ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0060
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0062

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0061


บทที่ 22 ทัศนคติที่นักผจญภัยมีต่อยุคสมัย (4)

* * *

ได้ยินเสียงเรียกจากคณะแสวงบุญ สตรีผมแดงก้มศีรษะให้ฉันและกล่าว

“ขอให้เหล่าเก้าเทพอวยพรท่าน”

“นี่! ลูกหลานดวงดาว”

ซอจีอาเรียกนักแสวงบุญที่หันหลังและรีบเดิน

“เจ้าชื่ออะไร”

“วีว่าซิสซิโม่”

“นั่นมันชื่อสกุล ชื่อเต็มคืออะไร”

“ลูกหลานดวงดาวไม่มีชื่อส่วนตัว พวกเราล้วนอุทิศตนแด่เทพ”

“แต่เจ้าต้องมี เพราะเจ้าคือตระกูลผู้ปกครอง”

สายตาซอจีอาค่อนข้างเฉียบคม

นักแสวงบุญหันหัวกลับมามอง

“รู้เยอะเช่นนี้… ไม่สมเป็นกับเผ่าพันธุ์ที่ชอบเก็บตัวอย่างเอลฟ์เลยนะ”

“ไม่เหมือนกันเอลฟ์ตนอื่น ข้าไปนั่นมานี่ค่อนข้างบ่อย จึงมีโอกาสได้ฟังเรื่องราวมากมาย”

“ท่านคือเอลฟ์ผู้มีโฉมนักพเนจร? ข้าเคยได้ยินแค่ในข่าวลือ”

กล่าวจบ เธอหันมามองเราสามคน

“…ท่านทั้งสามล้วนเป็นผู้ปกครอง? ถ้าเช่นนั้น คงเป็นกลุ่มที่สั่นระฆังเอล โรคร่า เบลล่าสินะ”

ซอจีอาพยักหน้ารับแทนทุกคน นักแสวงบุญหันไปมองคณะและหันกลับมามองพวกเราอีกครั้ง

สีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดในหลายสิ่ง ฉันอาจจะคิดไปเอง แต่ดูเหมือนว่าดวงดาวในดวงตาเธอเคลื่อนไหวเร็วขึ้น

“ได้โปรดรับสิ่งนี้ไว้”

เธอยื่นจี้เส้นหนึ่งให้ฉัน

“เครื่องรางที่มีพลังคุ้มครองจากอุนเดรา ช่วยให้เดินทางได้ราบรื่น”

“ทำไมถึงทำเพื่อฉันขนาดนี้?”

“ถ้าเจ้าไปถึงบัลลังก์ ภาระของพี่สาวข้าก็จะลดลง”

ขณะรับจี้ห้อยคอ จุดที่ปลายนิ้วฉันสัมผัสโดนร้อนกว่าที่คิด

“ขอให้เส้นทางสู่บัลลังก์ของท่านราบรื่น”

นักแสวงบุญหันหลังกลับและเดินตรงไปทางคณะใหญ่

ก่อนจะไป เธอหันศีรษะกลับมาเล็กน้อยและทิ้งท้าย

“ชื่อของข้าคือเอลลี่… เอลลี่·วีว่าซิสซิโม่”

พวกเราจ้องฉากดังกล่าวอยู่สักพัก จมอยู่กับความคิดของแต่ละคน ก่อนที่ซอจีอาจะใช้ศอกแยงฉัน

“ข้าบอกเจ้าแล้ว ไม่ใช่ผู้ปกครองทุกคนที่ต้องการบัลลังก์”

“อา… พอจะเข้าใจแล้วว่า เรื่องราวอาจไม่ได้น่าปวดหัวอย่างที่คิด”

“ใช่ เส้นทางที่นำไปสู่ที่นั่น อาจไม่มีการแข่งขันเกิดขึ้นเลย”

หงึก

ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวของวีว่าซิสซิโม่สักเท่าไร

ฉันไม่ได้ทำตัวเย็นชากับชาวต่างโลก แค่รู้สึกว่าเป็นเรื่องไกลตัว

ก้มมองจี้ห้อยคอ เครื่องรางชนิดนี้ทำจากโลหะเงินที่มอบความรู้สึกอ่อนนุ่ม

หลังจากนำมาสวมไว้ที่คอและเก็บไว้ใต้เสื้อ หน้าอกของฉันรู้สึกค่อนข้างเย็น

* * *

ฉันตรวจสอบอานบนหลังเรลิกซิน่าอย่างละเอียด เพราะถ้าเกิดหลุดระหว่างทาง นั่นจะกลายเป็นหายนะ จำเป็นต้องตรวจสอบหลายชั้นเพื่อยืนยันความปลอดภัย

ในช่วงท้ายของการเตรียมตัว ใครบางคนเดินเข้าใกล้กระท่อม

เป็นใบหน้าที่คุ้นเคยดี

“คุณซอนฮู! ไม่ได้เจอกันนาน!”

เป็นจินซอยอน สตรีคลั่งการวิจัยของ OWIC เมื่อเห็นเธอวิ่งเข้ามาพร้อมกับผมกระเซิง เดาได้ไม่ยากว่าคงโหมทำงานติดต่อกันหลายวัน

“ได้ยินว่าคราวนี้จะไปทางเหนือใช่ไหม และไม่ใช่แค่วันสองวัน”

“คุณก็รู้ด้วยหรือ”

“ฉันขอโทษถ้ามันเป็นความลับ คุณก็รู้ว่าบริษัทของเราสกปรกแค่ไหน”

หงึก ฉันไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะรู้ดีว่า OWIC คอยจับตามองทุกฝีก้าว

“ผมจะออกเดินทางแล้ว มาเพื่อดูเจ้านี่หรือ”

“มาเพื่อดู…? ฉันไม่ได้จะมาดูอะไร… ว้าว! สุดยอด!”

จินซอยอนอ้าปากค้างทันทีที่เห็นเรลิกซิน่า จากนั้นก็ส่ายศีรษะ

“ฉันมีคำถามมากมายในหัว แต่ขอเก็บไว้ในใจก่อน วันนี้ฉันมาเพื่อขอร้อง”

“ส่วนตัวหรือบริษัท”

“ส่วนตัว! ฉันหมดรักกับบริษัทแล้ว จะให้เชื่อใจบริษัทที่หลอกพนักงานตัวเองได้ยังไง”

ดูเหมือนว่าเธอจะหงุดหงิดมาก ในเรื่องที่ถูก OWIC ปกปิดความจริงเกี่ยวกับกำแพงตะวันออก

จินซอยอนเผยสีหน้าตื่นเต้น

“ถ้าคุณจะขึ้นเหนือ… ลองดูนี่”

จินซอยอนยื่นแผนที่ให้

“นี่คือ?”

“ในตอนที่ประตูมิติเปิดออกใหม่ๆ ทางเราส่งทีมสำรวจทางไกลขึ้นเหนือ สิ่งที่เรารู้ในเวลานั้นกับปัจจุบันแทบจะไม่แตกต่าง”

“สมัยที่ยังไม่มีความกลัวสินะ”

“แล้วรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ทุกคนจะรอดกลับมาได้ แต่ก็บาดเจ็บหนักกันถ้วยหน้า นับแต่นั้นเป็นต้นมา การสำรวจทางเหนือได้ยุติลงเพราะบริษัทมองว่าไม่คุ้มทุน”

“แล้วยังไงต่อ”

“นี่คือรายงานสรุปที่เราเขียนขึ้นหลังจากเหตุการณ์นั้น”

ตอนนี้จินซอยอนกำลังนำความลับบริษัทมาเปิดโปงโดยไม่เกรงกลัว ฉันได้แต่นึกสงสัยว่าทำแบบนี้ได้ด้วยหรือ

แต่ก็ไม่สำคัญ นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉันสักหน่อย และจินซอยอนก็กำลังดูสนุก

เธอชำเลืองรายงานที่ยื่นมาให้ฉัน บนนั้นมีแผนที่ซึ่งวาดอย่างหยาบๆ

ถัดขึ้นไปจากแม่น้ำสายใหญ่ทางตอนเหนือ ทุ่งกว้างขนาดใหญ่ถูกถมดำเป็นวงกว้าง

“ตรงนี้ร้อนมาก แผ่นดินเดือดปุดๆ ราวกับสไลม์สีดำ”

ฉันเคยได้ยินมาบ้างแล้ว

“ทีมสำรวจมาได้ไกลที่สุดแค่นี้และถอนตัวกลับทันที ขณะนั้นได้บันทึกเสียงไว้ด้วย”

“เสียง?”

“ใช่ บันทึกจากจุดที่มีเปลวไฟลุกโชนบริเวณใจกลางทุ่งกว้างความร้อนสูง…”

คราวนี้จินซอยอนนำเครื่องบันทึกเสียงออกมา

“ฉันได้ยินบางสิ่งแปลกๆ ปะปนมากับเสียงทั่วไป”

“เสียงแปลกๆ?”

“ลองฟังดู”

จินซอยอนกดปุ่มเล่น

ทันใดนั้น

— อ๊ากกกกก! บึ้ม!

เสียงคำรามดังออกจากลำโพงเครื่อง เนื่องจากเปิดด้วยความดังสูงสุด ลิลี่ที่กำลังจัดของอยู่ด้านหลังถึงกับสะดุ้ง

“…ไม่เห็นได้ยินอะไรนอกจากเสียงลำโพงแตก”

“ไม่ใช่! ลองฟังให้ดี”

เสียงที่บันทึกไว้ในตอนนั้นมีข้อจำกัดด้านคุณภาพ ส่งผลให้ฉันที่มั่นใจในโสตประสาท ก็ยังมิอาจจำแนกเสียงผิดปรกติได้ในครั้งแรก

แต่ถึงอย่างนั้น จินซอยอนแสดงท่าทีมั่นใจว่าต้องมีอะไรแน่นอน

เธอกดปุ่มเล่นอีกครั้ง

— อ๊ากกก!

ท่ามกลางเสียงเหล่านั้น

『%$&#%……!』

ฉันได้ยินบางสิ่ง

“หือ…”

“ได้ยินแล้วใช่ไหม? บอกแล้วฉันไม่ได้คิดไปเอง!”

จินซอยอนออกท่าทางตื่นเต้นเมื่อเห็นการตอบสนองของฉัน

“ฉันบอกแล้วว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ไม่มีใครยอมเชื่อเลย! ฉันพูดถูกใช่ไหม?”

“เดี๋ยวก่อน ยังเร็วเกินไปที่จะตื่นเต้น ขอฟังอีกครั้ง”

กดปุ่มเล่นใหม่ คราวนี้ฉันหลับตาฟังและเพ่งสมาธิทั้งหมดไปยังโสตประสาท

ช่วงแรกเป็นเสียงระเบิดสนั่นหวั่นไหว คงเพราะถูกพายุพัดใส่โดยตรง ไมโครโฟนจึงเสียงแตกในพริบตา

และในระหว่างนั้น มีเสียงของบางสิ่งผสมอยู่

ดังชัดเจนและ… มีความหมาย

“…”

ขณะฉันจมอยู่กับความคิด จินซอยอนรีบปิดปากสนิทเพราะไม่อยากรบกวน ถึงกับกลืนน้ำลายอึกใหญ่

“สุริยเทพผู้ร่วงหล่นหลับใหลอยู่ด้านล่าง… เล่นใหม่”

จินซอยอนกดปุ่มเล่นใหม่ทันที

เป็นเสียงพูดไม่ผิดแน่ แถมยังมีความหมาย

หลังจากได้ยินครั้งหนึ่ง ความหมายของประโยคเริ่มชัดเจนขึ้น

“สุริยเทพผู้ร่วงหล่นหลับใหลอยู่ด้านล่าง ผู้ไร้คุณสมบัติไม่มีสิทธิ์ข้ามหลุมศพ”

“ได้ยินใช่ไหม? คุณแน่ใจนะว่ามีความหมายแบบนี้?”

“…ใช่ เป็นภาษารูน”

“นั่นไง!”

จินซอยอนกระโดดโลดเต้น

“คิดไว้แล้วว่าคุณซอนฮูต้องฟังภาษารูนออก! ครั้งล่าสุดคุณก็พูดภาษารูนให้เราได้ยิน!”

“อาฮะ”

“มีบางสิ่งอยู่ด้านล่างสินะ… ใช่แล้ว ไม่อย่างนั้นจู่ๆ พื้นดินจะเดือดปุดๆ เองได้ยังไง”

“นั่นมัน… เจ้ากำลังอนุมานแบบมีอคติ”

“แต่ถึงจะเป็นต่างโลก ก็ต้องอ้างอิงจากหลักสามัญสำนึกอยู่บ้างไม่ใช่หรือ”

จินซอยอนไม่หวั่นไหวกับความเห็นของซอจีอา

“นี่คือคำขอร้องจากฉัน”

“จะให้ทำอะไร”

“ได้โปรดสืบว่าสิ่งนั้นคืออะไร… ถ้าเป็นไปได้ล่ะนะ”

“แค่นี้? แล้วจะจ่ายด้วยอะไร?”

“จะมีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกล่ะ!”

ฉันหวนนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งจินซอยอนตัดสินใจว่าจะจับมือเป็นหุ้นส่วน

สิ่งเดียวที่เธอปรารถนาคือการไขปริศนาต่างๆ ในต่างโลก

ช่างน่าขัน สิ่งที่คอยขับเคลื่อนหญิงสาวผู้คลั่งการวิจัยจนร่างกายทรุดโทรม คือความโรแมนซ์ซึ่งเป็นรากเหง้าของเธอ

“…คุณนี่ก็แปลกคน”

“ก็เหมือนกับตอนที่ข้ามองเจ้า”

คำพูดซอจีอาเรียกเสียงหัวเราะจากทุกฝ่าย

“ตกลง ผมก็อยากรู้ความจริงเหมือนกัน จะพยายามตรวจสอบให้ถ้าเป็นไปได้”

“ขอบคุณมาก! ถ้ามีเวลาเหลือ ช่วยเก็บตัวอย่างแถวนั้นมาด้วยจะดีมาก”

หงึก

ลิลี่เตรียมสัมภาระเสร็จแล้วและกำลังยืนถือบังเหียนเรลิกซิน่ารอ

ไว้ค่อยเล่าให้เธอฟังระหว่างทางก็แล้วกัน

“พยายามเข้านะคะ คุณซอนฮู”

“ไม่ต้องห่วง ผมยังต้องสำรวจโลกนี้อีกเยอะ ไม่ตายง่ายๆ ที่นั่นหรอก”

ซอจีอาเผยสีหน้ากังวล

“…เจ้าไม่สงสัยหรือว่าทำไมข้าถึงยกคันศรให้”

ผู้ปกครองล้วนเบื่อหน่ายชะตากรรมของตน ฉันคิดว่าพอจะเข้าใจเหตุผลของซอจีอาคร่าวๆ แล้ว

ดูเหมือนว่าซอจีอาอยากใช้ชีวิตแบบเอลฟ์ทั่วไปสักครั้ง

ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนจนกระทั่งเธอถาม

เมื่อขึ้นขี่เรลิกซิน่า ฉันสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มของอาน ชนิดที่ต่อให้วิ่งนานๆ ก็ไม่เมื่อย

หลังจากฉันเคาะเบาะหลัง ลิลี่กระโดดขึ้นมานั่งและจับชายเสื้อของฉันแน่น

“ฮี่—!”

ฉันลูบไล้ลงบนแผงคอที่ลุกไหม้ของเรลิกซิน่า

น่าทึ่งมาก มันมอบความรู้สึกคล้ายเส้นขน แม้จะเป็นไฟแต่กลับเย็นๆ

「เป็นผลจากการบรรจุวิญญาณเสือขาวลงในม้าโลกันตร์ ให้นายท่านคิดเสียว่า เป็นพลังธรรมชาติที่เอ่อล้นออกจากภาชนะ」

ฉันพยักหน้ารับคำอธิบายของเซลฟี

หันไปมองจินซอยอนกับซอจีอาสักพัก ฉันยกมือโบก พวกเธอก็ยกและโบกกลับ

“เดินทางปลอดภัยนะ ฉันจะรอ”

ฉันยังคงสัมผัสถึงมือของลิลี่ที่จับชายเสื้อด้านหลัง ถ้าจำไม่ผิด บนอานม้าก็มีที่จับไม่ใช่หรือ

แต่ใช่ว่าลิลี่จะไม่รู้สักหน่อย

ฉันใช้เท้าตบสะโพกเรลิกซิน่าแผ่วเบา

“ฮี่—!”

กุบกับ—

เรลิกซิน่าเริ่มออกวิ่งด้วยความเร็วที่เหนือความคาดหมาย

* * *

ขณะผ่านทุ่งกว้างทางทิศเหนือ รอยเท้าสีฟ้าของเรลิกซิน่าถูกฝากไว้บนพื้นสักพักก่อนจะเลือนหาย

ด้วยความสัตย์จริง ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรนัก เพราะเดิมที ม้าโลกันตร์ของไวลด์ฮันต์จะวิ่งบนท้องฟ้า จึงไม่คิดว่าจะทำความเร็วได้มากมายอะไรบนพื้นดิน

แต่ตอนนี้คงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงแล้ว

“ลิลี่”

“อื้อ”

แม้จะอีกฝ่ายอยู่ด้านหลัง แต่ฉันยังพูดคุยกับลิลี่ได้ตามปรกติ การที่ยังสนทนาท่ามกลางความเร็วสูงได้เช่นนี้ มอบความรู้สึกคล้ายกับกำลังนั่งสบายๆ อยู่ในรถ

ไม่สิ คนข้างหลังอาจจะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน

“ถ้ารู้สึกเวียนหัวก็บอกได้นะ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง”

พวกเรายังคงมุ่งหน้าไปตามทุ่งกว้างทิศเหนือ ทิวทัศน์ดูคล้ายกับทุ่งกว้างฝั่งตะวันตก แต่ผ่านไปราวสามสิบนาทีก็มาถึงแม่น้ำที่ไหลขวางทิศเหนือไว้ทั้งหมด ชื่อของมันคือ ‘แม่น้ำก่อนรุ่งสาง’

เจ้าหน้าที่ OWIC กำลังยืนรอฉันพร้อมกับเรือ

“กำลังรออยู่เลยครับ”

เป็นเพราะเรือลำนี้ พวกเราจึงข้ามแม่น้ำไปได้อย่างสบาย

จริงอยู่ที่ฉันก็มีแผนจะสร้างแพ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะสะดวกสบายเท่านี้ไหม

ใช้เวลาหนึ่งวันเต็มกว่าจะข้ามไปถึงอีกฝั่ง

“ถัดจากนี้ไปจะเป็นดินแดนที่พวกเราไม่เคยเหยียบ ‘อย่างเป็นทางการ’ มาก่อน… ระวังตัวด้วยนะครับ”

บอกลาเจ้าหน้าที่ของ OWIC ฉันเริ่มออกเดินทางอีกครั้ง

ยังคงตรงไปทางเหนือ

ตกดึกตั้งแคมป์ กลางวันขี่ม้า ทำซ้ำเช่นนี้อยู่หลายวัน

ผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์

ฉันเริ่มสัมผัสถึงความร้อนแผ่วเบาจากด้านหน้า

ภูเขาสีขาวที่เห็นจากระยะไกล ยังคงไม่ขยับเข้าใกล้แม้แต่น้อย

ฉันรู้ดีว่าสิ่งใดอยู่ระหว่างภูเขาสีขาวกับตำแหน่งปัจจุบัน

เราวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเขตใหม่

พื้นสีดำสนิท ชวนให้นึกถึงน้ำมันดิน กว่าครึ่งมีสภาพเฉอะแฉะ

ความร้อนที่ทำให้พื้นดินเดือดปุดๆ แผ่ปะทะใบหน้าของฉัน

ปุด! ปุด! เสียงคล้ายฟองน้ำระเบิดดังขึ้นต่อเนื่อง

“หืม…”

นี่สินะเขตความร้อนสูง

เขตที่จินซอยอนและนักแสวงบุญเอ่ยถึง

“มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลยแฮะ”

ตามที่ลิลี่บอก ดินแดนแห่งนี้กว้างไกลยิ่งกว่าเส้นขอบฟ้า

เมื่อเงยหน้าขึ้น ฉันเห็นหยดน้ำตกลงมาจากด้านบน ไอน้ำที่ถูกความร้อนเผาจนระเหย กลับไปรวมตัวเป็นเมฆและตกลงมาเป็นฝนอีกครั้ง

“ฮี่—!”

หนึ่งสิ่งที่แน่ชัดก็คือ ฉันสามารถฝ่าไปได้

เพราะเรลิกซิน่ากำลังย่ำไปบนพื้นร้อนๆ โดยไม่รู้สึกรู้สา คล้ายกับเปลวไฟสีฟ้าที่หุ้มกีบเท้าทำหน้าที่เป็นเกราะ

“ลิลี่ ฉันมีคำถาม”

“อื้อ”

“เดิมทีสุริยเทพมีสี่องค์หรือ”

“ไม่ เทพทั้งเก้าเป็นชุดเดิมมาตั้งแต่ต้น จากบรรดาทั้งหมด มีสุริยเทพเพียงสามองค์”

“แล้วทำไม… ใครบางคนที่นี่ถึงอ้างตัวว่าเป็นสุริยเทพผู้ร่วงหล่น”

“…?”

ลิลี่ตอบสนองด้วยท่าทีแปลกประหลาด

“อ้างตัวว่าเป็นสุริยเทพ…”

“เสียงภาษารูนแถวนี้พูดเช่นนั้น”

「สุริยเทพผู้ร่วงหล่นกำลังหลับใหลอยู่ด้านล่าง ผู้ไร้คุณสมบัติไม่มีสิทธิ์ข้ามหลุมศพ」

นั่นคือสิ่งที่ฉันเล่าให้จินซอยอนฟัง

แต่ในความเป็นจริง ฉันได้ยินมากกว่านั้น แต่เพราะยังไม่แน่ใจ จึงไม่กล้าพูดอะไรออกไป

“ฉันต้องพิสูจน์คุณสมบัติโดยการค้นหาสถานที่ดังกล่าวให้พบ”

“…สุริยเทพผู้ร่วงหล่น… ข้าเคยได้ยินตำนาน”

“เล่าทุกสิ่งที่รู้ให้ฟังหน่อย”

ลิลี่ไตร่ตรองสักพักก่อนจะเล่า

“เราเรียกยุคสมัยปัจจุบันว่า ‘ยุคผุกร่อน’ หมายถึงโลกที่สูญเสียความกระตือรือร้น… แม้จะน่าเจ็บใจ แต่ก็เป็นความจริง”

“เล่าต่อ”

“ในช่วงจุดจบของยุคทองครั้งก่อน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของยุคผุกร่อนอันยาวนาน มีจอมเวทคนหนึ่งไม่พอใจยุคสมัย จึงเรียกขานตัวเองว่าสุริยเทพองค์ที่สี่”

“อุปโลกน์ตัวเอง?”

“ใช่”

ลิลี่พยักหน้า

“เขาเริ่มสร้างหอคอยขนาดใหญ่ โดยเชื่อว่าขอแค่ขึ้นสวรรค์สำเร็จก็จะกลายเป็นเทพ และให้สัญญากับเหล่าสาวกว่าจะแจกจ่ายตำแหน่งดารากรให้อย่างเหมาะสม”

“หืม…”

ฉันคิดมาสักพักแล้ว

ไม่ว่าทั้งสองโลกจะแตกต่างกันเช่นไร แต่พฤติกรรมของผู้คนยังคงคล้ายคลึง

“เป็นธรรมดาที่สุริยเทพทั้งสามจะพิโรธ”

“นั่นคือเหตุผลที่เขาถูกฝังอยู่ใต้ดิน?”

“ใช่… ข้าทราบแค่นี้”

ทันใดนั้นเอง

「ลา ซอลทาเนีย——!」

เสียงร้องดังกึกก้อง

เป็นคำที่ฉันเคยได้ยินจากเครื่องบันทึกเสียง

「สุริยเทพผู้ร่วงหล่นหลับใหลอยู่ด้านล่าง! ผู้ไร้คุณสมบัติไม่มีสิทธิ์ข้ามหลุมศพ!」

ฟ้าว—!

ในเวลาเดียวกัน อากาศอันร้อนระอุพัดปะทุขึ้นจากพื้นดิน เราสองคนตกจากหลังม้าทันที

“เธอยังไหวนะ?”

“เจ้าจะทำยังไงต่อ? พวกเราข้ามไปไม่ได้แน่…”

ลิลี่จ้องฉันด้วยสีหน้ากังวล หางเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

“…เจ้าจะข้ามไปจริงๆ หรือ”

ลิลี่ถามเพราะเห็นฉันกระโดดขึ้นขี่เรลิกซิน่าอีกครั้ง

“ก็น่าสนุกดีไม่ใช่หรือ”

“…มีโอกาสสำเร็จมากแค่ไหน”

“ลิลี่ กอดกระเป๋าไว้ อย่าให้มันไหม้”

ลิลี่กระโดดขึ้นตามมาพร้อมกับกอดกระเป๋า

ฉันสะบัดผ้าคลุมสีขาวหยกซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้า

“เรลิกซิน่า”

“ฮี่—!”

“ลุยเข้าไปเลย!”

เมื่อฉันใช้เท้าตบสะโพก เรลิกซิน่าเริ่มพุ่งตัวโดยการกระทืบพื้นจนเกือบแตก

「ห้ามข้ามหลุมศพ!」

พายุความร้อนสูงพัดมาอีกครั้ง

ฉันกางผ้าคลุมสีขาวที่มีอยู่สองผืน ห่อหุ้มร่างกายฉันและลิลี่อย่างละผืน

คุณชาแทชิกเรียกสิ่งนี้ว่า

“ผ้าคลุมไหมสวรรค์”

ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!

คลื่นความร้อนสูงทำอะไรเรลิกซิน่าไม่ได้ เปลวไฟสีฟ้าจากแผงคอทวีความเร่าร้อนยิ่งกว่าเดิม คล้ายกับเสือขาวกำลังแผ่จิตวิญญาณอันเข้มแข็งและไม่ย่อท้อ

ความร้อนไหลผ่านไปตามผิวของผ้าคลุมทั้งสองผืน

ผ้าคลุมที่สร้างจากรังไหมของปรสิต

รังไหมซึ่งมีหน้าที่ปกป้องการรบกวนจากภายนอกทุกชนิด

อำนาจของผ้าคลุมสองผืนนี้ ได้รับการพิสูจน์มานานแล้ว

แต่ครั้งก่อนมันคอยปกป้องศัตรู ส่วนครั้งนี้มีหน้าที่คอยปกป้องฉัน

ท่ามกลางพายุคลื่นความร้อนหลายระลอก เรลิกซิน่าวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ มือของลิลี่ที่จับชายเสื้อของฉันก็แน่นขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน คล้ายกับเธอกำลังกลัว แต่พยายามไม่แสดงออก

หลังจากวิ่งต่อไปอีกสักพัก ฉันเห็นอาคารทรงกรวยที่คล้ายกับยอดภูเขาน้ำแข็งใต้ทะเล

ยอดตึกเอียงทำมุมครึ่งหนึ่ง สีดำสนิทเหมือนกับท้องฟ้ายามค่ำคืน

ด้านข้างตึกมีหน้าต่างที่สามารถเข้าไปได้

คลื่นความร้อนที่รุนแรงแผ่ออกจากคริสตัลสีแดงด้านบนสุดของอาคารตลอดเวลา ด้วยระยะแค่นี้ ความร้อนแผ่ซ่านทะลุผ้าคลุมเข้ามาถึงผิวหนัง

“…เรลิกซิน่า”

“ฮี่—!”

“เข้าไปใกล้ตึกนั่น”

เรลิกซิน่าผงกศีรษะอย่างตื่นเต้น

“อะไรนะ?”

ลิลี่ตื่นตระหนักทันที

“เจ้าจะเข้าไปในนั้น?”

“เห็นแบบนี้แล้วใครจะอดใจไหว”

“เจ้าต้องเสียสติไปแล้วแน่!”

บนม้าที่กำลังวิ่ง ใต้พายุคลื่นความร้อน และเหนือแผ่นดินที่เดือดปะทุ ลิลี่พยายามแหกปากตะโกนเพื่อสื่อสารและเสนอความเห็น

“อะไรนะ? ฉันไม่ได้ยินอะไรเลย!”

“นี่!”

“ว่ายังไงนะ? ฉันไม่ได้ยิน!”

“เจ้าได้ยินทุกอย่าง!”

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (2/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด