ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 10 จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ (Beginning of the Great Revolution)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 12 อนุสัญญาสมาพันธ์ (Confederation Convention)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 11 ระดมกำลังกองทัพภาคพื้นทวีป (Mobilization of Continental Army)


ระดมกำลังกองทัพภาคพื้นทวีป

(Mobilization of Continental Army)

ชาวบ้านติดอาวุธหรือจะสู้ทหารประจำการที่ชำนาญศึก นั้นจึงเป็นเหตุผลที่สภาอาณานิคมได้ลงมติในการจัดตั้ง กองทัพประจำการ ที่ไม่ใช่อาสาชาวบ้านขึ้นมา กองทัพที่มาจาก 11 อาณานิคม นำโดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุดไม่ใช่ใครที่ไหนไกล ดักลาส แมริแลนด์

ป้อมคอร์ด อดีตค่ายทหารของพวกสหจักรวรรดิลีโอเนีย บัดนี้ได้กลายมาเป็นค่ายฝึกทหารให้กับอาสาชาวอาริกาเซีย ผู้ที่ต้องการสมัครเข้ากองทัพเพื่อปกป้องดินแดนบ้านเกิด หลังจากที่มีการประกาศชาวอาริกาเซียผู้รักชาติจำนวนมากก็มุ่งตรงสู่อาคารรับสมัครกันอย่างล้นหลาม

แน่นอนว่าหากจะให้ทุกคนเดินทางมายังโฟลิโอเพื่อทำการฝึกนั้นคงเป็นไปไม่ได้ การตั้งค่ายๆฝึกแยกตามรัฐอาณานิคมนั้นจึงเป็นสิ่งที่ต้องทำ ค่ายฝึกทหารผุดเกิดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทุกรัฐอาณานิคมจะต้องมีค่ายทหารที่ใช้สำหรับการฝึกอยู่ 1 แห่ง

อย่างไรก็ตามจำนวนคนที่มาสมัครเข้ากองทัพก็มีจำนวนที่มากเกินกว่าที่ผู้ฝึกสอนจะมีให้พอ แม้ว่าการที่อาริกาเซียจะมีชายและหญิงอยู่ในกองทัพเป็นเรื่องปกติ แต่ในบางครั้งก็จะมีปัญหาเรื่องเพศอยู่ให้เห็นอยู่ตลอด มีการเรียกร้องให้กองทัพรับแต่ผู้ชาย แต่ลาสเลือกที่จะปัดทิ้งไป ลาสเลือกที่จะสร้างกฎสำหรับทั้งสองเพศ

ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย การข่มขืนบังคับขู่เข็ญถือเป็นโทษสูงสุด แน่นอนว่ากฎนั้นเป็นเรื่องที่บางครั้ง เราเองไม่สามารถตรวจสอบได้ ลาสจึงเลือกใช้สองวิธี หาเชือดไก่ให้ลิงดูไม่สะทกสะท้านพวกเขา ลาสก็เลือกที่จะเป่าหูและสร้างแรงกระตุ้น แม้ว่าลาสจะไม่ใช่ทหาร แต่เขาก็เป็นนักการเมือง โฆษณาชวนเชื่อคือสิ่งที่ลาสใช้ ค่อยๆเป่าหูให้มันฝังลึกลงไปในสมอง

ในยุคสงครามและความป่าเถื่อนเป็นเรื่องปกติ ลาสต้องแสดงความสามารถในการเปลี่ยนความคิดของผู้คน โดยใช้สิ่งที่เรียกว่าจิตวิทยาเข้าช่วยปลูกฝังพวกเขา

ดักลาสเลือกรับสมัครทหารทุกเพศทุกเผ่าพันธุ์ ไม่ใช่เพียงเพราะความต้องการของลาส แต่เป็นความจริงที่ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ ความจริงที่ว่า ประชากรของลีโอเนียจากข้อมูลที่ลาสหามาได้ ก็มีราวๆ 36 ล้าน ในขณะที่ข้อมูลประชากรในอาริกาเซียแม้ว่าจะรวมกับผู้ย้ายถิ่นแล้วมีเพียงแค่ 10 ล้านกว่าๆเท่านั้น

กำลังพลของสหจักรวรรดินั้นมีมากกว่าอาริกาเซีย 5/1 อย่าพูดถึงกองเรือ อาริกาเซียมีเพียงแค่เรือพาณิชย์ เรือรบก็คงมีเรือที่ขโมยมา ถ้าจะให้ต่อเรือลำใหม่ก็คงไม่พ้นลูกปืนของสิงโตแดนเหนือเป็นแน่ เทคโนโลยีที่แตกต่างห่างชั้น ความหวังที่จะสู้กับลีโอเนียแทบจะไม่เห็นแสง เช่นนั้นพวกเขาต้องการทุกคนที่พร้อมจะสู้ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเพศใดก็ตาม

การจัดตั้งการฝึกสอนให้กับทหารหน้าใหม่นั้นยุ่งยากสำหรับชายผู้ซึ่งไม่เคยเป็นทหารมาก่อน ลาสมีเพียงแค่ประสบการณ์โดยตรงจากโลกแห่งนี้ และข้อมูลที่เคยฟังจากเพื่อนที่อยู่ในกองทัพ ความรู้พื้นฐานในการฝึกสมัยใหม่ เขาก็ไม่ได้มีความรู้ลึกแต่อย่างใด

เหล่าอดีตทหารอาสาบอสตันและกองกำลังอาสาอาณานิคมได้รับการอวยยศกันอย่างรวดเร็ว เพื่อมาแทนที่จำนวนทหารใหม่ที่เข้ามาด้วยจำนวนที่มากมาย ไม่มีผู้ใดในสภาหรือแม้แต่ตัวลาสเองจะคิดว่ากองทัพอาริกาเซียจะมีจำนวนเกินหมื่นคน

มีผู้เข้าร่วมกองทัพอาริกาเซียมากว่าหนึ่งแสนคน!

อาจจะต้องใช้เวลาฝึกเป็นเดือนหรืออาจจะเป็นปี แต่อย่างน้อยลาสก็รู้ว่าเขาต้องใช้เวลาที่มีให้เป็นประโยชน์ที่สุดเท่าที่จะทำได้

กองทัพภาคพื้นทวีป หากเป็นผู้ที่มาจากโลกเดียวกับลาสก็จะเข้าใจ มันคือกองทัพของอาณานิคมของประเทศอเมริกาในสงครามปฏิวัติอเมริกา ลาสได้รับแรงบันดาใจจากอเมริกา เรียกได้ว่าสถานะการของอาริกาเซียนั้นคล้ายครึ่งกับการปฏิวัติอเมริกาอย่างมาก ลาสเสนอชื่อกองทัพของอาริกาเซียให้กับเฟลิเซียเพื่อส่งไปยังสภา ที่กำลังถกเถียงกันอย่างไรสาระ

โชคดีที่เข้าข้างลาส เพราะหลายคนยอมรับชื่อของกองกำลังภาคพื้นทวีป จนชื่อเรียกกองทัพ 11 รัฐอาริกาเซีย ถูกเปลี่ยนมาเป็น กองกำลังภาคพื้นทวีปแทน

11 รัฐแห่งอาริกาเซีย เป็นที่ข่าวคราวเรื่องเล่าที่มหาอำนาจบนอัลชลาฟไวส์จับตามองอยู่ห่างๆ การก่อกบฏของอาณานิคมเป็นเรื่องที่หาได้ยาก คงไม่แปลกนักที่หลายคนจะจับตามอง แน่นอนว่าสหจักรวรรดิก็ไม่เตรียมความพร้อมที่จะส่งกองทัพหลักไปยังทวีปใหม่เพื่อสอนสั่งชาวอาริกาเซีย

อาริกาเซียจำเป็นต้องเตรียมตัวกับพายุที่ใกล้เข้ามาในอีกไม่กี่เดือน แล้วอย่างนี้ดักลาสไปรู้เรื่องการบุกของลีโอได้อย่างไรกัน?

กลายเป็นว่า เหล่าผู้ต่อต้านมีอาวุธลับที่ลีโอเนียไม่สามารถที่จะทำตามได้…

เหล่าผู้เชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลงด้วยมือของตนเอง ผู้ที่ต้องการที่จะก้าวข้ามการปกครองแบบเดิม แสงไฟแห่งความหวังที่ส่องสว่างไปทั่วดินแดนที่มืดมิด พวกเขาเหล่านั้นกล้าที่จะอยู่กลางดงศัตรูศึกอย่างไม่เกรงกลัว แผนการที่ถูกเปิดเผยลุกลามออกจากสหจักรวรรดิมายังมือของอาริกาเซีย

พวกเขาคือสายลับและหน่วยสอดแนม กลุ่มคนที่คุณหญิงแอร์นาและเฟลิเซียเป็นผู้ก่อตั้ง รวมไปถึงดักลาสที่ชักชวนผู้คนที่แม้ว่าจะเป็นชาวลีโอก็ตาม แต่พวกเขานั้นมีความเชื่อในสิ่งที่ลาสได้เผยแพร่ออกมา

แน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแค่คนทั่วไปเท่านั้นที่อยู่ในหน่วยข่าวกรองแห่งนี้ ขุนนางลีโอ นายทหารชั้นสูง รวมไปถึงขุนนางบางคนที่อยู่ในสภาสูง แม้ว่าจำนวนของพวกเขาจะน้อย แต่หนูตัวเล็กที่อาศัยอยู่บนหลังของราชสีห์ได้นั้นสำคัญยิ่งกว่า

ผู้อาศัยในความมืดพวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีที่ควรค่าแก่การยกย่องสรรเสริญ ข้อมูลที่พวกเขาส่งมานั้น มันจะกลายมาเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำพาอาริกาเซียไปสู่อิสรภาพได้…

……

.

.

.

.

.

.

ศูนย์บัญชาการของกำลัง 11 รัฐแห่งอาริกาเซีย รัฐโฟลิโอ

อาคารบัญชาการตั้งอยู่ในรัฐโฟลิโอ ใกล้กับเมืองบอสตันไม่ไกลนัก มันเป็นพื้นที่สำหรับผู้บัญชาการของกองกำลังที่พึ่งเกิด เป็นอาคารชั้นเดียวรูปร่างคล้ายกับศาลากลางของเมืองบอสตัน เพียงแค่รอบข้างมีแต่สนามฝึก หากมองดูใกล้ๆ ตัวอาคารก็สร้างเสร็จแล้ว แต่หากเดินถอยออกมาก็จะพบเห็นแต่สิ่งก่อสร้างที่ยังไม่เสร็จ

ชายหนุ่มผู้มีสีผมขี้เถ้าเหมือนคนชราวัย ในตาสีฟ้าอมเขียวที่มาพร้อมกับขอบตาดำเหมือนคนไม่ได้นอนมาหลายวัน  เขาคือดักลาส ผู้นั่งอยู่ในที่ทำงานส่วนตัวอันใหม่ของเขาพร้อมด้วยกองเอกสารที่มากมาย อย่างน้อยเอกสารตรงหน้าก็ดีกว่าต้องอาบแดดกลางสนามฝึกซ่อม

ประตูห้องเปิดออก หัวหน้าแม่บ้าน หญิงวัยชราอมนุษย์เผ่าแมวเดินเข้ามาในห้องของลาสโดยที่ไม่ต้องเคาะประตู ลาสไม่สนใจว่าใครจะเข้ามาข้างในห้องของเขา เพราะอย่างไรก็ตามสิ่งที่ขัดจังหวะลาสได้ก็มีแค่ข่าวสารจากสายลับเท่านั้น

“เครื่องดื่มเจ้าค่ะ” หัวหน้าแม่บ้านถือถาดไม้พร้อมกับแก้วดื่มที่หรูหรา แน่นอนว่าลาสเลยกล่าวสั่งว่าไม่ต้องใช้ แต่หัวหน้าแม่บ้านก็ยังคงเลือกใช้แก้วเสิร์ฟนํ้า แต่มันจะดีกว่านี้ถ้านํ้าที่ว่าไม่ใช่กาแฟดำ…

ใครเขาดื่มกาแฟในแก้วไวน์ ถ้าจะมีจริงก็คงเป็นพวกที่หาได้ยากเป็นแน่?

“ขอบคุณ” ลาสกล่าวก่อนหยิบมันขึ้นมาดื่ม เขาใช้เงินซื้อกาแฟมาจากพ่อค้าอาซิค(Açık) จุดกำเนิดของมันมาจากพืชพื้นเมืองบนโอเอซิสแห่งอาซิก นามว่า กูจูล (Gujoul) ไม่ค่อยที่เป็นที่นิยมมากนักในหมู่ชาวอัลชลาฟไวส์ เว้นไว้แต่บางคนอย่างเช่นชายหนุ่มหน้าหวานผู้นี้…

“กองพลที่ 1 ตามคำสั่งของข้า!!” เสียงตะโกนดังจากข้างนอกอาคาร มันดังจนลาสที่กำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ในห้องทำงานส่วนตัวของเขา ต้องลุกขึ้นมามองผ่านหน้าต่างเพื่อตรวจสอบดู ผู้บัญชาการสูงสุดดักลาสมองไปยังแถวที่ยาวเหยียดของกองทหาร

ค่ายที่ลาสอยู่ในขณะนี้ เป็นค่ายฝึกกองพลที่ 1 และ 2 หรือเป็นจำนวน 20,000 ชีวิตกำลังฝึกอยู่รัฐโฟลิโอแห่งนี้

“ตั้งแถวตอนลึก ตามกรมทหารเท้าที่ 1”

ลาสก้มตัวลง ก่อนจะใช้ข้อศอกพิงกับริมหน้าต่างและชมมองทหารอาริกาเซียหน้าใหม่เตรียมจัดแถวจามคำสั่งของคนที่ลาสรู้จัก ปกติแล้วนายพลก็คงไม่สนใจใบหน้าของทหารใต้บังคับบัญชามากนัก แต่อย่างไรก็ตามผู้ฝึกสอนทหารหน้าใหม่ก็คือผู้ที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับลาสมาตั้งแต่ตน

“กองพลที่ 1 !! จัดแถว!!” สิ้นเสียงคำสั่งเหล่าทหารของกองพลที่หนึ่งก็แปรขบวนทัพเป็นคอลัมน์ที่ลาสเคยใช้ในศึกชนพื้มเมือง ความเร็วในการจัดแถวนั้นรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้นพวกเขาจะต้องฝึกชางบ้านให้กลายเป็นทหารประจำการให้ได้

“เตรียมออกเดินทาง กองพลที่ 1 เดิน ! หน้า !” เสียงตบเท้าของกองกำลังจำนวนมากกว่าหมื่นคนเดินกันอย่างพร้อมเพรียง เหลือไว้เพียงแค่กองพลที่ 2 ยังคงฝึกซ่อมอยู่ภายในค่ายฝึกแห่งนี้

นอกจากแผนป้องกันที่ลาสยังไม่สามารถที่คิดออกมาได้ เขายังต้องเดินทางไปตรวจสอบค่ายกองทัพในรัฐอื่นอีก การระดมกำลังจำนวนมาก มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินทุนและเวลาที่เยอะ นอกจากเรื่องนั้นแล้วการฝึกก็ยิ่งทำให้เสียเวลาไปอีก

ลาสได้แต่ถอนหายใจกับงานของตัวเอง การเป็นผู้บัญชาการสูงสุดในช่วงเวลาของสงครามนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ

ขณะที่มองกองพลที่ เดินทัพออกจากค่ายฝึก เสียงเรียกจากข้างหลังก็ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมอง ผู้มาใหม่เป็นผู้ช่วยของเขา ดักซ์

“ท่านนายพล” เขากล่าว “คิริลลอฟนา เฟิ่งต้องการติดต่อท่านครับ”

“ให้ตายสิยังจะมีเรื่องอะไรอีก” ลาสเดินออกห่างจากหน้าต่าง ก่อนจะวางแก้วลงที่โต๊ะ ก่อนจะบอกให้ดักซ์พาเธอเข้ามาในห้อง นั่งลงไปเก้าอี้ไม่นานหญิงสาวครึ่งมังกรก็เดินเข้ามาในห้องทำงานของลาส

“ยินดีต้อนรับ คุณเฟิ่ง มีเรื่องอะไรที่จะให้ผมช่วยหรือ?” ลาสถามเข้าประเด็น

“ท่านพอจะทราบเรื่องเด็กกำพร้าหรือไม่ ท่านนายพล…  ” เธอชะงัก “หากเป็นไปได้ เราไม่อยากจะให้พวกเด็กๆเข้ารวมกองทัพ พวกเขามีอนาคตที่ดีกว่าการเป็นนักรบ เพราะงั้นท่านช่วยปฏิเสธรับสมัครพวกเด็กๆจะได้ไหมคะ” หญิงสาวอ้อนวอนดักลาส

เธอรู้สึกได้ว่า เด็กกำพร้าที่เธอช่วยชีวิตเอาไว้ จะไม่ยอมอยู่เฉยและพยายามที่จะเข้ากองทัพเพื่อมาหาเธออย่างแน่นอน ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่อยากจะให้เด็กๆพวกนั้นต้องมาเจอกับความโหดร้ายของสงคราม

ลาสนั่งคิดอยู่ชั่วครู่ เขาไม่เคยบอกว่าจะรับเด็กมาเป็นทหารเสียหน่อย จริงอยู่ที่ว่าเหล่าเด็กๆจะได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมทหารในประวัติศาสตร์ของลาส ทั่วทั้งโลก เด็กหลายพันคนรับถูกสั่งให้สู้รบกับผู้ใหญ่ รับใช้ในกองกำลังของรัฐบาลและกลุ่มก่อการร้าย สู้ในแนวหน้าในภารกิจฆ่าตัวตาย หรือเป็นสาย ผู้ส่งสาร ผู้เฝ้าระวัง

“อย่าได้กังวลไป ผมไม่ทางที่จะให้เด็กๆออกมาสู้ศึกที่พวกเขาไม่ได้ก่อเด็ดคาด” ลาสกล่าวออกมาจากใจ

เพราะว่าตัวเขาเป็นผู้เชื่อมั่นในสิทธิมนุษยชนมาเสมอ

……

.

.

.

.

.

.

24 ตุลาคม ศักราชอองโทราลที่ 3925

ครึ่งเดือนให้หลังการรับสมัครทหารเข้ากองกำลังภาคพื้นทวีปหลังการจัดตั้งอย่างเป็นทางการโดยสภานิติบัญญัติ ก็ให้กำเนิด 2 กองทัพภาค (Field Army) จำนวนมากกว่าหนึ่งแสนคน เหล่าผู้รักชาติฝึกซ้อมเตรียมตัวกับการรุกรานของลีโอเนียกันอย่างขยันมั่นคง

การเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความหายนะ เมื่อเจอกับสหจักรวรรดิ การฝึกนั้นถูกเปลี่ยนไปจากการฝึกทหารอาสาเมืองบอสตัน ผู้บัญชาการสูงสุด ดักลาส ได้ปฏิรูปปรับเปลี่ยนการฝึกให้ทันสมัยยิ่งขึ้น เหล่านายทหารยศสูงล้วนเป็นคนที่มีประสบการณ์ ความรู้ที่ได้มาจากลีโอเนีย กองกำลังภาคพื้นทวีปจึงได้แปลงโฉมชาวบ้านติดอาวุธให้กลายเป็นทหารประจำการที่ทุกคนภูมิใจ

ข้อมูลจากสายในลีโอถูกส่งตรงมายังกลุ่มต่อต้าน พวกเขามีเวลาเพิ่มไปอีกหลายเดือนกว่าจะจบหน้าหนาวเดือนมีนาคม ศัตรูในครั้งหาใช่ชนพื้นเมืองที่ล้าหลังไม่ แต่เป็นพวกเขาที่ล้าหลัง เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะต้องดึงประสิทธิภาพออกมาให้ได้มากที่สุด

ในขณะที่ผู้ฝึกต้องทำงานนานขึ้น ดักลาสก็ต้องทำการเขียนกฎหมาย บทความแนวคิด และการจัดตั้งชาติโดยส่งผ่านเฟลิเซียที่เป็นผู้แทนรัฐโฟลิโอ อาริกาเซียกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ รัฐบาลพลเรือนถูกริเริ่มขึ้นบนทวีปแห่งนี้ ลาสสูญเสียพลังงานในการสร้างโครงสร้างการปกครองรูปแบบใหม่บนอองโทราล

รวมไปถึงหนังสือเล่มที่สองเล่มที่จะทำให้ทุกคนต้องตกตะลึง หนังสือเล่มสีฟ้าเล่มหน้าด้านหน้าปกหน้าเขียนนำด้วยคำว่า “เรื่องสาธารณะ” และ หนังสือสีนํ้าตาลเข้มเขียนคำนำหน้าปกว่า “โซ่ตรวน” ลาสได้ส่งต่อความคิดของการปกครอง และ สิ่งสำคัญที่สุดที่อาจจะทำให้ลาสถูกมองว่าเป็นพวกหัวรุนแรงได้

ต้องขอบคุณเส้นสายของจิ้งจอกสาวไวท์ที่ทำให้ลาสสามารถพิมพ์ความรู้ออกมาได้รวดเร็วและทั่วถึง

แล่มแรกกล่าวถึง ระบบการปกครองและการปลดแอก แต่เล่มที่สองนั้นเป็นเรื่องที่แม้แต่ไวท์ยังต้องคิดนัก โซ่ตรวน งานเขียนที่ต้องการเลิกทาส หยุดการซื้อขายทาสและปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระเสรีชน สมกับเป็นดินแดนแห่งโอกาส ระบบทาสคือสิ่งที่ลาสเกลียดมาช้านาน ต่อให้เขาเลือกเส้นทางอื่น แต่เรื่องทาสเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มไม่สามารถยอมรับได้ มันเหมือนกับความขัดแย้งทางด้านวิธีชีวิตของลาสที่อาศัยอยู่ในยุคที่ไม่มีทาส แต่ในขณะเดียวกันอองโทราลอยู่ในยุคแห่งความวุ่นวายที่ทาสเป็นเรื่องปกติสามัญ


0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด