ตอนที่แล้วบทที่ 12: นายหญิงสาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14: รวมพลังหนึ่งร้อยเจ็ดคน

บทที่ 13: ทุ่ยไท้เจว๋


คืนนั้นเย่เซิงไม่ได้นอนหลับสบายนัก  ความคิดของเขาพลิกไปเปลี่ยนมา  แต่ในที่สุดเขาก็เข้าสู่โหมดการนั่งสมาธิฝึกฝน

เช้าวันรุ่งขึ้นเสียงนกร้องจิ๊บ ๆ ทำให้เย่เซิงตื่นขึ้น  เขาลืมตาขึ้นและเห็นว่าตัวเองยังคงอยู่ในห้องนอนเดิมจึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก  แต่ก็ยังหัวเราะเยาะตัวเองเบา ๆ เพราะไอ้ความกระวนกระวายใจของตัวเองนั้นดูโง่ฉิบหาย

ตั้งแต่ข้ามโลกมาเย่เซิงได้แต่ตึงเครียด  เขาไม่เคยได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่นิดเดียว  แม้จิตใจจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายังไงก็ตาม  แต่เขายังคงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอยู่เหมือนเดิม

เขาผลักประตูเปิดออกและได้เห็นทิวทัศน์ของภูเขาที่งดงามและสระน้ำที่แสงแดดส่องตกกระทบ  มันงดงามราวกับภาพวาด  เมื่อมองเข้าไปในป่าเขาเห็นว่ามีหญิงสาวชุดขาวที่พบเจอเมื่อวานกำลังรำเพลงกระบี่  กระบวนท่าของนางช่างสง่างาม  การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วริ้วไปตามสายลมอ่อน ๆ แต่สัมผัสได้ถึงความทรงพลังอย่างมหาศาล  และฟันก้อนหินขนาดใหญ่ขาดครึ่งอย่างง่ายดายเหมือนเอาคมมีดวางลงบนเต้าหู้

เย่เซิงตกตะลึง “เชรี่ย~  ไม่นึกเลยว่าอีปีศาจจิ้งจอกนั่นมันจะเก่งขนาดนี้”

เพลงกระบี่ที่สำแดงออกมานี้ยอดเยี่ยมกว่าทุก ๆ คนที่เย่เซิงเคยเห็น  ขนาดไอ้เย่ชิงที่ไม่ว่าใคร ๆ ต่างก็ยกยอปอปั้นว่าเป็นโคตรอัจฉริยะก็ยังไม่มีอะไรเทียบแม่นางจิ้งจอกตรงหน้านี้ได้เลยซักมิลลิเมตรเดียว

แน่นอนว่าระดับการฝึกฝนของนางต้องสูงกว่าไอ้เย่ชิงอยู่แล้ว  ไอ้เย่ชิงนั่นเป็นโฮ่วเทียนหกชั้นฟ้าแต่นางจิ้งจอกน่าจะเป็นโฮ่วเทียนขั้นสุดยอดไปแล้วมั้ง?

เมื่อคิดถึงได้ดังนี้เย่เซิงก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้  เมื่อคืนนี้ถ้านายหญิงสามมาไม่ทันล่ะก็เขาต้องตกตายชัวร์ ๆ เลย

“นี่!  เจ้าน่ะยืนดูอยู่ตั้งนานอย่าบอกนะว่าตกหลุมรักข้า!” เย่เซิงที่กำลังคิดนึกอะไรไปเรื่อยเปื่อยจู่ ๆ ก็ถูกเสียงของหลิงเอ๋อดึงกลับมา  นางเก็บกระบี่ลงแล้วเดินเข้ามาหาเขา  ใบหน้าของนางช่างงดงามจนน่าตกใจ  ขนาดหน้าสดยังงามขนาดนี้แล้วถ้าแต่หน้าดี ๆ ล่ะจะขนาดไหน  และใบหน้านั่นก็เข้ามาใกล้ ๆ กับเย่เซิง

เย่เซิงถอยกรูดไปด้านหลังหลายก้าวทันที “แม่นางหลิงเอ๋อ  เจ้าน่ะไม่ต่างจากนางฟ้านางสวรรค์  ส่วนข้านั้นเป็นเพียงปุถุชนคนธรรมดา  ข้าจะไปอาจเอื้อมได้อย่างไรกัน”

“ตามตำนานพื้นบ้าน  เหล่านางฟ้านางสวรรค์ก็มักจะแต่งงานกับปุถุชนคนธรรมดาอย่างเจ้าไม่ใช่หรือหืม~?” หลิงเอ๋อถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“หึ!  นั่นก็แค่ความเพ้อฝันของคนแต่งเท่านั้นแหล่ะ” เย่เซิงตอบหน้าตาเฉย

“หืม?  จริงด้วย  เพราะพวกตำนานเรื่องนางฟ้าลงมาแต่งงานกับหมาวัดทั้งหมดนั่นก็เขียนโดยพวกหมาวัดเองทั้งนั้นนี่เนอะ  ไม่เห็นจะมีตำนานที่เขียนเรื่องนางฟ้าแต่งานกับจอมยุทธ์หรือพ่อค้าให้เห็นเลยซักเรื่องเดียว  เห็นมีแต่มาลงเอยกับพวกคนธรรมดา ๆ ที่ไม่มีความเก่งกาจอะไรตรงไหน” หลิงเอ๋อพยักหน้าอย่างพอใจ

เย่เซิงถามว่า “แล้วแม่ชีล่ะไปไหนแล้ว”

“กำลังสวดมนต์อยู่ในห้องโถงใหญ่” หลิงเอ๋อตอบ

“แต่ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นพระพุทธรูปปางนั้นมาก่อนเลยล่ะ” เย่เซิงถามด้วยความสงสัย

หลิงเอ๋อเดินผ่านเย่เซิงทำให้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของนางโชยเข้ารูจมูกเขา “รูปปั้นในห้องโถงใหญ่นั่นไม่ใช่พระพุทธรูป  แต่เป็นพี่สามของเจ้าต่างหาก”

เย่เซิงมองไปที่หลิงเอ๋อด้วยความตกใจ “พี่สามของฆ่าตายไปแล้วนะ  แล้วที่นางทำแบบนั้นมัน...?”

หลิงเอ๋อพยักหน้า “ในลัทธิเต๋ามีวิชาธูปเทพยดาอยู่  ตราบใดที่ยังคงมีเศษเสี้ยววิญญาณหลงเหลืออยู่ล่ะก็  เมื่อสะสมบุญได้ถึงพร้อมจะสามารถหล่อหลอมชีวิตใหม่ขึ้นมาได้”

“งานใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้ธูปจำนวนมหาศาล  แล้วในป่าในเขาเช่นนี้จะไปมีธูปมากมายขนาดนั้นได้ยังไง?” เย่เซิงถาม

หลิงเอ๋อนั่งลงบนเก้าอี้ในลานกว้างก่อนจะถอนหายใจ “ใครบอกว่าจะทำแบบนั้นเล่า  เศษเสี้ยววิญญาณของพี่สามเจ้าอ่อนแอเกินไปจนไม่สามารถไปไกลจากเซียนหยางได้  แต่เซียนหยางก็ยังเป็นอาณาเขตของพ่อเจ้า  หากจุดธูปจำนวนมหาศาลขนาดนั้นที่นี่พ่อเจ้าต้องจับได้อย่างแน่นอน  ไหน่ไนจึงต้องสวดมนต์อ้อนวอนอย่างแรงกล้าไม่เว้นแต่ละวันเพื่ออุทิศบุญบำรุงเศษเสี้ยววิญญาณของพี่สามเจ้าให้แข็งแรงพอที่จะออกจากเซียนหยางได้  เพื่อที่จะได้ออกไปสะสมบุญของตนและทำพิธีจุดธูปยังสถานที่อื่น”

ในที่สุดเย่เซิงก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น  เขาพยักหน้า “ผ่านไปนานเป็นสิบปีแล้วนางยังทำไม่สำเร็จอีกเหรอ?”

“เราเกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว  ถ้าเจ้าไม่มาที่นี่ตัวข้ากับหลิงเอ๋อก็จะจากไปในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า  ตลอดเวลานับสิบปีในที่สุดวิญญาณของพี่สามเจ้าก็ทรงตัวได้แล้ว” แม่ชีกล่าวขณะที่เดินเข้ามาหาทั้งคู่

เย่เซิงและหลิงเอ๋อลุกขึ้นยืนทักทายนางทันที

ใบหน้าที่งดงามแบบผู้ใหญ่ของแม่ชียังคงสงบนิ่ง “หลิงเอ๋อไปเตรียมอาหารเช้าหน่อย”

หลิงเอ๋อพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและวิ่งออกไป

ลานบ้านโล่ง ๆ จึงเหลือเพียงเย่เซิงและแม่ชีเท่านั้น

“ในเมื่อเจ้าแอบเรียนวรยุทธ์อยู่ในหวางฝู่ตระกูลเย่ที่ซึ่งทุก ๆ คนต่างคิดร้ายต่อกัน  เจ้าจะไม่อาจปิดบังมันได้นานนักหรอก” แม่ชีกล่าว

สีหน้าของเย่เซิงหมองหม่น  เขากำลังเครียดเรื่องนี้อยู่เลย  โครงสร้างของหวางฝู่ตระกูลเย่นั้นซับซ้อนมากและมีจอมยุทธ์ที่มีฝีมือสูงส่งเฝ้าอยู่นับไม่ถ้วน  ก่อนจะได้มาที่นี่เขายังเป็นแค่โฮ่วเทียนหนึ่งชั้นฟ้า  ดังนั้นพลังปราณจึงยังน้อยนิดจนไม่อาจสังเกตเห็นได้  ตราบใดที่เขาไม่โคจรพลังปราณก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าเขากำลังเรียนรู้วรยุทธ์อยู่  แต่เมื่อระดับการฝึกฝนของเขาเพิ่มพูนสูงขึ้นคนอื่น ๆ แค่ชำเลืองผ่าน ๆ ก็ดูออกแล้วว่าเขาเป็นจอมยุทธ์คนหนึ่ง

“ขอท่านป้าช่วยชี้แนะด้วย” เย่เซิงพูดพลางยืนขึ้นและโค้งคำนับอย่างอย่างจริงใจ

“เจ้าเรียกข้าท่านป้าก็ดีเหมือนกัน  แม้ข้าจะไม่ได้สนิทสนมกับแม่เจ้านักแต่เราก็เป็นผู้ที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน  เราทั้งคู่ต่างเป็นเพียงผู้เดียวที่ยังเหลืออยู่หลังจากที่ครอบครัวถูกทำลาย  เราทั้งคู่ต่างก็ต่อสู้กันอยู่เพียงลำพัง  ข้าสูญเสียบุตรชายอันเป็นที่รักอย่างน่าอนาถ  ส่วนนางต้องเสียชีวิตไปตั้งแต่เจ้ายังเล็ก ๆ ข้ายอมให้เจ้าเรียกว่าท่านป้าก็ได้” แม่ชีถอนหายใจเบา ๆ

“นั่งลงเถอะ  ข้าจะสอนวิชาปกปิดแก่เจ้า  เมื่อเจ้าใช้แล้วตราบใดที่ไม่ใช่วิชาใด ๆ ออกมารับรองได้เลยว่าจะไม่มีใครในหวางฝู่ตระกูลเย่จับได้ว่าเจ้ารู้วรยุทธ์” แม่ชีกล่าวด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง

“ขอบคุณท่านป้ามากขอรับ” เย่เซิงกล่าวอย่างขอบคุณ

เปรี้ยง!

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในใจ  เนื่องจากแม่ชียื่นนิ้วชี้ออกมาแล้วแตะที่หว่างคิ้วของเย่เซิงคำให้คลื่นความรู้อันมหาศาลถาโถมเข้าสู่สมองของเขาโดยตรง  เย่เซิงถึงกับเซจนเกือบจะล้ม  แต่ที่ไม่ล้มเพราะเขาจับขอบโต๊ะพยุงตัวไว้ได้ทัน

“ทุ่ยไท้เจว๋!” (วิชาสวมคราบ)

เป็นวิชาที่สร้างคราบขึ้นมาปกคลุมกายหนึ่งชั้น  ซุกซ่อนร่างจริงไว้ใต้คราบนั่น  วิชานี้ไม่ใช่วรยุทธ์จู่โจม  แต่เป็นวิชาที่หลอกสัมผัสให้ผู้อื่นสับสน  เมื่อใช้วิชานี้ล่ะก็สามารถที่จะตบตาทุก ๆ คนในหวางฝู่ตระกูลเย่ได้  ตราบใดที่เย่เซิงไม่ใช้วิชาจู่โจมใด ๆ ออกมาต่อให้เป็นเย่หวางเหย่เองก็ยังจับพิรุธไม่ได้

แต่แน่นอนถ้าเย่หวางเหย่ใช้ปราณเข้าตรวจสอบร่างกายของเย่เซิงล่ะก็วิชานี้ก็ไม่อาจช่วยเหลือเขาได้อีก  แต่เย่เซิงก็แทบจะไม่เคยเห็นหน้าเย่หวางเหย่ด้วยซ้ำ  แล้วมีหรือเขาจะต้องกังวลว่าเรื่องแบบนั้นมันจะเกิดขึ้น?

“เจ้าอยู่ฝึกฝนที่นี่ต่ออีกสองสามวันเถอะ  มีเพียงไม่กี่คนในโลกที่รู้จักวิชาสวมคราบนี้  หากเจ้าฝึกฝนมันได้อย่างเชี่ยวชาญล่ะก็มันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าในอนาคตเป็นอย่างยิ่ง” แม่ชีบอก

“ขอบคุณท่านป้าที่เมตตาขอรับ” เย่เซิงโค้งคำนับด้วยความขอบคุณจากใจจริง

“ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก  ที่ข้าช่วยเหลือก็เพราะว่าอยากช่วย  เย่หวางเหย่อไม่อนุญาตให้เจ้าฝึกฝนวรยุทธ์  แต่ข้าจะทำให้ตนเองแน่ใจว่าเจ้าจะสามารถฝึกฝนได้สำเร็จและใช้ความจริงนั่นตบหน้าบัดซบของมันเสีย  เมื่อเจ้าได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้านเจ้าจะเป็นเหมือนกับมังกรที่หลุดพ้นจากพันธนาการ  ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ทำให้ใครในหวางฝู่ตระกูลเย่ผิดหวัง” แม่ชีกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชา

“เย่เซิงทราบแล้ว” เย่เซิงดูมุ่งมั่น  และตอนนี้เขาก็มั่นใจเรื่องอนาคตของตนเองมากขึ้นไปอีก

ตราบใดที่เขาสามารถออกจากบ้านได้เขาจะทะยานขึ้นที่สูงได้อย่างแน่นอน

“วิชาสวมคราบไม่ใช่วิชาที่ยาก  ในช่วงสองสามวันนี้ให้เจ้าดูว่าเข้าใจมันหรือไม่  หากไม่ข้าคงต้องใช้พลังกับเจ้าด้วยตนเอง  แต่การทำแบบนั้นมันจะบั่นทอนศักยภาพของเจ้าลง” แม่ชีกล่าว

เย่เซิงยิ้มอย่างมั่นใจและตอบว่า “ข้ามั่นใจว่าทำได้ขอรับ”

เขาอาจจะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์สูงส่ง  แต่ก็ช่างมันปะไร  ในตันเถียนของเขามีดาวโลกอยู่ทั้งดวงซึ่งมีประชากรสูงถึงหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคนช่วยเขาฝึกฝน  เขาจึงแน่ใจว่าจะต้องมีอัจฉริยะขั้นสุดยอดอยู่ในหมู่ขาวโลกหนึ่งพันสี่ร้อยล้านคนเหล่านี้อย่างแน่นอน

ทันใดนั้นหลิงเอ๋อก็มาพร้อมกับอาหารเช้า  เป็นข้าวต้มเคียงผักธรรมดา ๆ ไม่ได้หรูหรา  แต่เป็นอาหารที่น่าอบอุ่นหัวใจอย่างยิ่ง  เย่เซิงและหญิงงามทั้งสองคนกินข้าวเช้าระหว่างพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

หลังอาหารเช้า  เย่เซิงได้เดินเข้าไปในป่าและนั่งหลับตาลงบนหินก้อนใหญ่และเริ่มฝึกฝน

เขาเพ่งสมาธิไปที่ตันเถียนดาวโลก  จากนั้นเสียงเขาก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง

“ถ่ายทอดวิชา”

ด้วยคำพูดไม่กี่คำนี้ได้มีหินนับพันก้อนได้ตกลงมาบนพื้นโลกโดยมีวิชาสวมคราบสลักอยู่บนหินแต่ละก้อน

ในรอบนี้มีหลายคนรีบจดแล้ววิ่งกลับไปลองฝึกดู

หลังจากผ่านไปสองรอบ  สุดท้ายแล้วชาวโลกก็ไม่ใช่มือใหม่ในการฝึกฝนอีกต่อไป  วิชาสวมคราบไม่ถือว่ายาก  เมื่อเทียบกับผนึกสังสารวัฏแล้วถือว่าง่ายกว่ากันเยอะ

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด