ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0061
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0063

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0062


บทที่ 23 เหตุผลที่ข้าอยากเป็นดวงอาทิตย์ (1)

* * *

เพื่อให้เห็นชัดขึ้น ฉันม้วนผ้าคลุมเล็กน้อยและเล็งไปทางที่คลื่นความร้อนพุ่งเข้าใส่ หากผิดพลาดเพียงนิดเดียวอาจทำให้บาดเจ็บสาหัสได้

อย่างไรก็ดี การมองผ่านผ้าคลุมค่อนข้างเป็นอุปสรรค เพราะภาพค่อนข้างพร่ามัว

“กรร—!”

เรลิกซิน่าหันหัวและพุ่งตรงไปทางหอคอยที่จมอยู่ใต้ดิน

ทุกครั้งที่กีบเท้าสัมผัสพื้น เสียงกระแทกจะดังมาจากด้านล่าง พร้อมกันกับของเหลวร้อนๆ ที่กระเซ็นขึ้นมาข้างบน กระทบกับผ้าคลุมที่ปกปิดส่วนปลายเท้าจนเกิดเสียงซู่ซ่า

หอคอยเริ่มขยายใหญ่ ยิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งตระหนักถึงขนาดอันน่าทึ่ง

ทั้งที่จมลงไปจนเหลือแต่ยอด แต่กลับใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ ขนาดจริงจะสักแค่ไหนกัน

หลากหลายจินตนาการเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ด้านใน ท่วมท้นความคิดของฉันในพริบตา

เมื่อระยะห่างใกล้มากพอ ได้เวลาเตรียมตัวก่อนลงมือ

ฉันเลื่อนเท้าออกจากโกลนและนั่งยองๆ บนหลังม้า ตามด้วยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อและจับเข็มชี้ทองคำ

จากนั้น

กริ๊ก!

สะกิดอัญมณีด้วยนิ้วโป้งและรีบดึงออกมา

เมื่อถอนมือออกจากชายเสื้อ สิ่งที่ฉันกำลังถือคือคันธนู ไม่ใช่อัญมณี

“เรลิกซิน่า”

“ฮี่—!”

“ไปซ่อนตัวในที่ปลอดภัย ถ้ากลับมาแล้วฉันจะส่งสัญญาณบอก เข้าใจใช่ไหม”

“กรร!”

เรลิกซิน่าวิ่งผ่านหน้าต่างโดยไม่ลดความเร็วลง

ในเวลาเดียวกัน ฉันกอดลิลี่และกระโดดเข้าไปในหน้าต่าง

“อึก—!”

ผ่านกรอบหน้าต่างเข้าไป สิ่งแรกที่เห็นคือทิวทัศน์อันมืดมิดและผาที่น่าจะสูงหลายสิบเมตร

ฉันหันหลังกลับ เล็งคันธนูไปทางหน้าต่างและยิงลูกศรเชือกออกไป

ทันทีที่ตะขอเกี่ยวกับกรอบหน้าต่างแน่น ฉันจับเชือกพันแขนตัวเองสองสามรอบ

ปึด!

เมื่อเชือกตึง พวกเราค้างอยู่ในท่าโหนตัวด้วยเชือก ลิลี่กำลังถูกแขนข้างหนึ่งของฉันโอบกอด ส่วนเธอก็กอดเอวของฉันไว้แน่นพลางใช้ศีรษะซุกใต้ผ้าคลุม

ความเงียบเข้าครอบงำทันที จากที่นี่ เราได้ยินเสียงฝน เสียงแผ่นดินเดือด และเสียงลมกระโชกดังมาจากด้านนอก

ในท่าลอยค้างกลางอากาศ ฉันกลั้นหายใจและมองไปรอบตัวเพื่อตรวจสอบสถานการณ์

“…เจ้า”

ลิลี่เปล่งเสียงแผ่วเบาจากใต้ผ้าคลุม

“ไว้ค่อยคุยกัน”

“ขอเวลาคุยแค่ครู่เดียวก็ไม่ได้หรือ”

ฉันหายใจลำบากเพราะเมื่อครู่ใช้แรงไปมาก แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าเป็นเพราะกำลังตื่นเต้นหรือเหนื่อยกันแน่

ลิลี่ปล่อยมือจากเอวของฉันและจับเชือกไว้แทน ท่าทางคล้ายแมวที่คล่องแคล่ว เธอเตะอากาศสองสามครั้งก่อนจะใช้เท้ายันกำแพง

ถึงตรงนี้ ร่างกายของฉันเบาลงอย่างเห็นได้ชัด

และนั่นทำให้ฉันกล้าเคลื่อนไหวเสี่ยงๆ

เมื่อลงถึงพื้น ฉันพับผ้าคลุมพันรอบเอว

“เจ้าเรียนการยิงธนูบนหลังม้ามาจากไหน”

ค่อนข้างผิดคาด คำถามแรกของลิลี่ไม่ได้เกี่ยวกับขั้นตอนในการเข้ามาในหอคอย

“เคยฝึกเมื่อนานมาแล้ว นึกว่าจะได้ใช้ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตสักเท่าไร”

ลิลี่พยักหน้า

“ฉันลองมาหมดแล้ว ทั้งยิงธนู ยิงธนูบนหลังม้า หอกซัด…”

“ฝึกไปทำไม”

“เธอก็รู้ว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าอาหาร… แล้วรู้ไหมว่าอะไรดีที่สุด”

“หอกซัด?”

“กับดัก… อันเดียวจบ ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องฝึกซ้อม ความเสี่ยงต่ำ… ตรงตามหลักการ ยิ่งขยับร่างกายน้อยก็ยิ่งดี”

“…ไม่ได้ดูสารรูปตัวเองเมื่อครู่เลยใช่ไหม”

ลิลี่มองฉันด้วยสีหน้าแปลกประหลาด คล้ายกับคนที่เห็นคัพเค้กในเตาอบพังไม่เป็นท่า

“ข้าไม่ขำด้วยหรอกนะ”

“เอาน่า”

ฉันกวาดตาไปยังทิวทัศน์โดยรอบ เพดานบางส่วนพังเสียหาย ช่วยให้แสงสว่างลอดเข้ามาจนเห็นสภาพแวดล้อมรอบตัว

สิ่งที่พวกเรากำลังเหยียบมีลักษณะคล้ายบันไดขนาดใหญ่ ด้านในหอคอยกว้างกว่าที่ฉันคิดไว้มาก และยังมีบันไดวนม้วนไปตามผนัง

ใจกลางบันไดวนคือต้นเสาขนาดใหญ่

ต้นเสามหึมา กว้างประมาณยี่สิบคนโอบ สูงจากพื้นจรดเพดาน

“คิดว่ามันคืออะไร”

ฉันชี้ไปที่เสา

“…ทางเดินลับ? หรือเป็นแค่ต้นเสาที่ค้ำจุนหอคอย?”

ฉันพยักหน้าให้คำพูดลิลี่

“ก็อาจจะใช่ แต่ลองดูรอบๆ ให้ดี”

หอคอยหลังนี้มีรูปทรงคล้ายกรวยที่โค้งมน

“โครงสร้างแบบนี้ไม่จำเป็นต้องมีต้นเสาค้ำยัน มันไม่มีประโยชน์ เปลืองเนื้อที่และทรัพยากรโดยใช่เหตุ”

ลิลี่พยักหน้าเห็นด้วย

“มีไว้ใช้ทำอะไรสักอย่างสินะ”

“ฉันคิดออกหนึ่งอย่าง”

คันธนูถูกยกขึ้นและเล็งไปทางต้นเสา ลูกศรในคราวนี้คือธนูไฟ

ส่วนปลายยังคงเป็นผ้าชุบน้ำมัน ทว่า ส่วนปลายสุดไม่ใช่หัวคม แต่เป็นหัวดูดสุญญากาศ

ฉันยิงมันใส่ต้นเสา

แปะ!

หัวธนูดูดติดผิวต้นเสา ปลายศรสั่นเล็กน้อยก่อนจะหยุดลง

ลิลี่กับฉันจ้องฉากดังกล่าวอย่างตั้งใจ

ทันใดนั้น

พรึบ!

โดยไม่ต้องทำอะไร ผ้าชุบน้ำมันบนลูกศรติดไฟเอง

“…ความร้อนสูง”

“น่าจะเป็นท่อส่งพลังงาน คอยดึงพลังงานบางชนิดจากใต้หอคอยขึ้นมาสู่ยอด”

“อ้อ… ถ้าอย่างนั้นพายุที่แผ่ออกจากหอคอยก็…”

หงึก

“คงดึงพลังงานมาจากด้านล่างหอคอย และนั่นคือเหตุผลที่พื้นดินบริเวณนี้เดือดปุดๆ”

ทั้งที่เพิ่งเข้ามาในหอคอย แต่ฉันค้นพบเบาะแสบางอย่างแล้ว

“เจ้าจะลงไปสำรวจไหม”

“ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นสุริยเทพ, หอคอยที่สร้างขึ้นเพื่อให้ตัวเองกลายเป็นเทพ, จากนั้นก็ได้รับคำสาปจากเทพแท้จริงจนถูกฝังอยู่ใต้ดิน, และพลังงานบางอย่างที่อยู่ด้านล่างทำให้พื้นเดือด”

“…”

“เธอไม่อยากรู้ความจริงที่ซ่อนอยู่หรือ”

หันไปทางลิลี่ ฉันจ้องเธอด้วยรอยยิ้มจางๆ

“ลงไปข้างล่างกันเถอะ”

“อื้อ”

ฉันหยิบก้อนหินใกล้ๆ ขึ้นมาและลองโยนลงไป

“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก…”

หือ?

“สิบ สิบเอ็ด สิบสอง สิบสาม สิบสี่…”

ลิลี่กับฉันมองหน้ากัน

ไม่ว่าจะนับนานแค่ไหน ก็ไม่มีเสียงใดดังกลับมา

“…ไม่ลึกไปหน่อยหรือ”

“อาจจะเป็นเหตุผลอื่น”

มีหลายปัจจัยที่ทำให้เสียงดังมาไม่ถึงตรงนี้ ยังเร็วเกินไปที่จะสรุป

ในเวลาแบบนี้ ความรอบคอบคือสิ่งสำคัญ เนื่องจากการไต่เชือกลงไปมีความเสี่ยงสูงเกินไป เราจึงตัดสินใจเดินลงบันไดแทน

เมื่อวนครบสองรอบ เราพบประตูที่ทะลุไปยังผนังด้านนอก เชื่อมต่อกับทางเดินยาว

ฉันสลักอักษรรูนที่มีความหมาย ‘ไฟ’ ไว้บนพื้น

“คาห์สkaahz”

“ทำสัญลักษณ์?”

“เส้นทางน่าจะซับซ้อน ก็เลยทำเครื่องหมายทิ้งไว้”

พวกเราเดินลงไปโดยไม่หยุดพัก แม้จะกระตือรือร้น แต่เนื่องจากหอคอยค่อนข้างลึก ทุกครั้งที่เจอทางลัด เราจะไต่เชือกลงไปเพื่อเพิ่มความเร็ว

ยิ่งลงข้างล่างลึก ความร้อนก็ยิ่งรุนแรง เมื่อถึงจุดที่ทนไม่ไหว ผ้าคลุมไหมสวรรค์ถูกนำออกมาคลุมร่างกาย

ลิลี่สัมผัสมันด้วยสีหน้าซับซ้อน

“…ผ้าที่ทำจากรังไหมปรสิต”

“เยี่ยมไปเลยใช่ไหม”

หลังจากแก้ปัญหาด้านความร้อน ในที่สุดเราก็มาถึงโถงทางเดินใหญ่

“ห้องเก็บวัสดุก่อสร้าง”

มีวัสดุก่อสร้างของคนโบราณวางเกลื่อน ทั้งพลั่ว เชือกเก่า และ…

“พิมพ์เขียว”

ได้ยินคำพูดของฉัน ลิลี่รีบวิ่งมาดู

เป็นพิมพ์เขียวที่อธิบายโครงสร้างของหอคอยหลังนี้ ดูเหมือนว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว

พิมพ์เขียวเขียนบรรยายไว้ละเอียดมาก มองครู่เดียวก็ทราบจุดประสงค์และโครงสร้างทั้งหมดของหอคอยทันที

“…ดูยังไงก็สุสาน”

ตำแหน่งที่สำคัญที่สุดอยู่ใกล้กับบริเวณใจกลางหอคอย

ที่นั่นมีโลงศพขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และมีสิ่งที่คล้ายดวงดาวลอยอยู่ด้านบน

ฉันมองหน้าลิลี่

“นี่ใช่หอคอยที่สร้างเพื่อไปให้ถึงสวรรค์จริงหรือ”

“ตำนานเล่ากันมาอย่างนั้น…”

ตำนานที่เล่าต่อๆ กันมาส่วนใหญ่มักถูกบิดเบือน ไม่สิ ทั้งหมดล้วนถูกบิดเบือน

ในบางกรณี คนชั่วจะกลายเป็นคนดี และคนดีจะกลายเป็นคนชั่ว

บางที ครั้งนี้ก็เช่นกัน

คล้ายกับลิลี่คิดแบบเดียวกับฉัน

“…ผู้ที่อุปโลกน์ตัวเองเป็นสุริยเทพ อาจพยายามทิ้งบางสิ่งไว้ที่นี่”

“เมื่อลองนึกดูให้ดี เกี่ยวกับเสียงตะโกนที่มาพร้อมกับพายุ ‘ผู้ไร้คุณสมบัติไม่มีสิทธิ์ข้ามหลุมศพ’ …”

หากตีความในอีกแง่มุม นั่นหมายความว่าผู้ที่มีคุณสมบัติ จะมีสิทธิ์ข้ามหลุมศพ

“…ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสัย”

“เราได้พิมพ์เขียวมาแล้วนี่ ลงไปดูกันเถอะ ข้าคิดว่าที่นั่นคงอยู่ไม่ไกล พวกเราไม่จำเป็นต้องลงไปถึงชั้นล่างสุด”

เผลอครู่เดียว ลิลี่เริ่มสนุกกับโบราณสถานแห่งนี้แล้ว อาจจะมากกว่าฉันด้วยซ้ำ

“เกี่ยวกับสุริยเทพองค์ที่สี่ ข้าเคยอ่านในหนังสือสมัยยังเป็นเด็ก เรื่องราวของเขาโด่งดังมากในดินแดนของข้า”

“อย่างนี้นี่เอง”

“ท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังบ่อย เพราะท่านชอบความทะเยอทะยานของตัวละคร”

เข้าใจแล้วว่าทำไมลิลี่ถึงอินกับหอคอยนัก

เรื่องราวที่เคยอ่านจากหนังสือในวัยเด็ก กลายมาเป็นความจริงในภายหลัง?

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า สิ่งนี้ทำให้เธอใจเต้นมากแค่ไหน เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย ต้องสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้นจึงจะเข้าใจ

“มัวรออะไรอยู่”

ฉันยืนมองลิลี่ที่เดินลงไป สักพักเธอหยุดและหันกลับมาจ้อง ฉันจึงเริ่มเดินต่อด้วยรอยยิ้ม

ถัดมา พวกเรามาถึงบันไดวนทรงกระบอกขนาดเล็ก ทางเดินคับแคบเกินกว่าจะเดินพร้อมกันสองคน

“ถ้าเจอทางเดินแบบนี้ เดาได้เลยว่าข้างล่างจะเป็นห้องกว้างๆ ที่มีความซับซ้อนสูง”

ลิลี่พยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูด

“บันไดคุกใต้ดินของราชวงศ์ข้าก็เป็นเช่นนี้…”

ลิลี่ชะงักคำพูดกลางคัน

ต้องขอบคุณไหวพริบของเธอ เพราะถ้ายังพูดต่อไป ฉันคงต้องเอื้อมมือไปปิดปาก

「*&$#@…….」

ลิลี่ก้มมองลงไปตามขั้นบันได ก่อนจะหันกลับมามองฉัน

เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ฉันรีบยกนิ้วขึ้นมาจ่อปาก

「*&$#@…….」

เป็นเสียงพูด

เสียงพูดดังมาจากด้านล่าง

‘ใช่คำสั่งที่เราได้ยินจากข้างบนไหม? ประโยคภาษารูน?’

ลิลี่ขยับปากสื่อสารกับฉันโดยไม่เปล่งเสียง

ฉันจดจ่ออยู่กับการฟังสักพักก่อนจะส่ายหน้า

เสียงนี้คล้ายกับบทสวดมากกว่า

และไม่ใช่แค่คนเดียว แต่เป็นเสียงพูดของคนไม่ต่ำกว่าสิบ

ไหนบอกว่าที่นี่ถูกทอดทิ้งมานานแล้ว?

ไหนบอกว่าหอคอยสร้างขึ้นหลังจากจบยุคทองครั้งก่อนได้ไม่นาน?

ฉันจับไหล่ลิลี่และดึงไปข้างหลัง

คราวนี้ฉันเป็นคนนำทาง พวกเราลดเสียงฝีเท้าให้เบาที่สุดและค่อยๆ ย่องลงไปตามขั้นบันได

แน่นอนว่าฉันไม่ลืมเก็บลูกไฟที่เสกขึ้น หากมีแสงสว่างเล็ดลอดแม้เพียงเล็กน้อย นั่นอาจเป็นหายนะ

เมื่อพวกเราลงมาถึงชั้นล่าง ทางเข้าเป็นเพียงกรอบประตูเปล่าๆ

ฉันแนบตัวชิดกับกำแพง จากนั้นก็ค่อยๆ ยื่นหน้าออกไปอย่างเชื่องช้าประหนึ่งหอยทากชะโงก

ข้างในนั้น… มีดวงดาว

‘…ดาว?’

ใจกลางห้องคือหลุมศพ และมี ‘ดาว’ ลอยอยู่ด้านบน

กลุ่มคนที่มีผมสีแดงกำลังพึมพำภาษาที่ฟังไม่ออกอยู่รอบดวงดาว

ผมสีแดงแบบนี้ ฉันเคยเห็นมาก่อน

ฉันกลับไปสนใจดวงดาวอีกครั้ง

หากว่าไม่เคยเรียนวิทยาศาสตร์และไม่รู้ว่าดาวบนท้องฟ้าคือดาวฤกษ์ ฉันคงจินตนาการว่าดาวมีรูปร่างเช่นนี้

ดาวสีน้ำเงินสุกสว่างกำลังลอยอยู่เหนือหลุมศพ

ลิลี่ค่อยๆ ยื่นหน้าออกมาด้วยความระมัดระวัง และเมื่อเห็นสิ่งเดียวกัน เธอรีบปิดปากตัวเอง

‘นั่นมัน…’

ลิลี่ไม่กล้าพูดส่งเดช คล้ายกับพยายามไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ว่าตนเข้าใจถูกต้องแล้วหรือไม่

ครุ่นคิดสักพัก ลิลี่มั่นใจ

‘ดารากร’

ลิลี่จ้องหน้าฉันพลางกระซิบอีกครั้ง

‘ดารากรที่ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ หรือไม่ก็ดารากรที่ร่วงหล่นด้วยเหตุผลบางอย่าง’

หรือถ้าไม่ใช่ทั้งสองกรณี

อาจจะเป็นดารากรที่ถูกลักพาตัวมา

ขณะมองไปยัง ‘ดาว’ ที่ถูกล่ามโซ่และผนึกด้วยคาถานานาชนิด ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดเช่นนั้น

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (3/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด