ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0062
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0064

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0063


บทที่ 23 เหตุผลที่ข้าอยากเป็นดวงอาทิตย์ (2)

* * *

กลุ่มคนที่กำลังยืนมองดวงดาว เท่าที่เห็นนับได้สิบห้า

แต่ก็ไม่ควรด่วนสรุปว่านั่นคือจำนวนทั้งหมด อาจยังมีซ่อนอยู่ด้านหลังเสาหรือด้านข้างประตู

ฉันเก็บรายละเอียดส่วนใหญ่ได้ในเวลาอันสั้น

สิ่งที่เตะตามากที่สุดก็คือ ฝาโลงที่เปิดออกใจกลางทางเดินภายในห้อง และดวงดาวขนาดเท่าลูกฟุตบอลที่ลอยเหนือสิ่งนั้น

ช่างน่าขัน ดวงดาวที่กำลังส่องแสงระยิบระยับนั่น กลับมอบบรรยากาศอันเยือกเย็น

ขณะฉันรู้สึกถึงความผิดแผก

ครืน!

ท่ามกลางการสั่นสะเทือนอันหนักหน่วง แสงที่แผ่ออกจากดวงดาวกลายเป็นสีดำ ก่อนจะกลับไปเป็นสีปรกติอีกครั้ง

เมื่อสังเกตอย่างใกล้ชิด แสงจากดวงดาวค่อนข้างริบหรี่ ไม่ใช่เรื่องแปลกหากมันจะดับไปตอนไหน

หลังจากขยับถอยหลังเล็กน้อย ฉันพูดกับลิลี่

“นั่นดารากรหรือ? ไหนว่าดารากรต้องอยู่บนฟ้า”

ฉันเคยได้ยินจากลิลี่ ดารากรคือดวงดาวบนท้องฟ้า

“ดารากรต้องตายเพื่อขึ้นสวรรค์ไม่ใช่หรือ ไม่ว่าจะเป็นเอลฟ์หรือลูกหลานดวงดาว แต่ถ้าไม่สลัดคราบก็จะเป็นดารากรไม่ได้นี่”

“สลัดคราบ?”

“เอ่อ… ความหมายเดียวกับตายแล้วขึ้นสวรรค์”

ลิลี่พยักหน้า

“ดารากรคือหนทางเดียวที่ปุถุชนจะเข้าสู่ดินแดนทวยเทพ การเป็นดารากรจึงไม่ใช่เรื่องง่าย มีหลายรายที่ล้มเหลว”

“…เหมือนกับล็อบสเตอร์ที่ตายเพราะลอกคราบไม่สำเร็จ?”

“ล็อบสเตอร์? ข้าไม่เคยไปทะเล… พวกเอลฟ์มักเปรียบเทียบว่า เหมือนกับดักแด้ที่ไม่กลายเป็นผีเสื้อ”

โลกมนุษย์เองก็มีวัฒนธรรมที่คล้ายกัน ถึงกับมีการเปรียบเปรยด้วยคำว่า ‘สลัดคราบ’

ประหนึ่งผีเสื้อที่โยนดักแด้ทิ้งและเริ่มโบยบิน

“เอลฟ์นักบวชจะหวาดกลัวความล้มเหลวมาก เพราะพวกเขาเชื่อว่าร่างกายปุถุชนเปรียบเสมือนดักแด้”

“…จะเกิดอะไรขึ้นกับดารากรที่ขึ้นสวรรค์ล้มเหลว”

นั่นคือประเด็นสำคัญ

ดารากรคือปุถุชนที่ขึ้นสวรรค์ ปลายทางย่อมต้องเป็นท้องฟ้า

แต่การที่ไม่สามารถขึ้นสวรรค์ได้และต้องอยู่บนผืนดิน ไม่ว่าจะมองมุมใดก็ไม่ใช่เรื่องดี

“…ที่อยู่ของดารากรคือท้องฟ้า ไม่ควรอยู่บนผืนดินด้วยประการทั้งปวง ดาวที่ยังอยู่บนดินจะกลายเป็น ‘ดาวดำ’ — ตัวตนที่ค่อยๆ เสื่อมถอยและสร้างอิทธิพลด้านลบต่อสภาพแวดล้อม”

ดาวดำ

จุดจบของดารากรบกพร่องที่มิอาจขึ้นสวรรค์

หมายความว่า สิ่งที่อยู่ตรงนั้นคือดารากรที่มิอาจขึ้นสวรรค์ — ดาวดำ

“ลิลี่”

“อื้อ”

“ถ้าเป็นตามที่เธอบอก นี่ก็ไม่ใช่การลักพาตัวดารากรมากักขัง… เป็นไปได้ไหมว่า ใครบางคนพยายามทำให้ดาวดำไม่เสื่อมสลายไปมากกว่าเดิม”

“ตอบยากนะ แต่ก็เป็นไปได้”

ฉันเคยจินตนาการไว้ว่า เหล่าสาวกเทพโบราณกำลังแอบประกอบพิธีกรรมลับอยู่ภายในนี้

สารภาพตามตรงว่า จินตนาการทำนองนั้นมันน่าสนุกกว่าสำหรับฉัน

คิดไม่ถึงเลยว่าความจริงจะกลับตาลปัตร

หอคอยที่พยายามสร้างให้ถึงสวรรค์ โดยฝีมือผู้ต้องการจะเป็นเทพ

ดารากรที่ล้มเหลว, ดาวดำผู้ถูกขังในหอคอยเป็นเวลานาน

“…ผู้สร้างหอคอย ต้องการจะเป็นเทพจริงหรือ?”

อาจมีความลับอื่นๆ ที่ไม่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

ขณะฉันคิดแบบนั้น

ลิลี่ที่จมอยู่ในความคิดมานาน เปิดปากพูดอีกครั้ง

“ข้าอยากจะบอกมาสักพักแล้ว แต่ไม่มีโอกาส”

เธอกล่าวต่อ

“กลุ่มคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีวิญญาณแม้แต่คนเดียว”

“หมายความว่า เธอมองไม่เห็นโฉมวิญญาณ?”

ลิลี่พยักหน้า

“…”

“ข้างในมีวิญญาณเพียงหนึ่งดวง และเป็นของดาวดำ”

“หน้าตาเป็นยังไง”

“สตรีสวมมงกุฎ”

“สมัยยังมีชีวิตเคยเป็นราชินี?”

“และกำลังร้องไห้”

คำพูดของลิลี่ทำให้ฉันคิดได้หลายประเด็น

ระหว่างนั้น ฉันมั่นใจหนึ่งเรื่อง

จึงหมุนตัวกลับและเดินไปทางประตู

“จะเข้าไปหรือ”

หงึก

“ฉันคิดว่าไม่น่าจะอันตราย”

“มีเหตุผลรองรับไหม”

“ลางสังหรณ์ล้วนๆ”

ลิลี่แสยะยิ้ม

ฟังดูเหมือนเป็นมุกตลก แต่ลางสังหรณ์สำคัญกว่าที่คิด เพราะหลายต่อหลายครั้งฉันรอดชีวิตมาได้ด้วยลางสังหรณ์เพียงอย่างเดียว

ประสบการณ์อันยาวนานเหล่านั้นทำให้ฉันเชื่อในลางสังหรณ์ตัวเอง

อย่างไรก็ดี ไม่ว่ายังไงก็ห้ามประมาท

ฉันดึงอัญมณีสีฟ้าออกจากเสื้อ มันส่องแสงในมือและกลายเป็นแหวน

หลังจากสวมที่นิ้วชี้ ฉันสลักวงแหวนเวทไว้ตามขั้นบันไดและจุดต่างๆ

ตามด้วยการวางน้ำยาระเบิดและควันไว้รอบๆ

พวกมันจะช่วยซื้อเวลาให้ขณะเผ่นหนี

หลังจากเตรียมแผนอพยพเสร็จ ฉันสูดลมหายใจยาวและเดินเข้าไปในห้อง

กลุ่มคนผมแดงที่มีจำนวนมากกว่าสิบ ล้วนแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักบวช

พวกเขายังคงไม่ขยับเขยื้อนแม้ฉันจะเดินเข้าไป เอาแต่พ่นถ้อยคำราวกับเป็นเครื่องจักร

ฉันแหงนหน้าจ้องดาว

ในเวลาเดียวกัน เกิดแรงสะเทือนที่ทำให้หอคอยทั้งหลังสั่นอีกครั้ง ดวงดาวกลับไปเป็นสีดำก่อนจะกลับคืนสีปรกติ

พลังงานจากดวงดาวถูกดูดเข้าไปในต้นเสายักษ์ผ่านเส้นโซ่

และต้นเสามีหน้าที่ลำเลียงพลังงานขึ้นไปด้านบน

ฉันหันหน้าไปทางกลุ่มคนที่เอาแต่ยืนจ้องโลงศพ

ทุกคนมีผมสีแดง ใส่ชุดนักบวช

ฉันรู้จักเผ่าพันธุ์นี้ดี

“ลูกหลานดวงดาว”

ร่างที่นอนอยู่ในโลงเองก็เป็นลูกหลานดวงดาว

ทุกคนหลับตาลงโดยที่ยังคงขยับปาก

ดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิต คล้ายกับหุ่นยนต์มากกว่า

ถัดมาไม่นาน ฉันเห็นอักษรรูนที่เขียนอยู่บนแผ่นหลังทุกคน

หลังจากยืนยันความปลอดภัย ลิลี่ตามเข้ามาและกวาดสายตาสำรวจ

“…ภาษารูน เจ้าอ่านออกไหม”

ฉันส่ายหน้า

ฉันอ่านภาษารูนอื่นไม่ออก รู้แค่เท่าที่เคยเห็น

ทว่า หลังจากเฝ้ามองอักษรรูนที่ไม่รู้จักสักพัก ฉันเริ่มเข้าใจความหมายของมัน เหมือนกับภาษารูนบนหลังโกเล็มในคราวก่อน

ลิลี่จ้องข้อความอย่างตั้งใจก่อนจะพูด

“ข้าไม่คิดว่าเป็นอักษรตัวเดียว”

“ใช่ อักษรรูนสองตัวซ้อนกัน”

“ทำได้ด้วยหรือ”

หงึก

“ทำได้… ยังจำภาษารูนที่ฉันใช้สร้างเข็มทิศส่วนตัวได้ไหม มันเกิดจากอักษรสามตัวซ้อนกัน”

“อย่างนี้นี่เอง…”

ลิลี่จ้องอักษรรูนด้วยความทึ่ง ขณะเดียวกันก็พยายามเลื่อนมือไปสัมผัส

หมับ!

ฉันคว้าข้อมือเธอไว้

“มีอะไร?”

“อย่าจับ”

“…มันอันตราย?”

“อักษรพวกนี้มีพลังปิดกั้นมิติ อาจไม่รุนแรง แต่ถ้าสัมผัสก็เจ็บตัว”

ฉันเหยียดแขนไปแตะเพื่อเป็นตัวอย่าง

เปรี้ยะ!

กระแสไฟฟ้าสีแดงช็อตเข้าที่ปลายนิ้ว ฉันเจ็บแปลบเล็กน้อยจากอาการผิวหนังลอก

“เห็นไหม”

“…แล้วพวกเราควรทำยังไง”

คงเป็นมาตรการเพื่อป้องกันไม่ให้อักษรรูนถูกลบ

ฉันก้มมองแหวนที่นิ้วชี้

หลังจากใช้พลังบางส่วนไปกับขั้นบันได ตอนนี้จึงเหลือช่องว่างมากถึงสี่

“…ลิลี่”

“อื้อ”

“ในที่ที่ฉันอยู่มีแมลงที่ชื่อแมลงสาบ มีหลายคนไม่กล้าใช้มือจับมัน แต่ในช่วงชีวิตมีเหตุให้ต้องจับสักครั้งสองครั้งเสมอ”

“…อาฮะ”

“แล้วรู้ไหมพวกเขาทำยังไง”

“ทำยังไง”

เครื่องดูดฝุ่นไง

ฉันใช้นิ้วที่สวมแหวนสัมผัสกับอักษรรูน

ทันใดนั้น อักษรรูนถูกดูดหายเข้ามาในแหวน อัญมณีเม็ดหนึ่งสว่างขึ้นทันที

“…อักษรรูนที่ซ้อนกัน สามารถกักเก็บไว้ในอัญมณีแค่หนึ่งเม็ด”

ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน ถือเป็นความรู้ใหม่ที่น่าสนใจมาก

ตอนนี้อักษรประหลาดนั่นเป็นของฉันแล้ว ไว้ค่อยกลับไปศึกษาข้างนอก

ขณะครุ่นคิดพลางมองแหวน ฉันพบสิ่งผิดปรกติ

ร่างที่ถูกขโมยอักษรรูน หยุดเปล่งภาษารูน

ตุ้บ!

เมื่อร่างดังกล่าวล้มลงกับพื้น ลิลี่สะดุ้งพร้อมกับรีบชักมีดล่าสัตว์

ฉันปรามลิลี่

“ไม่ต้องกังวล ก็แค่คนตาย”

“เจ้าแน่ใจได้ยังไง”

“สิ่งที่เขียนไว้บนหลัง คืออักษรรูนที่มีโครงสร้างคล้ายกับของโกเล็ม อันหนึ่งใช้ปลุกวัตถุให้มีชีวิต ส่วนอีกอันใช้ปลุกศพ…”

“เหมือนกับพวกหมอผีน่ะหรือ”

“สำหรับตอนนี้ ฉันคิดว่าใช่ แต่ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อน”

ฉันก้มมองแหวนที่มีอักษรรูนเก็บไว้

อักษรรูนที่ใช้ควบคุมศพ แค่คิดก็สยองแล้ว

แต่ก็ถือเป็นข้อมูลที่ดี ฉันเชื่อว่าคงมีโอกาสได้ใช้งานจริงมากกว่ารูน ‘คึฮ่าฮ่า!’ ของนักบันทึกเวรนั่น

สิ่งถัดไปที่พวกเราสนใจก็คือ โลงศพใต้ดาวดำที่กำลังเปิดฝาแง้ม

มีร่างหนึ่งนอนอยู่ในโลง

ร่างดังกล่าวเป็นเพศชาย คล้ายกำลังนอนหลับ ริมฝีปากม่วงเล็กน้อยประหนึ่งยังมีชีวิต

ผมสีม่วงแปลกตา รูปร่างผอมเพรียวอันเป็นเอกลักษณ์ของลูกหลานดวงดาว ริ้วรอยเล็กน้อยบนใบหน้าบ่งบอกอายุได้คร่าวๆ

“…ลูกหลานดวงดาวจะไม่มีวันตาย”

“ไม่มีวันตาย?”

“เป็นเผ่าพันธุ์ที่จะกลับชาติมาเกิดเสมอ”

“หา…? ไม่ใช่แค่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แต่ยังพกความทรงจำติดตัวมาด้วย?”

ลิลี่ส่ายหน้า

“ไม่ใช่แบบนั้น”

ถ้าอย่างนั้น แล้วการกลับได้ชาติมาเกิดจะมีประโยชน์อะไร?

ช่างมันก่อน สำหรับตอนนี้ สิ่งที่แน่ชัดก็คือ

ลูกหลานดวงดาวที่นี่ไม่ใช้สิทธิ์กลับชาติมาเกิด

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แต่ทุกคนพยายามดึงดันที่จะอยู่บนโลกต่อไป

ทำไปทำไม?

ฉันเดินเข้าไปใกล้เพื่อที่จะได้เห็นใบหน้าดังกล่าวชัดขึ้น

ทันใดนั้นก็ต้องยืนตัวแข็ง

“…เป็นอะไรไป?”

ลิลี่ที่สัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากล ตัดสินใจถาม

“…ลิลี่”

“อื้อ”

“ในกระเป๋ามีสมุดบันทึกเล่มใหญ่ๆ อยู่ จำได้ไหม”

ลิลี่พยักหน้า

“ช่วยหยิบอันที่เขียนว่าเล่มแรกให้หน่อย”

ลิลี่รื้อจนพบสมุดบันทึกและยื่นให้ฉัน

เล่มที่หนึ่งจากสามเล่ม

ส่วนใหญ่เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับภาษารูนและเมืองที่เคยอาศัย

ฉันไม่ค่อยชอบอ่านสมุดบันทึกเล่มแรกสักเท่าไร เพราะตอนที่เขียนมีสภาพจิตใจไม่ค่อยปรกติ แถมยังเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระ

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะว่าสิ่งไหนจริง หรือสิ่งไหนหลอนขึ้นมาเอง

ครืน!

เป็นอีกครั้งที่หอคอยสั่นสะเทือน

ท่ามกลางเสียงสวดมนต์ หอคอยสั่นไปทั้งหลังพร้อมกับดวงดาวที่เปลี่ยนเป็นสีดำ

ระหว่างนั้น ฉันนั่งลงพร้อมกับเปิดสมุดบันทึกอ่าน

“เจ้าเป็นอะไรไป? สมุดบันทึกนั่นมีอะไร…”

หลังจากหาสิ่งที่ต้องการพบ ฉันเริ่มอ่านออกเสียง

“แปลกจังเลย จู่ๆ ฉันก็เริ่มเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูด…”

ลิลี่ฟังอย่างตั้งใจ

“แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถนำมาใช้สื่อสารได้… ดูเหมือนว่าคนที่รับฉันมาดูแลมาจะเป็นนักแปรธาตุ เห็นว่าวันนี้มีแขกผมสีม่วงแวะมาที่ห้องแปรธาตุด้วย”

ผมสีม่วง

ลิลี่หันไปมองร่างในโลงศพ

ร่างดังกล่าวมีผมสีม่วงเช่นกัน

“วันนี้แขกผมสีม่วงทะเลาะกับนักแปรธาตุอย่างรุนแรง คล้ายกับอีกฝ่ายพยายามร้องขอให้นักแปรธาตุช่วยรักษาคนสำคัญในครอบครัว”

ได้ยินท่อนนี้เข้าไป สีหน้าลิลี่เปลี่ยนเป็นขึงขัง

“บนหลังมือของเขามีรอยสักรูปไม้กางเขน”

ลิลี่สำรวจมือศพ

และพบไม้กางเขนที่รูปร่างคล้ายดาบ

“บนฝ่ามือมีสัญลักษณ์สี่เหลี่ยม คล้ายกับเป็นตัวช่วยในการร่ายคาถา”

ลิลี่ยกแขนศพขึ้นและพลิกดูฝ่ามือ จากนั้นก็พยักหน้า

“…สิ่งที่สะดุดตาฉันที่สุดก็คือ ในดวงตาที่คล้ายกับจักรวาล มีรอยแผลเป็นเครื่องหมายกากบาท… ได้แผลนี้มายังไง? เขาถูกทรมานหรือ”

ลิลี่เลิกเปลือกตาศพและสำรวจอย่างใกล้ชิด

จากนั้นก็มองมาที่ฉันและพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้ง

“…เจ้ารู้จักเขาได้ยังไง”

กลับกลายเป็นว่า สมัยที่เคยดิ้นรนในต่างโลก ฉันเคยพบชายผมม่วงที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นสุริยเทพและสร้างหอคอยขนาดมหึมา

ฉันอ่านส่วนถัดไป โดยพยายามรักษาความสงบในน้ำเสียง

ชายผมสีม่วงพูดกับนักแปรธาตุว่า

“เพื่อผู้คน เพื่อหน้าที่ผู้บัญชาการสนามรบ หล่อนถึงกับยอมสละโอกาสที่จะได้ขึ้นสวรรค์! โอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต! เพื่อปกป้องสันติสุขของผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก! หล่อนยอมพลาดโอกาสนั้นและกลายเป็นดารากรร่วงหล่น! ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน! วีรชนที่ปกป้องพวกเรากำลังจะกลายเป็นดาวดำที่แผดเผาตัวเอง! พวกเราทำอะไรไม่ได้เลยหรือ?”

นักแปรธาตุส่ายหน้า

ปุถุชนที่พลาดโอกาสขึ้นสวรรค์ ชะตากรรมเดียวคือการกลายเป็นดาวดำ

ไม่มีหนทางใดหยุดยั้งได้

ทำได้แค่ยืดเวลาออกไป

ชายผมม่วงจับคอเสื้อนักแปรธาตุและยกขึ้น

“คนรักของข้า… หล่อนยอมสละทุกสิ่ง! ยอมไม่ขึ้นสวรรค์เพื่อพวกเราทุกคน! เช่นนั้นแล้ว เราก็ควรหาทางตอบแทนไม่ใช่หรือ”

นักแปรธาตุส่ายหน้า

บรรยากาศเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนที่ชายผมม่วงจะปล่อยมืออันหยาบกร้านจากคอเสื้อ

จากนั้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย

“…ถ้าเหล่าเทพไม่ช่วยหล่อน ข้าจะผลักดันให้หล่อนกลายเป็นดารากรเอง… ต่อให้ต้องแย่งชิงตำแหน่งมาจากผู้อื่นก็ตาม!”

ชายคนดังกล่าวกำสมบัติในมือแน่น — ศิลาสุริยัน

ฉันปิดสมุดบันทึก

เรื่องราวที่เกี่ยวข้องจบลงเพียงเท่านี้ แม้ต่อจากนั้นจะมีบางสิ่งถูกเขียนไว้ แต่คงเป็นเพราะสติของฉันในช่วงเวลาดังกล่าวกำลังพร่ามัว ข้อความจึงไม่สอดคล้องกันนัก

ฉันเงยหน้าขึ้น

ดาวดำกำลังส่องแสงเศร้าหมอง

แต่มิได้เศร้าเพราะชะตากรรมของตน

“…ดวงดาวที่ยอมสละการขึ้นสวรรค์เพื่อผู้คน”

มิใช่ดาวดำที่กำลังแผดเผาตัวเองอย่างไร้ค่า

หอคอยหลังนี้มิได้ถูกสร้างโดยสุริยเทพที่อุปโลกน์ตัวเอง

วีรชนผู้เสียสละเพื่อผู้คน

และผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้าเพื่อตอบแทนวีรชน

นี่คือเรื่องราวของหอคอย

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด