ตอนที่แล้วบทที่ 16: พี่หญิงสาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 18: พี่หญิงใหญ่กำลังมา

บทที่ 17: สาเหตุการตายของแม่


“ใครวะ?  ใครลอบเล่นงานข้าวะ?” ไอ้คนที่ตกม้าลุกขึ้นมาด้วยความโกรธพลางสาดสายตาอาฆาตไปรอบ ๆ หมายจะหาผู้กระทำผิด

แต่ใกล้ ๆ กับมันก็มีคนเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น  และไอ้คนผู้นั้นบัดนี้มันยังนอนอยู่บนพื้นอยู่เลยแถมเสื้อผ้ามันยังมีรอยรองเท้าประทับอยู่อย่างชัดเจน

“หยางเฟิง  เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า?  เจ้าลงไปคลุกขี้วัวได้อย่างไรกันรึ  ฮึ?” เสียงหยอกล้อจากไอ้ตัวผู้บนหลังม้าตัวอื่น ๆ ดังขึ้นตรงหน้า

พี่หญิงสามเองก็ขี่ม้ากลับมาแล้วพูดว่า “หยางเฟิง  จู่ ๆ เจ้าตกจากหลังม้าได้ยังไง?”

หยางเฟิงมองไปรอบ ๆ อย่างขุ่นเคืองและในที่สุดก็จ้องมองไปที่เย่เซิงอย่างอาฆาตแค้นแล้วกล่าวว่า “ไอ้สามัญชนชั้นต่ำนั่นมันคงทำให้ม้าของข้าตกใจ!”

มันยกง้างเท้าเตรียมตวัดเตะใส่เย่เซิงอีกครั้งเพื่อระบายแค้น

เพี้ยะ!

แส้ได้ฟาดลงตรงหน้ามันทำให้มันถึงกับต้องก้าวถอยหลัง

“เย่หลินเอ๋อร์  เจ้าทำอะไร?” ไอ้หยางเฟิงถามอย่างไม่พอใจ

พี่หญิงสามเย่หลินเอ๋อลงจากหลังม้าและเดินเข้ามาใกล้ ๆ เย่เซิงเพื่อดูให้ชัด ๆ “นี่ดูเหมือนน้องสิบสองของข้า  มันมาทำอะไรที่นี่กัน?”

ลูกหลานขุนนางคนอื่น ๆ ต่างก็ประหลาดใจ “น้องสิบสอง?  หนึ่งในลูกชายเย่หวางเหย่?”

“ในเมื่อเป็นคนจากหวางฝู่ตระกูลเย่แล้วทำไมถึงแต่งตัวซ่อมซ่อเช่นนี้?”

“แถมพลังก็อ่อนแอ  ดูก็รู้แล้วว่าไม่ได้เป็นจอมยุทธ์  เจ้าจะบอกว่าในหวางฝู่ตระกูลเย่ยังมีเด็กที่ไม่ได้เรียนวรยุทธ์อยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?” หยางเฟิงถามอย่างสงสัย

เย่หลินเอ๋อจ้องมองมันแล้วตอบว่า “แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกชอบอ้างเอาใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นน้องชายของตนหรือไม่?  พ่อข้าไม่ค่อยชอบมันทำให้ไม่มีใครให้ความสำคัญกับมันเลย  แต่มันก็ยังคงเป็นน้องชายข้าอยู่ดี  แล้วรอยเท้านี่มันมายังไง?” เย่หลินเอ๋อชี้ไปที่รอยเท้าอันเด่นชัดที่หน้าอกของเย่เซิงแล้วถามออกมา

ไอ้หยางเฟิงก็เย้ยหยันอย่างเย็นชาและไม่ยอมรับความผิด “ฮึ!  แล้วข้าจะไปรู้กับมันเรอะ?”

เย่หลินเอ๋อเห็นหน้าไอ้หยางเฟิงที่เลอะขี้วัวไปหมดแล้วรู้สึกรังเกียจสุด ๆ เลยโบกมือไล่ “ช่างมัน ๆ เจ้าน่ะกลับไปอาบน้ำดีกว่า  ส่วนน้องชายข้าเดี๋ยวข้าพามันกลับบ้านเอง”

ด้วยเหตุนี้เย่หลินเอ๋อจึงดึงเย่เซิงขึ้นจากพื้นแล้วเหวี่ยงเขาขึ้นบนหลังม้าของนางแล้วควบม้าจากไปพร้อม ๆ กับลูกขุนนางตัวอื่น

เหลือก็แต่ไอ้หยางเฟิงเท่านั้นที่ถูกทิ้งไว้กลางทาง  มันทำลายต้นไม้ไปหลายต้นด้วยความโกรธก่อนจะเดินกลับบ้านอย่างเงียบ ๆ

เย่เซิงที่นอนบนหลังม้าหลับตาและหายใจอย่างแผ่ว ๆ เขานั้นได้ใช้วิชาสวมคราบอยู่เลยไม่มีใครที่จับพิรุธได้เลย

เนื่องจากมีคนอยู่บนหลังม้ามากกว่าหนึ่งคนเลยทำให้เย่หลินเอ๋อไม่ได้ควบเร็ว  นางปล่อยให้มันเดินตรงไปตามใจแล้วพูดคุยกับพวกลูกขุนนางทั้งหลาย

“เย่หวางเหย่กลับบ้านแล้ว  เพราะงั้นหลินเอ๋อเอ๋ย  ข้าว่าเจ้าต้องโดนดุอีกครั้งแน่ ๆ” หนึ่งในนั้นล้อเลียนโดยแทงใจดำเย่หลินเอ๋อเข้าเต็ม ๆ

“ฮึ!  ใครสนเล่า?  อย่างมากข้าก็แค่โดนดุ  ข้ามีท่านแม่กับท่านย่าคอนหนุนหลังอยู่มีอะไรต้องกลัว” เย่หลินเอ๋อตอบอย่างเย้ยหยัน

“โดนตำหนิก็เป็นเรื่องธรรมดา  ในหมู่พวกเรามีใครบ้างที่ไม่เคยโดน?  ทุกคนในเซียนหยางบอกว่าพวกเราเป็นพวกไร้ประโยชน์กลุ่มหนึ่งที่ทำให้บรรพบุรุษต้องอับอาย  แต่ใครจะสนเล่า?  แค่เรามีความสุขก็พอแล้ว” ชายหนุ่มอีกคนพูดอย่างเย็นชา

“ถูกต้อง  ในโลกนี้มีแต่ความทุกข์ยากอยู่มากมาย  แล้วยังไงเล่า?  พวกเราเกิดมารวย  ท่านพญายมส่งเรามาเกิดในครอบครัวที่แสนวิเศษขนาดนี้  ถ้าเราไม่เพลิดเพลินให้เต็มที่ก็คงทำให้ท่านต้องผิดหวังแล้วไม่ไช่หรือไร?” ชายร่างท้วมเล็กน้อยกล่าว

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ!  หลินเจี๋ยพูดถูก  ข้าเกิดมาดีกว่าผู้คนอื่น ๆ ถึงเก้าสิบในร้อยคน  แล้วข้าจะลงไปทำงานหนักให้มันได้อะไรเล่า?  ไปใช้ชีวิตให้สนุกไร้กังวลยังจะดีซะกว่า”

“ถูกต้อง ๆ เกิดเป็นชนชั้นสูงแต่ยังต้องการทำงานอย่างหนัก  หัวคงไปโดนลาเตะมาล่ะสิถึงได้เป็นแบบนั้น  ไม่รู้จักใช้ชีวิตเอาซะเลยจริง ๆ การฝึกวรยุทธ์เป็นสิ่งสำคัญก็จริงอยู่  แต่ด้วยทรัพยากรที่มากมายเกินพอถึงขนาดนั้นเราสามารถเป็นระดับเซียนเทียน (ก่อนฟ้า) ได้อยู่แล้ว  เมื่อถึงตอนนั้นอายุขัยเราก็เพิ่มเป็นร้อยปี  พอรับมรดกจากครอบครัวแล้วก็ไปใช้ชีวิตสบาย ๆ ตามใจชอบ”

การสนทนาของลูกหลานขุนนางพวกนี้นั้นช่างโอ้อวดและไร้การควบคุมตัวเอง

“พวกเจ้าทุกคนแค่อยากกินดื่มและรอวันตาย  แต่ข้าต้องการฝึกฝนวรยุทธ์และกลายเป็นเซียนในอนาคต” เย่หลินเอ๋อกล่าวอย่างไม่มีความสุข

“ฝึกวรยุทธ์จนกลายเป็นเซียน?  เย่หลินเอ๋อเอ๊ย  เจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าเจ้าหวังมากเกินไป?  เย่หวางเหย่พ่อเจ้าอาจเป็นเซียนอันดับหนึ่งในบรรดาสิบสองเซียนผู้ครองโลก  แต่เจ้าสิเหมือนไม่ได้รับสายเลือดพรสวรรค์ในการฝึกยุทธ์ใด ๆ จากพ่อเจ้ามาเลย” ไอ้อ้วนสาดน้ำเย็นใส่นางทันที

“หุบปาก!  ข้าพึ่งไปขอเป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านหนึ่งมาและท่านบอกว่าพรสวรรค์ข้าไม่เลว  เพียงแต่พ่อข้าไม่ได้สอนข้าอย่างเต็มที่ก็เท่านั้นเอง!” เย่หลินเอ๋อคำรามตอบกลับเนื่องจากความอับอายกลายเป็นความโกรธ

“อ๋อเหรอ?  แล้วอาจารย์คนใหม่ของเจ้าเป็นใครกันอีกล่ะหนอ~?” ลูกหลานขุนนางทุกคนหัวเราะเสียงดัง

เย่เซิงยังคงฟังการสนทนาของพวกมันอยูเงียบ ๆ และเป็นต้องกลั้นขำสุด ๆ อยู่เหมือนกัน  เนื่องจากช่วงเวลาหลายปีมานี้เย่หลินเอ๋อได้กลายเป็นศิษย์ของอาจารย์มากเกินไปแล้ว  นางมีอาจารย์มากมายแม้ยังไม่ถึงสามสิบแต่ก็ไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนแน่นอน

ทุกครั้งที่นางพบอาจารย์คนใหม่นางจะตื่นเต้นมาก  แต่นางก็ไม่สามารถอยู่กับอาจารย์คนนั้นได้นาน  ในที่สุดนายหญิงใหญ่ก็เลิกสนใจเรื่องนี้อีกและอนุญาตให้เย่หลินเอ๋อออกไปตามหาอาจารย์บ้าบออะไรของนางตามแต่ใจปรารถนา

เย่เซิงจะไม่ได้สนใจเรื่องในบ้านเลยก็ตาม  แต่ไอ้พวกคนใช้ที่ปากก็เอาแต่ซุบซิบนินทาเจ้านายไม่เว้นแต่ละวันก็ยังทำให้เขาเขาได้รู้เรื่องนี้อยู่ดี

“เชิญพวกเจ้าหัวเราะเยาะข้ากันไปเถอะ  ยังไงข้าก็ไม่อาจบอกถึงตัวตนของอาจารย์ได้  บอกได้แค่ว่าแซ่ไป๋  เป็นชายที่หล่อเหลาและสง่างามอีกทั้งยังมีความสามารถมากพอที่จะสอนข้าให้เป็นเซียนได้” เย่หลินเอ๋อพูด

เย่เซิงถึงกับตัวแข็งทื่อ ‘แซ่ไป๋  หล่อเหล่าและสง่างามแถมยังเก่งกาจขนาดสามารถสอนอีเย่หลินเอ๋อนี่ให้กลายเป็นเซียนได้?’

‘ทำไมฟังดูเหมือนสเปคของจิ้งจอกเซียนไป๋อวี้เถียนเลยวะ?  แต่ไป๋อวี้เถียนมีเรื่องบาดหมางกับเย่หวางเหย่อยู่ไม่ใช่เหรอ?  แล้วไปรับเย่หลินเอ๋อเป็นศิษย์เนี่ยนะ?’

“แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะยอมให้พวกเราทุกคนได้พบกับท่านเซียนไป๋ผู้ยิ่งใหญ่นี่เล่าฮึ?” หนึ่งในนั้นถาม

เย่หลินเอ๋อส่ายหัวตอบ “เจ้าลืมเรื่องนั้นไปได้เลย  คราวนี้ข้าจะปิดบังตัวตนของอาจารย์และจะไม่ปล่อยให้ใครค้นพบอย่างแน่นอน  มิฉะนั้นเดี๋ยวจะพาลไปรบกวนความสงบสุขของท่านเข้า”

“เอาล่ะ ๆ มาถึงประตูเมืองกันแล้ว  ยังไงข้าก็ไม่บอกพวกเจ้าหรอก  กลับบ้านกันเถอะ” เย่หลินเอ๋อโบกมือแล้วพูดอย่างเด็ดขาดก่อนจะเข้าไปในเมืองเซียนหยาง

...

เมื่อเข้าไปในหวางฝูตระกูลเย่  นายหญิงใหญ่รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เย่หลินเอ๋อกลับมา  แต่เมื่อนางสังเกตเห็นเย่เซิงที่นอนหมดสติก็ขมวดคิ้วและถามว่า “เจ้าไปเจอมันได้ยังไง?”

เย่หลินเอ๋อตอบอย่างใจเย็นว่า “ข้าพบเจอมันระหว่างทางกลับ  ไอ้หยางเฟิงนั่นดันไปเตะมันเข้าที่กลางอก  เนื่องจากมันเองก็เป็นคนตระกูลเย่ข้าจึงพามันกลับมาบ้านด้วย”

นายหญิงใหญ่พึมพำอย่างเย็นชาว่า “มันก็แค่ไอ้โง่ไร้ประโยชน์  ถูกเตะตายก็ปล่อยให้ตายไปสิ  เจ้าจะพามันกลับมาด้วยทำไม?”

เย่หลินเอ๋อตอบว่า “มันแค่หมดสติไป  ดังนั้นเรายังสามารถช่วยมันได้  แถมตอนนี้พ่อก็ยังอยู่ที่บ้านด้วย  แม้ไอ้หยางเฟิงมันจะงี่เง่าขนาดไหนก็ตาม  แต่เกิดมันต้องจบเห่เพราะเตะลูกชายคนหนึ่งของเย่หวางเหย่จนตายล่ะก็มันต้องโดนลงโทษเป็นแน่  ถึงข้าจะเกลียดมันแต่ตระกูลหยางของมันกลับให้การสนับสนุนพี่ใหญ่อยู่”

นายหญิงใหญ่ที่ได้ยินคำตอบก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรู้ความสามารถคิดได้ลึกซึ้งถึงขนาดนี้  เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ข้างนอกและด้วยการสนับสนุนจากตระกูลหยางเราจะสามารถปราบปรามพี่น้องคนอื่น ๆ ได้  ที่เจ้าทำนั้นถูกต้องแล้ว  ส่วนไอ้ขยะนี่ให้คนใช้ส่งมันกลับเรือนสุนัขนองมันไปเสีย  ขอแค่มันยังไม่ตายก็พอแล้ว”

“ท่านแม่จัดการไปเถอะ  ข้าจะไปหาท่านพ่อก่อน” เย่หลินเอ๋อตอบอย่างเฉยเมย

“งั้นก็ไปเถอะ  อย่าลืมพูดจาดี ๆ เอาอกเอาใจให้พ่อเจ้าชอบด้วย  อย่าได้เอาแต่ใจอีก” นายหญิงใหญ่กำชับ

“เจ้าค่ะ…” เย่หลินเอ๋อหันหลังและจากไป

ในที่สุดนายหญิงใหญ่ก็หันความสนใจไปที่เย่เซิง  ท่าทางที่นางแสดงออกดูห่างเหิน  ในดวงตาขุ่นมัวราวกับกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่

ทันใดนั้นนางก็ยื่นมือออกไปจับหน้าเย่เซิงแล้วพลิกซ้ายพลิกขวาพลางพูดเบา ๆ ว่า “หน้าเหมือนนังมารแม่มันจริง ๆ นังนั่งเก่งแต่ล่อลวงคนอื่น  ถ้าวันนั้นนังนั่นไม่เข้ามาในหวางฝูข้าคงไม่สูญเสียความโปรดปรานไปหรอก  แต่น่าเสียดายที่ชาติกำเนิดเจ้ามันน่าสมเพชสุดท้ายเลยต้องจบชีวิตเพราะคาถาขุยป้าย  จะเหลือก็แต่ไอ้ขยะชิ้นนี้ที่ต้องมีชีวิตบัดซบยิ่งกว่าสุนัข  ช่างทำให้ข้าอยากจะหัวเราะดัง ๆ ให้สาแก่ใจจริง ๆ”

หัวใจของเย่เซิงสั่นเทา ‘อาไรน้า~?  นี่แม่ตูโดนฆ่าตายงั้นเร้อออออ?’

“แต่อย่ากังวลไป  ข้าจะไม่ฆ่าลูกชายเจ้าหรอก  เพราะเมื่อเห็นหน้ามันทีไรข้าก็พาลต้องนึกถึงหน้าเจ้า  ลูกชายที่เลอค่าที่สุดของเจ้าต้องมีชีวิตอย่างไร้ศักดิ์ศรี  นั่นทำให้ข้ามีความสุขมากกว่าการฆ่ามันจริง ๆ และแน่นอนว่าข้าย่อมรู้เรื่องที่หูเหมยทำกับมัน  แต่ข้าก็ไม่หยุดนางหรอก  ข้าจะปล่อยให้นางลงมือทรมานลูกชายสุดที่รักของเจ้าต่อไปเรื่อย ๆ การมองดูมันโดนคนอื่นทรมานนี่ก็ช่างสาสมใจข้าเหลือเกิน~  แต่ที่น่าเสียดายก็คือเจ้าไม่น่าถูกฆ่าเลย  ทำให้ข้าอดฝึกวิชาของนิกายสังสารวัฏเหล่าพวกนั้น  เจ้าไม่ได้ส่งต่อให้ลูกชายบ้างเลยเหรอฮื้ม~?” อีนายหญิงใหญ่เดินไปรอบ ๆ เย่เซิงและมองดูเขาอย่างระมัดระวัง  มันตรวจสอบเขาแต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ ปราณของเย่เซิงยังคงอ่อนแอเกินไปไม่ต่างจากปุถุชนคนธรรมดา

“พวกเจ้ามาพาเย่เซิงกลับไปที่เรือนของมันเดี๋ยวนี้  แล้วเรียกหมอมาดูอาการให้มันด้วย  ข้าเป็นนายหญิงใหญ่ของบ้านนี้จึงไม่สามารถละเลยสุขภาพของลูก ๆ ของเย่หวางเหย่ได้” อีนังนายหญิงใหญ่ตะโกนเสียงดัง

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด