ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 8 การปลดปล่อยเมืองบอสตัน (The Liberation of Boston)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 10 จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ (Beginning of the Great Revolution)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 9 กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง (Reunion)


กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง

(Reunion)

บอสตัน เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดบนทวีปอาริกาเซีย ตัวเมืองถูกซ่อมแซมจนไม่เหลือร่องรอยการต่อสู้ เสียงพูดคุยของชาวเมืองดังเจ๊าะแจ๊ะ วิถีชีวิตชาวอาณานิคมหวนกลับคืนมา พ่อค้าแม่ค้าเปิดร้านค้าขายของอยู่ในโซนท่าเรือ ช่างไม้ก่อสร้างซ่อมแซมท่าเรือที่ถูกลูกหลงจากปืนใหญ่ เมืองท่าบอสตันที่เงียบเหงากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ขบวนรถม้าของผู้แทนในแต่ละอาณานิคมทยอยเข้ามาในเมือง ชาวเมืองบอสตันเหลือบตามองด้วยความสนอกสนใจ พวกเขาตรงไปยังอาคารผู้ว่าเขตก่อนจะลงจากรถม้า และเข้าไปตัวเขตอาคาร เหล่าชนชั้นสูงแห่งอาริกาเซียยืนคุยกันอยู่สนามหลังอาคารผู้นำเขต

ทุกคนที่อยู่สวนหลังอาคารสีขาว คือผู้มีอำนาจจากทุกส่วนของอาริกาเซีย ไม่ว่าจะเป็นประธานสมาพันธ์การค้า ผู้นำกองกำลังแบ่งแยก ผู้นำกองกำลังอาสาในศึกที่กรีนโมตาลีและบอสตัน เหล่าผู้นำตระกูลน้อยใหญ่ ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันแบบกลุ่มของตัวเอง

ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ใใบหน้าของเขาโทรมเหมือนคนไม่ได้พักผ่อน ทุกคนล้วนแล้วหันไปมองชายผู้มาใหม่ ในขณะที่บางคนมองชายผู้มาใหม่ด้วยสายตาอันไม่เป็นมิตรนัก

“ท่านโลแกน สกาเล็ต ข้าไม่เห็นท่านตั้งแต่ที่พวกลีโอเข้าปกครองอาณานิคมโฟลิโอ ท่านยังคงสบายดีหรือไม่?” ผู้แทนอาณานิคมนิลเฟลกล่าวถาม

“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงท่านเอ็ดเวิร์ด ข้านั้นถูกกักตัวและปลอดภัยดี แต่ว่า…” เขาชะงัก “พวกท่านกำลังทำอะไรในดินแดนของข้า เหตุไฉนถึงได้มีการต่อสู้กับเกิดขึ้นระหว่างสหจักรวรรดิ”

“ราชสำนักประกาศว่าพวกเราทำการการกบฏและจะต้องถูกประหารชีวิต พวกเราไม่มีทางเลือก”

“ท่านจะบ้าหรือ!? ข้าอุตส่าห์สร้างความสัมพันธ์อันดีกับขุนนางฝั่งลีโอ เพื่อประโยชน์ของผู้ปกครองอาณานิคมทั้งหมด แต่พวกท่านกลับเลือกที่จะต่อต้านงั้นหรือ!?” นํ้าเสียงที่มีโทสะ เจ้าบ้านตระกูลสกาเล็ตมีอาการที่เกรี้ยวโกรธอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามก็ได้มีเสียงจากข้างหลังของเขา เป็นเสียงของหญิงสาวที่เขาคุ้นเคย

“ท่านพ่อ ในขณะที่ท่านซ่อนตัว ใช้ชีวิตสงบสุขในบ้านพักตระกูลเรา ชาวอาริกาเซียต่างต้องทนทุกข์ทรมานอย่างขัดสน พวกเราเลือกที่จะต่อต้านลีโอ เพราะมันคือทางเลือกที่ชาวเราต้องการ” เฟลิเซีย บุตรีแห่งตระกูลสกาเล็ต เดินเข้ามาในส่วนหลังอาคารอย่างกล้าหาญ

“เจ้า! แล้วเรื่องงานแต่งระหว่างเซอร์กาย เจ้าจะทำเช่นไร!? ข้าสูญเสียมากมายเพื่อให้ตระกูลของเราได้แต่งงานกับขุนนางลีโอ แต่เจ้ากลับมาว่ามันเป็นทางเลือกที่ต้องการ? ใครกันที่ต้องการสงครามที่ไม่มีวันชนะ พวกชนชั้นล่างที่เป็นแค่แรงงานน่ะหรือ!?”

" หนึ่งคำก็บอกเพื่อตระกูล แต่ท่านก็ไม่สนใจปากท้องของผู้ใต้การปกครอง หนึ่งคำก็บอกชนชั้นล่าง แต่พวกเขาล้วนเป็นกลุ่มผู้ก่อสร้าง

เช่นนั้น ท่านก็มิใช่ผู้นำตระกูลสกาเล็ตอีกต่อไป

“เราเฟลิเซีย สกาเล็ต ขอประกาศขับไล่โลแกน ออกจากตระกูลสกาเล็ต เราจะเป็นผู้เลือกเส้นทางของตระกูลเรา เราทำหน้าที่ปกครองชาวโฟลิโออย่างจริงใจ” เฟลิเซียเอ่ยให้ทุกคนได้ยิน

“เจ้า!” ผู้เป็นบิดามีใบหน้าที่แดงเต็มไปด้วยความโกรธ “ข้าคือผู้นำตระกูลที่สืบต่อกันมา ข้าเป็นคนเลือกว่าใครจะเป็นคนถือสกุล เจ้าไม่มีสิทธิอันใดที่จะมาปลดข้าออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูล” เขาเดินไปหาลูกสาว โดยไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเองอีกแล้ว ขณะที่เขาเข้าใกล้หญิงสาวด้วยความฉุนเฉียว เขาก็ถูกห้ามไว้โดยชายร่างเล็ก

เส้นผมสีขี้เถ้าอ่อนมัดในทรงหางม้า นัยน์ตาสีฟ้าอมเขียวที่เย็นช้ามองลึกมายังตัวของเขา ทำให้ต้องหยุดชะงัก โลแกนที่จะตะโกนให้เด็กตรงหน้าถอยออกไป เพราะคิดว่าเป็นคนรับใช้ของเฟลิเซีย แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็น เครื่องแบบทหารของลีโอเนีย เขาสังเกตเด็กสาวที่มาใหม่อยู่ขณะหนึ่ง เครื่องแบบสีเขียวปนแดงเวนิส เอกลักเอกลักษณ์ของกองกำลังอาสาอาริกาเซียที่ถูกส่งไปรบในทวีปของดินแดนแม่

เรื่องราวค่อยๆปะติดปะต่อ เด็กตรงหน้ามิใช่ใครที่ไหน ผู้แทนชั่วคราวของอาริกาเซีย ดักลาส แมริแลนด์ ผู้ที่สามารถแย่งตำแหน่งผู้ว่าราชการเขต 6 ผู้บัญชาการกองกำลังในศึกชนพื้นเมือง ไม่พอแค่นั้นยังเป็นผู้ใกล้ชิดกับนายทหารขุนนางชั้นสูงของลีโอ มันทำให้ชายวัยกลางคนต้องหยุดชะงักความโกรธเอาไว้

“จริงอยู่ที่คุณหนูเฟลิเซียไม่มีอำนาจ” ลาสพูดขึ้น “แต่ตอนนี้พวกเรามี”

!? ด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาด โลแกนหันมองทุกคนในสวนหลังอาคารด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาคิด สายของเหล่าผู้มีอำนาจมองตัวของโลแกนอย่างน่าเวทนา ในขณะที่ทุกอาณานิคมมีปัญหาโลแกนกลับเลือกที่จะอยู่นิ่งเฉย แม้ว่าจะสามารถหลบหนีออกจากโฟลิโอเพื่อไปประชุมหารือปรึกษาในสภานิติบัญญัติ เขากลับเลือกที่อยู่กับลีโอเนียไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ไม่แม้แต่จะตั้งคำถามสงสัยในการฆ่าล้างผู้ที่อยู่ใต้การปกครองของตัวเอง

“การเปลี่ยนผู้นำตระกูลก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือไง ไม่ช้าก็เร็วเฟลิเซียก็ต้องเป็นผู้นำตระกูลอยู่ดี ปล่อยให้คุณหนูที่มีความสามารถได้ทำหน้าที่ก็ดีไม่ใช่หรือไง?” ครั้งนี้เป็นผู้นำตระกูลนิวลีโอที่เป็นคนกล่าว รัฐนิวลีโอนั้นมีปัญหากับโฟลิโออยู่เสมอ หากเขาทำให้ผู้นำตระกูลเสียหน้าได้เขาก็จะทำโดยไม่ลังเล

ใบหน้าของโลแกนนั้นมีใบหน้าที่บิดเบี้ยว ก่อนเขาจะรีบเดินออกจากสวนหลังอาคารด้วยความรวดเร็ว ทิ้งให้ลูกสาวของตนได้ยิ้มออกมาด้วยความสุข เพราะในตอนนี้ตระกูลสกาเล็ตได้เปลี่ยนไปแล้ว

“คุณหนู ท่านลาส” ทั้งสองหันตามเสียงเรียก เป็นคุณแอร์นาที่เรียกทั้งสอง  เธอเดินเข้ามาหาทั้งสองคนก่่อนจะก้มถอนสายบัวเคารพก่อนจะกล่าวออกมา “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”

แน่นอนว่าการกระทำของแอร์นาทำให้หลายคนเริ่มเข้ามาในวงสังสนทนา ผู้ก่อตั้งกลุ่มต่อต้าน เฟลิเซีย สกาเล็ต แอร์นา จวิน และ ผู้แทนจากตอนใต้อีกสองคน ทั้งสี่คนนี้เป็นคนแรกๆที่จัดตั้งการต่อต้านลีโอเนียอย่างลับๆมาก่อนที่ พวกเขาจะค้นพบลาส พวกเขาคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอยู่ครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะลาสจะเปลี่ยนไปพูดคุยกับผู้แทนคนอื่นๆ เพื่อทำความรู้จัก

หากจะพูดแล้ว การพูดคุยในสวนหลังอาคารผู้นำเขต ก็คล้ายคลึงกลับงานเรียนชนชั้นสูงไม่น้อย ยิ่งพูดก็ยิ่งเห็นภาพในโลกเดิมของเขาที่ต้องไปงานเรียนพวกนายทุน เพื่อที่จะหาแรงสนับสนุนพรรคการเมือง… ก่อนที่ภาพของนายทุนคนหนึ่งที่มาขอลาสแต่งงานด้วยแม้ว่าเขาจะเป็นผู้ชายก็ตาม คิดเช่นนั้นลาสก็รีบสะบัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกด้วยทันที

ลาสหันมองหาคนรู้จักของเขา ก่อนจะพบกับจิ้งจอกสาวที่เขาไม่พบเจอหน้ามานาน เราไม่รอช้าเดินเข้าไปทักทันที กลุ่มของจิ้งจอกสาวเป็นกลุ่มพ่อค้านำโดยไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก ประธานอย่างลุงสมชาย

“คุณไวท์?” จิ้งจอกสาวหันตามเสียงของชายหนุ่ม

“ทำไมนายถึงไม่โดนยิงกันนะ?” สิ้นเสียงลาสก็เกือบจะสดุล้มลง แต่ก็พยุงตัวเองเอาไว้ได้ ไม่อย่าจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ลาสเริ่มพูดออกมาเสียงดัง

“กลับมาก็โดนสาปแช่งให้ตาย คุณไวท์จะไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอครับ!?” ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะของลุงสามชายข้างๆไวท์

“ยังจะไม่รู้ตัวอีกหรือ!” จิ้งจอกสาวหยุดชะงักก่อนจะใช้มือชกไปที่หน้าอกของดักลาส และร่ายคำพูดออกมายาวเหยียด “ใครมันเป็นผู้สั่งงานให้กับพวกข้าเยอะแยะจนต้องวิ่งไปทั่วทวีปแห่งนี้กัน? เจ้ารู้ไหมว่าข้าต้องทำเรื่องที่เจ้าร้องขอมาแถบดวงตาแดงก่ำ อดหลับอดนอนเดินทางไปหาคนนู้นคนนี้ รถม้าก็หาใช่สะบาดไม่ ! ไหนจะต้องการคนที่สามารถที่จะกระจายงานเขียนของเจ้าอีก แถมเจ้ายังสั่งให้บูลล์ทำงานเสี่ยงตายกับพวกแบ่งแยกไคโยตี ใช้งานคนเก่งแต่กลับไม่ดูความปลอดภัยของคนอื่น นายนี่มันเลยเกินเสียจริง!?”

มือถูกยกขึ้นมาปกปิดบริเวณหูของตน เสียงกล่าวโทษของไวท์นั้นนอกเสียจากจะดังมากแล้ว มันก็ลากยาวนานจนเกือบจะทำให้หูของเขาชาด้าน “ขอโทษครับ! ขอโทษครับ! ก็มันช่วยไม่ได้นี่นา ที่พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากทุกทางโดยเร็ว”

“ฮ่าๆ เสียชื่อท่านายพลแห่งอาริกาเซียที่น่างดงามหมด” ประธานสมาพันธ์การค้า สมชายกล่าวด้วยนํ้าเสียงที่ตลกขบขัน  ลาสหันไปสนใจลุงสมชายแทน ปล่อยจิ้งจอกส่งเสียงในลำคอด้วยความไม่พอใจ

“ใครเป็นนายพลกันครับ? อาริกาเซียยังไม่จัดตั้งกองกำลังเป็นของตนเองเลย อย่าว่าแต่ก่อตั้งกองทหาร เอาแค่เป้าหมายในตอนนี้ คิดว่าทุกคนจะเลือกอะไรกันแน่” นายพล? ลาสอยากจะหัวเราะออกมา เขาไม่ได้อยากจะเป็นด้วยซํ่า  อย่างน้อยตอนนี้ก็ขอเตรียมตัวย้ายไปอยู่ฝ่ายบริหารค่อยช่วยเฟลิเซียแทนจะดีกว่า

ตอนนี้พวกเขาต้องช่วยกันยกหัวข้อเรื่องสำคัญที่สุด คือสถานะของอาริกาเซีย พวกเขาสู้ไปเพื่ออะไร และเป้าหมายของชัยชนะนั้นคืออันใด อนาคตนั้นหลายคนยังไม่สามารถมองเห็น แน่นอนว่าคนที่เปิดหมอกเส้นทางให้กับอาริกาเซียก็คือตัวเขาเอง

อย่างไรก็ตามความคิดของลาสนั้นก็มาจากนักการเมืองและนักปราชญ์ในโลกใบเดิม ความรู้ที่ถูกถ่ายทอดสืบต่อกันมาก มันอาจจะฟังดูเหมือนยัดเยียดความต้องการของลาสแต่อย่างน้อยเขาก็คิดว่าจะทำให้สำเร็จ

“งั้นสิ่งต่อไปที่พวกเราจะต้องทำก็คือการสร้างเป้าหมายให้กับกลุ่มผู้ปกครองงั้นหรือ?” ลุงสมชายกล่าวถาม

“ไม่ๆ เป้าหมายมันเกิดขึ้นไปนานแล้ว” ลาสชะงัก “แต่เราควรประกาศความข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วหรือไม่”

“หมายถึง ชาติใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นสินะ” ไวท์ยิ้มที่มุมปาก เธอรอคำๆนี้มานานแล้ว

“ผมไม่รู้ว่าพวกเราพร้อมที่จะให้กำเนิดประเทศขึ้นในโลกแห่งนี้หรือไม่ แต่หน้าที่ของพวกเราคือฝึกสอนเด็กน้อยให้เติบโตในโลกที่โหดร้ายแห่งนี้ ให้โอกาส สร้างทางเดินที่ราบรื่นแก่ลูกหลาน…”

“ช่างเรื่องน่าปวดแล้วมาเล่าเรื่องราวบนลีโอเนียให้พวกเราฟังเสียดีกว่า!” ในตาของจิ้งจอกสาวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เหมือนกับกิ้งก่าเปลี่ยนสีใบหน้าของหญิงสาวที่ไม่พอใจกลายเป็นหญิงสาวที่อยากรู้อยากเห็น ทำเขาลาสได้แต่ถอนหายใจออกมายกใหญ่

การพูดคุยระหว่างผู้มีอำนาจจบลงในช่วงเที่ยงวัน ก่อนจะเตรียมตัวเข้าอาคารผู้ว่าการเขต เพื่อทำการประชุมครั้งที่สามของอาณานิคม 11 แห่ง ประธานในที่ประชุมนั่งลงที่มุมหน้าห้อง ในที่ประชุมมีรายชื่อของผู้แทนแต่ละอาณานิคม ตามที่นั่งของตน โดยแต่หลังโต๊ะนั่งมีที่นั่งสำหรับผู้เข้าร่วมอยู่ด้วยเช่นกัน

1. New Leo (นิวลีโอ) :วาเลเรียน  แชมเบอร์ส {Valerian Chambers}
2. Nilfel (นิลเฟล) : เอ็ดเวิร์ด เคลลี่ {Edward Kelly}
3. Josey (โจเซ) : ดรูว์ แมคคอล {Drew Mccall}
4. Walther (วัลเทอร์) : จอห์น แอลลิสัน {John Allison}
5. Charles (ชาร์ลส) : เฟรดดี้ มาร์ติน {Freddie Martin}
6. Folio (โฟลิโอ) : เฟลิเซีย สการ์เล็ต {Logan Scarlet}
7. Ecrispea (เอคริสเปีย) : มานเนส โอเวอร์ไดจ์ค {Mannes Overdijk}
8. Delacour (เดอลากูร์) : นาร์ด ฮอร์สท {Nard Horst}
9. Bergen (เบอร์เกน) : สาลิสา อดราโซซา {Salixa Adrasosa}
10. Cannan (แคนน่าน) : เฮเลน ฮอว์กินส์ {Helen Hawkins}
11. New Sendam (นิวเซนดัม)  : โรบิน มาร์ช {Robin Marsh}

ดักลาสนั่งอยู่ข้างๆเฟลิเซีย ในตอนนี้เขาไม่ได้เป็นผู้แทนอาณานิคม เพราะว่าตำแหน่งนั้นมันเป็นของลีโอเนียหาใช่ตำแหน่งโดยอาริกาเซียไม่ นั้นจึงทำให้เขาเป็นเพียงผู้อาศัยตัวแทนและผู้ช่วยของเฟลิเซียจากรัฐโฟลิโอเท่านั้น

ไม่ช้าประธานในที่ประชุมก็เริ่มกล่าวหัวข้อขึ้นมา

การประชุมว่าด้วยเรื่อง ความสัมพันธ์ของสหจักรวรรดิและอาณานิคมทั้ง 11 รัฐ ต่างคนต่างพยายามยกอภิปรายให้แยกตัวออกจากสหจักรวรรดิในขณะที่บางกลุ่มขอแค่ได้รับสิทธิของตัวเองกลับคืนมาก็เพียงพอแล้ว ลาสนั่งฟังเสียงของที่ประชุมด้วยความรู้สึกที่ชวนให้คิดถึงสภาผู้แทนราษฎร การประชุมที่ไร้วี่แววว่าจะลงเอ่ยเช่นใดกันแน่ การประชุมที่ไม่ได้สาระและไร้ประโยชน์ เฉกเช่นเดียวกับสภาในประเทศโลกเดิมของลาส

“การกบฏ การกบฏ พวกเราทุกคนในที่ประชุมถือว่าเป็นกบฏ นั้นคือความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ สงครามได้มาถึงอีกคราว และพวกเราก็ต้องตอบรับเสียงระฆังเสรีภาพ!” คำกล่าวจากโต๊ะของเอคริสเปีย มานเนสเป็นคนกล่าว แม้ว่าช่วงท้ายที่เขากล่าวถึงระฆังจะเกือบทำให้ลาสที่ดื่มนํ้าชาต้องสำลักออกมา

…พูดถึงระฆังเสรีทีไร ลาสก็รู้สึกอายแทน

“เราขอให้จัดตั้งกองทัพสหอาณานิคม พวกเรามีคนที่ต้องการลุกขึ้นสู้จำนวนมาก แน่นอนว่าอาสาชาวเอคริสเปียจำนวนมากก็พร้อมที่จะเข้าฝึกด้วยเช่นกัน” ไม่ทันได้กล่าวจบ เสียงขัดก็ดังมาจากโต๊ะของนิลเฟล

“แล้วใครจะผู้นำกองทัพกัน?” วาเลเรียนกล่าวขึ้น

เหมือนกับรู้สึกตัวได้ จู่ๆดักลาสก็มีอาการปวดที่ท้องน้อย ลาสที่นั่งดื่มนํ้าชาวางแก้วลงก่อนจะค่อยๆหันหัวยังเฟลิเซียที่ยังคงนั่งยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย ลาสรู้สึกได้ถึงบรรยากาศของห้อง เดจาวู เมื่อว่าตัวเขาจะอยู่ในสถานการณ์การแบบนี้มาก่อนแล้ว

“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ตั้งแต่ศึกระหว่างชนพื้นเมือง ผู้สังหารอสูรกาย จวบจนการเดินทางข้ามนํ้าข้ามทะเลไปยังสนามรบดินแดนแม่ของพวกลีโอเนีย หากเป็นคนที่สามารถนำกองกำลังได้ก็คงต้องเป็นเขา ผู้แทนดักลาส แมริแลนด์” สิ้นเสียง ทุกสายก็หันมามองชายร่างบาง

อ่า ดวงซวยเหมือนติดจรวด คนอื่นในกองกำลังอาสาก็มีตั้งเยอะทำไมต้องเป็นเขา! ดักลาสกรีดร้องออกมาในใจ เขาเพียงแค่รอที่จะปลดเกษียณตัวเองออกจากกองทัพแล้วเข้าไปทำหน้าที่การเมือง แต่จู่ๆก็ถูกมัดมือชกให้เป็นนายพล ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด มือเลื่อนลงมาที่ท้องของตนด้วยความปวด ไม่รู้ว่าทำไมทุกครั้งที่มีความเครียดเขาถึงได้ปวดที่ท้องกัน?

“ท่านดักลาส… หากกองกำลังถูกจัดตั้งขึ้น ท่านยอมรับที่จะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดนำกองทัพนี้หรือไม่” ประธานในที่ประชุมกล่าว

‘ ปฏิเสธไป ลาสนายต้องปฏิเสธ ปฏิเสธและโยนภาระไปให้คนอื่น- ’ ลาสคิดในใจ แต่จู่ๆมือของหญิงสาวข้างๆก็หยิกมายังแขนของลาสจนทำให้เจ้าตัวต้องหันไปมอง ก่อนที่จะรู้ตัวอีกที่เขาก็เห็นรอยยิ้มที่ไม่สามาถรปฏิเสธได้ไปแล้ว… ท้ายที่สุดลาสก็ต้องยอมรับและลุกขึ้นยืนในที่ประชุมและกล่าวตอบ

“หากที่ประชุมเห็นสมควรที่จะให้ผมเป็นผู้บัญชาการ มันก็เป็นเกียรติที่ผมจะได้รับใช้ครับ…” ลาสกล่าวออกมาโดยด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉย ซึ่งก็ทำให้ทุกคนมีความเชื่อมั่นกันมากขึ้น เสียงเคาะโต๊ะเป็นสัญญาณ เห็นด้วย/ตกลง/ยอมรับ มีผู้คนจำนวนมากพยายามเข้าช่วยเหลือ สร้างเสียงดังและความวุ่นวายไปทั่วดินแดน ก่อนจะเริ่มการออกเสียงเพื่อจัดตั้งกองกำลังสหอาณานิคม

ลาสนั่งลงพร้อมกับก้มหัวของตัวเองลงกับโต๊ะไม้ เป็นเกียรติที่ได้รับใช้? ช่างสรรหาคำมาพูดจริงๆ ดักลาสได้แต่หัวเราะออกมาภายในใจ

เพราะการโกหกเป็นเรื่องของนักการเมือง


0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด