปฐพีที่อาศัยอยู่มาเนิ่นนานมีจิตสัมผัสแหลมคม เมื่อมันสัมผัสได้ถึงความน่าหวั่นเกรงของหลินซวน มันจึงคำรามออกมาก่อนบินขึ้นสู่เบื้องบนทันที มันสะบัดปีกสร้างคลื่นอากาศออกมา ทำให้ต้นไม้โดยรอบถ้ำแห่งนั้นหักโค่น กระทั่งผืนดินยังสั่นไหว

หลินซวนม่านตาหดแคบ พยัคฆ์ปฐพีตนนี้เป็นอสูรระดับอาณาเขตม่วง นี่นับว่าเป็นปัญหาเสียแล้ว

เขาคิดว่าในหอสวรรค์จุติมีเพียงสัตว์อสูรระดับหมุนวนทะเลปราณขั้นสูงสุดเท่านั้น ทว่าบัดนี้ กลับมีอสูรปีศาจระดับอาณาเขตม่วงปรากฏตัวขึ้น หากว่าเขาอยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อม หลินซวนคงมิได้กังวลนัก แต่อย่างไรก็ดี หากเขาเข้าปะทะกับมันจะต้องก่อให้เกิดผลกระทบที่ดึงดูดศัตรูเข้ามาใกล้อย่างแน่นอน

“เสี่ยวหวง ร่วมมือกับและรีบจบศึกนี้โดยเร็วเถอะ!”

หลินซวนหันกลับไปมองเสี่ยวหวง และเด็กน้อยผู้นั้นก็ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้สำคัญเพียงใด เขาโยนไก่ย่างในมือและเริ่มช่วยหลินซวนโจมตีฝ่ายตรงข้ามในทันที

………………..

ในตอนที่ข่าวของรางวัลถูกประกาศออกไปก็มีรุ่นเยาว์สองคนที่มีพลังปราณในระดับหมุนวนทะเลปราณได้รับรู้เรื่องนี้เช่นกัน และพวกมันอดไม่ได้ที่จะหัวใจสั่นไหวด้วยความต้องการ ทำให้พวกมันใช้เวลาทั้งคืนในการค้นหาตัวของหลินซวน

“นายน้อยเทียน แม้ว่าตระกูลมู่หรงจะมิได้ทรงพลังเช่นตระกูลหยิง แต่ทรัพย์สมบัติของตระกูลท่านก็มิได้ขาดแคลนมิใช่หรือ? เหตุใดท่านยังเลือกจะไล่ตามหลินซวนผู้นั้น?” ผู้ที่เอ่ยประโยคนี้เป็นอัจฉริยะผู้หนึ่งซึ่งถูกเชื้อเชิญมาให้ช่วยค้นหาหลินซวนด้วยตัวของหยิงเจาเอง และมันก็บังเอิญเจอกับมู่หรงเทียนแห่งตระกูลมู่หรงโดยบังเอิญ หลังจากรู้ว่าเป้าหมายของพวกมันคือสิ่งเดียวกัน พวกมันจึงตัดสินใจจะออกเดินทางไปพร้อมกันเช่นนี้

มู่หรงเทียนมองไปยังฝ่ายตรงข้ามพลางถอนหายใจ

“กล่าวตามตรง บรรพบุรุษตระกูลมู่หรงของข้าบาดเจ็บสาหัสจนถึงจุดวิกฤติ มีเพียงโอสถวิญญาณของตระกูลหยิงเท่านั้นที่ช่วยท่านได้ พวกเราไปเอ่ยปากขอร้องกับตระกูลหยิงอยู่หลายครั้ง ทว่าตระกูลหยิงกลับเมินเฉยพวกเราเสียอย่างนั้น”

“ทว่าหยิงเจาผู้นั้นเป็นที่รักของบรรพบุรุษตระกูลหยิงนัก ไม่แน่ว่าหากอาศัยโอกาสนี้ในการขอโอสถที่ต้องการ ข้าอาจจะกระทำได้สำเร็จและช่วยบรรพบุรุษของข้าได้”

ประโยคนี้ของมันเปิดเผยความสิ้นหวังออกมาอย่างเต็มเปี่ยม

ตระกูลใหญ่เช่นตระกูลมู่หรงที่ดูทรงอำนาจ หากเสาหลักของตระกูลตกตายลง ตระกูลอื่นๆ ที่คอยเฝ้าจับตาดูอยู่จะต้องรีบเข้ามาแย่งชิงและจัดการทรัพย์สมบัติทุกอย่างของตระกูลมู่หรงจนหมดสิ้นในชั่วข้ามคืนอย่างแน่นอน

อีกคนพยักหน้ารับ วงแหวนในมือของมันเปล่งแสงขึ้นมาอย่างกะทันหัน

นี่ดึงดูดความสนใจของพวกมันทั้งคู่ในทันที

“ดูเหมือนว่าหลินซวนผู้นั้นจะอยู่ไม่ไกล รีบไปดูกันเถิด อย่าปล่อยให้มันหลบหนีไปได้”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด