ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 9 กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง (Reunion)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 11 ระดมกำลังกองทัพภาคพื้นทวีป (Mobilization of Continental Army)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 10 จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ (Beginning of the Great Revolution)


จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่

(Beginning of the Great Revolution)

ห้องประชุม เป็นห้องขนาดกลางที่อยู่ภายในตัวอาคารผู้นำเขาของเมืองบอสตัน มีการลงมติเสียงเพื่อทำการจัดตั้งกองกำลังอาณานิคมขึ้นโดยมีผู้บัญชาการสูงสุดเป็นดักลาส แมริแลนด์ เสียงในที่ประชุมนั้นเอียงไปทางการจัดตั้งกองทัพจำนวนมาก คะแนนเสียงในที่ประชุมนั้นทำให้ การจัดตั้งกองทัพเป็นไปด้วยแรงสนับสนุนอย่างลนลาน

11 รัฐอาณานิคมลงเสียงสนับสนุนเป็นเอกฉันท์ ซึ่งการประชุมนั้นก็ผ่านมาได้สองวันได้แล้ว

ปัจจุบันเป็นการประชุมได้ถูกจัดตั้งขึ้นอีกครั้งในสภานิติบัญญัติประจำจังหวัดเฉพาะกิจ และวันนี้เป็นวันที่ดักลาสรอมาเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็จะได้นำเสนอบทความของตัวเองในที่ประชุม ก่อนที่เขาจะไม่สามารถนั่งที่นั่งตัวผู้ช่วยผู้แทนรัฐโฟลิโอได้อีกจวบจนสงครามสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตามลาสก็ไม่สามารถที่จะพูดสิ่งที่ตัวเองอยากจะกล่าวออกมาได้ นั้นจึงเห็นเหตุที่ลาสต้องส่งต่อข้อมูลไปยังเฟลิเซียแทน

ในห้องตอนนี้มีเพียงแค่ดักลาส เฟลิเซีย และเฮเลน ผู้ปกครองอาณานิคมแคนน่าน ทั้งสามนั่งอยู่โต๊ะของโฟลิโอ

“คุณเฟลิเซียเป็นยังไงบ้างครับ พอที่จะพูดในที่ประชุมจะได้ไหม หรือว่ามีจุดไหนที่คุณเฟลิเซียไม่เข้าใจ?” ดักลาสกล่าวถามออกมาด้วยนํ้าเสียงที่เป็นกังวล เขาใช้เวลาเขียนเนื้อหาสำคัญลงในกระดาษเอกสารสองวันเต็มๆ แน่นอนว่าหลายๆอย่างดักลาสก็ทำการก็อปคัดลอกมาดัดแปลงอีกทีให้หลัง

คุณหนู หรือตอนนี้คือคุณหญิงแห่งตระกูลสกาเล็ต เธออ่านสิ่งที่อยู่บนมือด้วยสีหน้าที่จริงจัง ไม่มีเสียงการตอบกลับ หญิงสาวผู้มีเส้นผมสีบลอนด์ทองยังคงตั้งใจนั่งอ่านสิ่งที่ลาสเขียนมาอย่างใจเย็น จวบจนกระทั่งได้มีเสียงคำถามจากหญิงข้างๆเธอ เฮเลน

“การปฏิวัติ… คำคำนี้หมายถึงเช่นไรกันแน่เราไม่ค่อยเข้าใจเสียเท่าไร และท่านไปเรียนรู้มาจากพวกลีโออย่างนั้นหรือ?” ท่านหญิงแห่งแคนน่านกล่าวถามดักลาส ในมือของเธอมีเอกสารตัวที่คัดลอกจากต้นฉบับ เธออ่านมันด้วยความรวดเร็วแต่ใบหน้าของเธอก็ยังคงมีความสงสัยอยู่

“ที่ลีโอพวกเขาเรียกมันว่า การเปลี่ยนเปลี่ยนในระยะเวลาอันสั้น แต่ผมเรียกมันว่าการปฏิวัติ มันคือสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบางอย่างในช่วงเวลาอันสั้น อย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงด้านสังคมของยุคล่าอาณานิคมโดยมหานักปราชญ์ผู้คิดค้นเรื่องรัฐชาติคนนั้น หรือที่สถาบันการศึกษาแห่งฟาโรร่าที่สร้างความเปลี่ยนแปลงเรื่องเวทมนตร์สมัยใหม่ สิ่งที่ผมจะนิยามมันในตอนนี้ก็คือ การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง…” ลาสตอบ

“ท่านดักลาส… สิ่งที่ท่านเขียนมานั้น เราไม่สามารถที่จะพูดอะไร นอกเสียจากอึ้งตกใจกับมัน” เฟลิเซียที่เงียบมานานเอ่ยขึ้น ก่อนจะมองไปยังชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่กังวล ก่อนที่เธอจะกล่าวเสียงสั่น

“ท่านกำลังสร้างสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ การปฏิวัติ…” เธอชะงัก “ตลอดเวลาหลายร้อยปีที่นักปราชญ์ได้สิ้นชีวิตไป ท่านคงเป็นคนที่สองที่กล้าพอที่จะปฏิเสธที่มีกษัตริย์ องค์จักรพรรดิ หรือขุนนางเป็นผู้ปกครอง เนื้อหาที่ท่านเขียนมานั้น นอกจากที่จะแสดงให้เห็นถึงขั้วตรงข้ามกับการปกครองโดยอำนาจเพียงแค่คนเดียว ท่านกลับเลือกที่จะสร้างศัตรูกับแนวคิดของอองโทราล”

ประชาธิปไตย สาธารณรัฐ สหพันธรัฐ

การปกครองที่พวกเราเป็นผู้เลือกด้วยตัวของตัวเอง

“นอกจากเรื่องที่เป็นการเปลี่ยนแปลงชนิดถอนรากถอนโคน ท่านยังกล่าวถึงการแยกตัวออกจากลีโอเนีย ซึ่งเราเห็นด้วยกับท่าน แต่ว่า… ข้าไม่เข้าใจที่ว่า ประเทศที่ปกครองด้วยผู้คนหากเป็นเช่นนั้นได้จริง แต่หากเกิดว่าผู้คนนั้นโง่เขลาเกินไปที่จะการปกครองตนเอง รัฐชาตินั้นจะไม่ล่มจมหรอกหรือ?”

เฟลิเซียยังไม่กล้าที่จะยกอำนาจของตัวเองให้กับผู้ที่ยังไม่มีการศึกษา เธอกว่ามันจะพาดินแดนที่เธอรักกลายไปเป็นดินแดนของผู้ป่าเถื่อน ซึ่งลาสก็เข้าใจสิ่งที่เฟลิเซียถามมา

“เพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นจะพร้อมก็ต่อเมื่อทุกอย่างถูกวางแผนเอาไว้ครับ…” ลาสกล่าวเสร็จ ทั้งสามคนก็ได้ยินเสียงเดินเข้ามาในห้องประชุม เป็นประธานที่ประชุม ผู้ช่วยของเขาและบุตรีผู้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนดินแดนของเขา

“ยินดีด้วยนะท่านนายพลดักลาส” ‘ ท่านประธานที่เคารพช่วยอย่าเรียกว่านายพล ผมกราบแล้ว! ’ ลาสกรีดร้องด้วยความอับอายอีกครั้ง

“ทิวาสวัสดิ์ท่านประธานและ คุณหนูเทลลามาซีร์ วันนี้ก็คงเป็นวันที่เหนื่อยหน่อยนะครับ” ลาสลุกขึ้นถอดไทรคอร์นและก้มหัวทำความเคารพ

“นั้นสินะ การประชุมก็ใกล้เริ่มแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน” ประธานกล่าวก่อนจะเดินไปยังโต๊ะข้างหน้าที่ประชุมพร้อมกับผู้ช่วย

พวกเขานั่งรออยู่อีก 10 นาทีกว่าๆ เหล่าขณะผู้แทนจากอาณานิคมต่างๆก็เริ่มเดินเข้ามาในห้องประชุมแห่งนี้ แน่นอนว่าครั้งนี้ประธานสมาพันธ์การค้า ผู้นำกองกำลังแบ่งแยกก็เข้ามาในที่ประชุมเช่นกัน จนสุดท้ายก็มากันครบพร้อมหน้าพร้อมตากันหมด

เสียงเคาะโต๊ะด้วยค้อนไม้ของประธานในที่ประชุมทำให้ทุกคนในห้องเงียบฟังตาระเบียบ ก่อนที่ประธานจะเริ่มกล่าวพูดออกมา

“ขอบคุณท่านผู้แทนแต่ละอาณานิคมมาประชุมในวาระเวลาสำคัญเช่นนี้ จากสองวันที่แล้วพวกเราได้นัดหมายเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสหจักรวรรดิ ไม่ว่าจะเป็นทางใด เมื่อสงครามได้เริ่มต้น เรากำลังต่อสู้กับมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนอองโทราล เราสู้เพื่อสิ่งใดกันแน่ ความสัมพันธ์ระหว่างลีโอเนียจะเป็นเช่นใดกันแน่ จะเริ่มการอภิปรายตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เชิญ…”

การอภิปรายแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หนึ่งคือผู้ที่ต้องเชื่อมความสัมพันธ์กับลีโอเนียต่อไป หากพวกเขาสามารถเอาชีวิตรอดจากความโกรธเกรี้ยวของสหจักรวรรดิได้ และอีกกลุ่มคือกลุ่มที่ต้องการแยกตัวออกจากลีโอเนีย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่มีสัญญาผูกมัดแต่อย่างใด

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกป้องดินแดนและมีชัยเหนือลีโอให้ได้ หากพวกเขาต้องการที่จะรอดพ้นจากกรงเล็บราชสีห์แดนเหนือ พวกเขาต้องทำให้ลีโอเนียยอมรับความพ่ายแพ้เป็นรูปธรรมให้ได้เสียก่อน

“นิวลีโอ” ผู้แทนวาเลเรียน  แชมเบอร์สลุกขึ้นจากที่นั่งของตน

“เรายังไม่สามารถที่จะมองเห็นฟ้าที่สดใส ภายใต้เมฆหมอกของสงคราม แต่เราไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่า เราเองก็เป็นประชาชนของลีโอเนียเช่นกัน… หากสงครามได้จบลง หรือสงครามได้มาจุดที่ทุกฝ่ายยอมรับ”

เขาหยุดมองไปทางกลุ่มผู้ต่อต้านและกล่าว

“เราก็ขอเสนอให้ความสัมพันธ์ระหว่างลีโอเนียยังคงอยู่ต่อ อาณานิคมทั้ง 11 รัฐจะอยู่ภายใต้สหจักรวรรดิ และฟื้นฟูเศรษฐกิจไปพร้อมกับสหจักรวรรดิ ไม่แน่พวกเราอาจจะได้เป็นประชาชนใต้ราชห์สีที่ยิ่งใหญ่ก็เป็นไปได้”

เสียงตอบนั้นมีน้อยกว่าที่วาเลเรียนคิดเอาไว้ มีเพียงแค่ไม่กี่โต๊ะเท่านั้นที่เสียงออกการสนับสนุนออกมาชัดเจน ซึ่งก็ไม่พ้น นิลเฟลเพียงแค่รัฐเดียว ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก

“นิวเซนดัม” ผู้แทนโรบิน มาร์ชยืนขึ้นกล่าวชื่อรัฐของตัวเอง ก่อนจะรอให้ประธานอนุญาตอภิปราย

“ความสัมพันธ์ระหว่างลีโอเนีย ไม่สามารถกู้คืนได้อีกแล้ว สงครามที่เกิดขึ้นจะสร้างความบาดหมางที่รุนแรง ลีโอเนียคือพวกที่หยิ่งยโสต่ออำนาจของพวกเขา หากเราตั้งตัวเป็นกบฏ ซึ่งตอนนี้ก็เป็นแล้ว พวกลีโอจะส่งกำลังทหารที่ยิ่งใหญ่เข้ามาบดขยี้พวกเราจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก…”

เขาหยุดชะงักก่อนจะหยิบกระดาษจากผู้ช่วยของเขาขึ้นมาและอ่าน

“เพราะงั้นแล้ว เราจึงขอเสนอว่าอาณานิคมทั้ง 11 รัฐจะยุติและพ้นจากความจงรักภักดีต่อราชบัลลังก์ลีโอเนียแห่งสหจักรวรรดิ และดำเนินชีวิตโดยที่ไม่มีการเก็บภาษีโดยชาวลีโอ แต่จะทำการค้าขายอย่างปกติ”

“ช้าก่อน! หากเราตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างสหจักรวรรดิ เราก็ไม่ต่างจากการเป็นคนแปลกหน้าต่อดินแดนแม่นะ!” เอ็ดเวิร์ดกล่าวขัด “เป้าหมายของเราคืออะไรกันแน่ เหตุใดพวกเราจึงต้องสร้างสงครามด้วย!?”

“เหตุผลมันยังไม่แน่ชัดอีกหรือ… ท่านเอ็ดเวิร์ด” เฟลิเซียที่ยังคงดื่มนํ้าชาในที่ประชุมมองไปยังชายวัยชราก่อนจะพูดต่อ “เรากำลังอยู่ในวิกฤตการณ์อันยิ่งใหญ่ที่สุดบนอาริกาเซียอย่างไม่เคยเจอมาก่อน ณ ตอนนี้ พวกเราไม่สามารถที่จะส่งทูตไปบอกพวกลีโอ ว่าต้องการยอมแพ้ แล้วไม่เสียเลืิอดเนื้อซักกระหยด”

“มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว” เฟลิเซียเอ่ยเสียงเบา แต่ก็พอที่จะทำให้ทุกคนได้ยิน แน่นอนว่ามันสร้างความวุ่นวายให้กับที่ประชุมจนผู้ช่วยของประธานต้องใช้ไม้เคาะไปที่พื้นของห้อง แต่ก็ยังมีเสียงพูดคุยกันดังอยู่เช่นเดิม

“เฟลิเซีย สกาเล็ต หากจะกล่าวอภิปรายก็จงเรียกตัวเองเสียก่อน” ประธานในที่ประชุมทุบโต๊ะของเขาด้วยค้อนไม้ ทำให้ห้องประชุมกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

“ต้องอภัยท่านประธานที่เคารพ” เฟลิเซียชะงักและพูดขึ้นมา “โฟลิโอ”

ก่อนที่เธอจะหันไปหาดักลาส เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้เป็นหัวสมองของกลุ่มต่อต้านพยักหน้าให้กำลังคุณหญิงแห่งตระกูลสกาเล็ต เธอสูดอากาศให้เต็มปอด และหยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน

“ในขณะที่พวกท่านทุกคนกำลังพูดถึงความสัมพันธ์ของลีโอเนีย ข้อเท็จจริงที่ว่าเรานั้นเป็นกบฏก็ไม่สามารถที่จะปัดทิ้งไปได้แน่นอนค่ะ” เฟลิเซียลุกขึ้นยื่นก่อนจะออกห่างจากโต๊ะของเธอและกล่าวต่อ

“เราไม่สามารถที่จะเอาชนะมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ได้หากไม่มีดินปืนและการสนับสนุนจากทุกฝั่งทุกฝ่าย” เธอชะงัก " พวกเขาเรียกเราว่ากบฏ และพวกเราเองก็เรียกตัวเองว่ากบฏ แต่สิ่งหนึ่งที่เราสามารถทำได้ หาใช่ในฐานะกบฏ หาใช่ในฐานะข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์ อย่างแรกเราจะยอมรับตัวตนของเราให้ได้เสียก่อน สิ่งที่เราเป็นอยู่นั้นคืออาณานิคมของลีโอเนีย หรือแท้จริงแล้วเราสามารถเป็นได้มากกว่าอาณานิคมอันห่างไกลจากความเจริญ

การเปลี่ยนแปลงในครั้งจะเป็นตัวกำหนด ว่าเราพร้อมที่จะปกครองดินแดนโดยชอบธรรม ไม่ใช่ในฐานะอาณานิคม ไม่ใช่ในฐานะทรัพย์สินของสหจักรวรรดิ ไม่ใช่ในฐานะข้ารับใช้ของจักรพรรดิ แต่เป็นผู้มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตัวเอง นี้ไม่ใช่สงครามแต่มันคือการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงที่จะเปลี่ยนโฉมอองโทราล การเปลี่ยนแปลงที่จะสวนทางกับสิ่งทุกอย่างบนอองโทราล เรากำลังอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลง ที่จะถูกจดจำโดดเด่นกว่าใครๆ ในประวัติศาสตร์ มันคือการปฏิวัติ และมันก็คือการให้กำเนิดรัฐชาติใหม่แห่งนี้ขึ้นมาบนอองโทราล บนทวีปอาริกาเซียแห่งนี้ รัฐชาติของพวกเรา รัฐชาติที่นักปราชญ์ในตำนานนั้นเคยได้ส่งต่อความจริงนั้นสืบต่อกันมา

การแยกตัวออกจากลีโอเนีย และให้กำเนิดอาริกาเซียขนมาจากพื้นดินที่ว่างเบา ไม่ใช่สหราชอาณาจักร ไม่ใช่การปกครองโดยคนผู้เดียว แต่เป็นสาธารณรัฐ เราเฟลิเซีย สกาเล็ตขอเสนอ

ให้อาริกาเซียประกาศอิสรภาพ

…อิสรภาพ คำกล่าวพูดถึงทาสที่ได้รับการปลดปล่อย ไม่ขึ้นตรงแก่ใครและไม่เป็นของผู้ใด เฟลิเซียกล่าวเสร็จก็กลับที่นั่งของตน กว่าที่ผู้แทนแต่ละคนจะรู้สึกตัวได้ พวกเขาก็หลงเข้าไปอยู่ในความคิดของตัวเองไปเกือบนาที

ไม่พอแค่นั้น สาธารณรัฐ? มันคือสิ่งใดกันแน่ จักรวรรดิรูปแบบใหม่หรือ หลายคนยังไม่เข้าใจ ในขณะที่ผู้ที่ผ่านการศึกษามาแล้วอย่าง เทลลามาซีร์ แห่งโจเซ นั้นเริ่มจับใจความมันได้

เสียงเคาะโต๊ะดังจากฝั่งขวาของห้องซึ่งเป็นกลุ่มที่ต่อต้านลีโอเนียอยู่แล้ว ก่อนที่เสียงจะเริ่มดังขึ้น ดังขึ้นเป็นคลื่นจากขวาไปซ้าย แม้ว่าจะมีเพียงแค่สองคนเท่านั้นไม่ยอมที่จะเคาะ เพราะมันคือเสียงของคนที่สนับสนุน วาเลเรียนและเอ็ดเวิร์ดเป็นสองคนที่ไม่คิดจะสนับสนุนสิ่งที่เฟลิเซียกล่าวอภิปราย แล้วว่าผู้ช่วยของพวกเขาจะเห็นด้วยกับสิ่งที่เฟลิเซียกล่าวมาก็ตาม

“คุณหญิงเฟลิเซีย สกาเล็ตเสนอญัตติให้อาณานิคม… ประกาศอิสรภาพ… แยกตัวจากสหจักรวรรดิ” แม้แต่ประธานในที่ประชุมก็ยังกล่าวติดขัด ไม่มีใครคิดถึงการสร้างดินแดนของตัวเอง พวกเขาคิดเพียงแค่หากสามารถมีชัยเหนือลีโอ พวกเขาก็จะแก้ไขปัญหาภาษีที่ขูดเลือดเนื้อของพวกเขาได้

“เราจะดำเนินการลงมิติเสียงเรียกตามชื่อรัฐทั้ง 11 แห่ง เริ่มจากตอนเหนือไปใต้เช่นเคย” ประธานในที่ประชุมหันไปหาผู้ช่วยของเขาเพื่อเตรียมตัวจดชื่อลงหนังสือ

“นิวลีโอ” “ใช่”

“นิลเฟล” “งดออกเสียง”

“โจเซ” “ใช่”

“วัลเทอร์” “ใช่”

“ชาร์ลส” “ใช่”

“โฟลิโอ” “ใช่”

“เอคริสเปีย” “ใช่”

“เดอลากูร์” “ใช่”

“เบอร์เกน” “ใช่”

“แคนน่าน” “ใช่”

“นิวเซนดัม” “ใช่”

“ผลการลงมติ เห็นด้วยกับการประกาศอิสรภาพ 10 รัฐ  งดออกเสียง 1 รัฐ… …พระเจ้า…”

1 ตุลาคม ศักราชอองโทราลที่ 3925

เป็นวันที่ทั่วทั้งอองโทราลจะได้รับรู้ หลังจบการประชุมครั้งที่ 4 ของสภานิติบัญญัติประจำจังหวัดเฉพาะกิจ เป็นเอกฉันท์กันในที่ประชุมกันว่า 11 อาณานิคม จะถูกเรียกตัวเองว่า 11 รัฐแห่งอาริกาเซีย มิใช่อาณานิคมของผู้ใด แต่เป็นรัฐอิสระอันมีอำนาจเป็นของตัวเอง แม้ว่าจะยังไม่มีการร่างคำประกาศออกมาให้เห็นและจำต้องได้ แต่ชาวอาริกาเซียล้วนแล้วถือตัวเองเป็นประชาชนของ 11 รัฐอาริกาเซีย หาใช่ ประชาชนของสหจักรวรรดิไม่

คำกล่าวอันทะเยอทะยาน ถูกเผยแพร่ออกไปทั่ว ทั้งในและนอกทวีปอาริกาเซีย สร้างความไม่พอใจให้กับลีโอเนีย อาณานิคมที่บังอาจก่อกบฏ ตั้งตัวเป็นรัฐเอกราช หากไม่รีบกำจัด ศักดิ์ศรีของราชสีห์คงได้ปนเปื้อน

ไม่ช้าสภาสูงแห่งลีโอเนียก็ได้เลือกที่จะประกาศถึงการก่อกบฏของอาริกาเซียให้ทั่วสหจักรวรรดิได้รับรู้ สงครามได้กลับมาเยือนสิงโตแดนเหนืออีกครั้ง กองเรือที่ยิ่งใหญ่ถอนสมอเรือออกจากท่ามุ่งสู่โลกใหม่ เพื่อทำการปราบปรามอาณานิคมที่กล้าลุกฮือต่อต้านอำนาจของจักรพรรดิ


0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด