ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 2 กินเนื้อ

ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 1 กระทิงเปิดปาก


ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 1 กระทิงเปิดปาก

แปลโดย iPAT 

ภายใต้ม่านรัตติกาล เทือกเขาทอดตัวยาวราวกับสัตว์ร้ายที่เฝ้ารอคอยรุ่งอรุณอยู่อย่างเงียบเชียบ

หมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งตั้งอยู่บนภูเขาที่มีรูปร่างเหมือนกระทิงหมอบ

“หลี่เอ้อ ลุกขึ้นและไปทำงาน!” เสียงตะโกนดังมาจากหญิงชาวนาวัยกลางคนที่มีเอวเหมือนถังน้ำ

บนกองฟางในคอกวัว เด็กหนุ่มร่างผอมบางสะดุ้งตื่นจากความฝันด้วยความมึนงงและสงสัยว่าเขาอยู่ที่ไหน

เขาฝันเหมือนเดิมอีกครั้ง ในฝัน เขาอาศัยอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยตึกระฟ้าสูงตระหง่าน เขาเล่นวัตถุลึกลับที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์และนั่งอยู่บนหลังสัตว์ประหลาดเกราะเหล็กที่วิ่งอาละวาดไปบนท้องถนน

วันหนึ่งสัตว์ประหลาดที่ชื่อบีเอ็มดับเบิลยูก็วิ่งชนเขา

จากนั้นเขาก็ตื่นขึ้น ถูกต้อง เขาตื่นขึ้นมาบนโลกอีกใบ! เขาเกิดใหม่แล้ว!

มากกว่าสิบปีผ่านไป เรื่องราวในชีวิตก่อนหน้าของเขาไม่ต่างจากความฝันอันเลือนลาง

เมื่อมองไปรอบๆคอกวัวที่สกปรกและรู้สึกถึงอาการคันคะเยอที่เกิดจากยุงกัด เขาก็ตระหนักว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดี บางทีเขาอาจเป็นนักเดินทางข้ามโลกที่น่าสมเพชที่สุด

หากนับอย่างถี่ถ้วน มันเป็นเวลาสิบห้าปีมาแล้ว

พ่อแม่ของเขาในชีวิตนี้เป็นชาวนาที่ธรรมดาที่สุดของหมู่บ้านกระทิงหมอบ ทั้งคู่เสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็กและทิ้งเขาไว้กับพี่ชายที่ชื่อหลี่ต้า ส่วนเขามีชื่อว่าหลี่เอ้อ

หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โต ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้ชีวิตเรียบง่ายและไม่ได้ให้ความสำคัญกับชื่อของพวกเขามากนัก เขาทำได้เพียงยอมรับชื่อหลี่เอ้อที่ผู้คนเรียกขาน อย่างไรก็ตามด้วยความรู้จากชีวิตก่อนหน้า เขาจึงตั้งชื่อให้กับตนเองใหม่ว่า หลี่ฉิงซาน มันแปลว่าภูเขาสีเขียว

เหตุใดต้องตายอยู่ที่นี่ โลกกว้างขวาง แผ่นดินกว้างใหญ่ บุรุษไม่ควรหยุดอยู่ที่บ้านเกิดแต่ควรออกเดินทางไล่ล่าความฝันไปจนสุดขอบโลก ตั้งแต่เขามีโอกาสเกิดใหม่ เขาก็ต้องมีชีวิตที่ดี อย่างน้อยมันก็ต้องดีกว่าชีวิตก่อนหน้าของเขา มิฉะนั้นชีวิตที่สองที่สวรรค์มอบให้คงกลายเป็นสูญเปล่า

เมื่อนึกย้อนกลับไป เขายังหวาดกลัวและสับสนกับการเดินทางข้ามโลก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามในไม่ช้าเขาก็พบว่าท้องเขาร้อง เขาไม่ได้กินอาหาร

พี่ชายและพี่สะใภ้เห็นเขาเป็นตัวภาระ ทั้งสองโยนงานที่ทั้งเหน็ดเหนื่อยและสกปรกให้เขา ขณะเดียวกันก็ทิ้งเศษอาหารที่แย่ที่สุดไว้ให้ พวกเขาไม่เคยปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนในครอบครัว

หลี่ฉิงซานอายุยังน้อยและไม่มีที่ไป สิ่งเดียวที่เขาคิดออกคือการพยายามทำตัวเหมือนเด็กอัจฉริยะ

แต่ผู้คนกลับคิดว่าเขาถูกผีสิง หมอผีของหมู่บ้านกรอกน้ำมนต์เข้าปากเขา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่กล้าทำตัวอวดฉลาดอีกต่อไป

นั่นเป็นผลพวงให้ชาวบ้านยังเรียกเขาว่าหลี่เอ้อ ชื่อหลี่ฉิงซานเป็นเพียงเรื่องตลก

พี่สะใภ้ของหลี่ฉิงซานตะโกนอยู่ชั่วครู่ เมื่อไม่ได้รับการตอบสนอง นางจึงสาวเท้าเข้าไปและหยิบก้านไม้ไผ่ขึ้นมาโดยหวังจะทุบตีเขาอย่างไร้ปรานี “เจ้าเด็กนี่ กล้าลองดีกับข้างั้นหรือ? เจ้าตัวเกียจคร้าน เหตุใดไม่ตายไปซะ!”

หลี่ฉิงซานกำลังนึกถึงชีวิตก่อนหน้า จิตใจของเขากำลังปั่นป่วน ดังนั้นเขาจึงผุดลุกขึ้นคว้าก้านไม้ไผ่เอาไว้และจ้องมองพี่สะใภ้ด้วยความขุ่นเคือง

พี่สะใภ้รู้สึกหวาดกลัวเมื่อเห็นเด็กชายที่สูงกว่านางครึ่งศีรษะ แต่นางยังพยายามรักษาความสงบ “หลี่เอ้อ เราเลี้ยงดูเจ้ามาอย่างยากลำบากแต่เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้งั้นหรือ! รอให้พี่ชายของเจ้าตื่น ข้าจะให้เขาจัดการเจ้า! ไม่ทำงานก็ไม่ต้องกิน!”

หลังกล่าวจบคำนางก็หมุนตัวเดินทางจากไป

หลี่ฉิงซานโยนก้านไม้ไผ่ทิ้งและถอนหายใจอย่างแรง เขาเดินไปที่รางอาหารสัตว์และคุยกับวัวแก่สีดำ “พี่วัว ข้าโตแล้ว ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่ข้าไม่อยากแยกจากท่าน”

ก่อนที่พ่อแม่ของหลี่ฉิงซานจะเสียชีวิต พวกเขาแบ่งมรดกให้กับลูกชายทั้งสอง แต่พี่ชายของเขายึดบ้านและทุ่งนาไปจากเขา ตอนนี้เขาเหลือเพียงวัวแก่ตัวนี้

ต้องขอบคุณวัวตัวนี้ มันช่วยเขาทำงานซึ่งเพียงพอให้เขาแลกอาหารเพื่อประทังชีวิต

หากเขากินเพียงเศษอาหารของที่บ้าน ใครจะรู้ว่าเขาจะผอมแห้งกว่านี้สักเพียงใด ด้วยเหตุนี้เขาจึงปฏิเสธที่จะปฏิบัติต่อมันเหมือนปศุสัตว์ เขากระทั่งเรียกมันด้วยความเคารพว่าพี่วัว

ชาวบ้านรู้ว่าหลี่เอ้อสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากพี่ชายแต่เขาไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีพี่วัวตัวนี้

วัวดำมีผิวหนังที่เงางาม ร่างกายของมันอวบอ้วนและบึกบึน เห็นได้ชัดว่าหลี่ฉิงซานใช้เวลามากเพียงใดในการดูแลวัวตัวนี้ อย่างไรก็ตามมันยังมีร่องรอยของความชรา เขาข้างหนึ่งของมันหัก มันเป็นรอยหักที่ราบเรียบเหมือนถูกตัดออกด้วยดาบ

วัวดำมองหลี่ฉิงซานด้วยดวงตาเปียกชื้นก่อนที่มันจะยืนขึ้นราวกับมันสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ มันเดินออกไปพร้อมกับหลี่ฉิงซานกระทั่งไปถึงเนินเขากระทิงหมอบ

หลี่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาส่องประกายเจิดจ้าขณะที่เขาเริ่มเป่าขลุ่ย

เสียงขลุ่ยดังกังวาลอยู่ท่ามกลางสายหมอกในยามเช้า

ด้านล่างภูเขากระทิงหมอบอุดมสมบูรณ์และเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทุ่งหญ้าปกคลุมพื้นดินเหมือนเตียงที่อ่อนนุ่ม

หลี่ฉิงซานยืมแสงจากทิศตะวันออกมองไปทางทิศตะวันตก แนวเขาเชื่อมต่อและเรียงราวไปจนสุดสายตา ในป่าลึกของภูเขาจำนวนนับไม่ถ้วน นอกจากหมาป่า เสือโคร่ง และเสือดาว ผู้คนยังเล่าลือกันว่ามีปีศาจและสัตว์ประหลาดอีกมากมาย กระทั่งนายพรานก็ยังไม่กล้าเข้าไปในป่าลึก

หลี่ฉิงซานไม่เคยเห็นแผนที่ที่สมบูรณ์ของมัน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้จักภูมิประเทศของโลกใบนี้ เขารู้เพียงว่ามีมันเป็นโลกที่กว้างใหญ่และเต็มไปด้วยอันตราย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องการออกไปสำรวจ

หลี่ฉิงซานตัดสินใจแล้ว เขาต้องการออกเดินทาง ดังนั้นเขาจึงตบหลังวัวดำสองสามครั้ง “พี่วัว ท่านอายุมากแล้ว หากข้าขายท่านให้บางคน พวกเขาจะฆ่าท่านเพื่อเอาเนื้อไปกิน ท้องฟ้ากว้างใหญ่ แผ่นดินกว้างขวาง ดังนั้นเราจึงต้องออกเดินทาง บนภูเขามีสัตว์ร้ายมากมาย ท่านต้องระวังตัวให้ดี”

แท้จริงแล้วการตัดสินใจที่ฉลาดที่สุดคือการขายวัวเพื่อรวบรวมเงินสำหรับการเดินทาง เขาต้องใช้จ่ายเมื่อไปถึงเมืองชิงหยาง มิฉะนั้นเขาอาจต้องนอนหิวตายอยู่ข้างถนน อย่างไรก็ตามเขาปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น

ชาวบ้านจะหัวเราะหากพวกเขาได้ยินข่าวการกระทำของเด็กน้อยผู้นี้ แต่เขายังยืนกรานที่จะทำสิ่งนี้

“เจ้าเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ แล้วข้าจะจากไปได้อย่างไร”

“ข้าอาจไปส่งท่านได้นับพันลี้ แต่สุดท้ายเรายังต้องกล่าวคำลา...” หลี่ฉิงซานตอบกลับตามสัญชาตญาณแต่เสียงของเขายังลดความดังลงทีละน้อยขณะที่เขาจ้องมองวัวดำด้วยดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับขนที่ชูชันขึ้นทั้งร่าง เขาเร่งล่าถอยออกมาหลายก้าว

“ปีศาจ!” เขาอุทานด้วยความตกใจ

วัวดำเปิดปากกล่าว “อย่ากังวล ข้าไม่ทำร้ายเจ้า”

ทั้งสองอยู่รวมกันมาหลายปี หลี่ฉิงซานไม่ได้หวาดกลัวมากนัก อย่างไรก็ตามมันเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ แต่เมื่อเขาคิดถึงวันเวลาที่ผ่านมา เขาก็สามารถสงบจิตใจลงแม้คิ้วของเขาจะยังขมวดแน่นอยู่ก็ตาม

“เจ้าคือพี่วัวของข้าจริงๆหรือ?”

วัวดำพยักหน้าเมื่อเห็นหลี่ฉิงซานสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็ว “สมกับเป็นผู้มีภูมิปัญญาโดยกำเนิด”

“ภูมิปัญญาโดยกำเนิดคือสิ่งใด” หลี่ฉิงซานเริ่มกังวล เขาไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเขาเป็นนักเดินทางข้ามโลกที่กำเนิดใหม่ เขาระวังตัวจากชาวบ้านแต่เขาไม่เคยระวังตัวกับพี่วัว ดังนั้นพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับตัวตนและอายุของเขาจึงอยู่ในสายตาของวัวตัวนี้ทั้งหมด

“บางครั้งบางคนก็สามารถรักษาความทรงจำในชีวิตก่อนหน้าและกำเนิดใหม่ ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว นี่คือสิ่งที่เรียกว่าภูมิปัญญาโดยกำเนิด” วัวดำตอบ

“ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่ฉิงซานรู้สึกผ่อนคลายลง เขาเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้อยู่บ้าง อย่างไรก็ตามเรื่องที่เขาเป็นนักเดินทางข้ามโลกยังไม่ถูกเปิดเผย “บางทีโลกใบนี้จะมีปีศาจหรือสัตว์ประหลาดอยู่จริงๆ แต่ใครจะคิดว่าข้าจะเลี้ยงดูปีศาจมานับสิบปี เหตุใดที่ผ่านมาท่านไม่เคยพูด?”

“ไม่มีสิ่งใดต้องพูด ข้าไม่เคยถามว่าเจ้ามาจากไหน ดังนั้นเจ้าก็อย่าถามว่าข้ามาจากที่ใด สิ่งที่เจ้าควรรู้คือข้าจะมอบสิ่งใดให้เจ้าได้บ้าง”

“ให้ข้า...ให้สิ่งใด?”

“เจ้าเคยได้ยินสิ่งที่เกี่ยวกับพลังเหนือธรรมชาติหรือไม่”

ก่อนที่หลี่ฉิงซานจะตอบคำถาม วัวดำก็ชิงกล่าวต่อ “สิ่งที่เรียกว่าพลังเหนือธรรมชาติคือความสามารถของปีศาจหรือเทพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนภูเขา แยกมหาสมุทร ไปจนถึงการคว้าดวงดาวและดวงจันทร์จากฟากฟ้า เจ้าสามารถมีชีวิตได้นานตราบเท่าที่เจ้าต้องการ หากเจ้าต้องการชีวิตนิรันดร์ เจ้าก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์ หากเจ้าจะต้องการชื่อเสียง เงินทอง ความมั่งคั่ง หรือหญิงงาม เจ้าจะได้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ เจ้าสนใจหรือไม่?”

พลังเหนือธรรมชาติ คำๆนี้สามารถเติมเต็มความปรารถนาทั้งหมดของมนุษย์ขณะที่หลี่ฉิงซานก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง แล้วเขาจะไม่สนใจมันได้อย่างไร

เรื่องนี้เหมือนกับคนตาบอดมานานนับสิบปีแต่ทันใดนั้นกลับสามารถมองเห็น ทุกสิ่งที่อยู่ข้างหน้าดูสว่างไสวและน่าสนใจจนเขารู้สึกราวกับมันไม่ใช่เรื่องจริง

หลี่ฉิงซานสะกดข่มความตื่นเต้นเอาไว้ “พี่วัว ท่านจะสอนพลังเหนือธรรมชาติเช่นไรให้ข้า?”

วัวดำส่ายศีรษะ “ตอนนี้เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติ” มันเปลี่ยนหัวข้อ “หากเจ้าต้องการบ่มเพาะพลังเหนือธรรมชาติ เจ้าต้องกินเนื้อเป็นอันดับแรก!”

“กระไรนะ!?” หลี่ฉิงซานสงสัยว่าเขาได้ยินสิ่งใดผิดไปหรือไม่ ความสามารถในการเคลื่อนภูเขา แยกมหาสมุทร และคว้าดวงดาวเกี่ยวข้องกับบางสิ่งที่ธรรมดาเช่นนี้งั้นหรือ

“ขั้นแรกในการบ่มเพาะคือการทำให้ร่างกายแข็งแรงและเปลี่ยนพลังชีวิตให้เป็นพลังปราณ ตอนนี้เจ้าทั้งผอมแห้งและอ่อนแอ แล้วเจ้าจะเอาพลังมาจากที่ใด?”

หลี่ฉิงซานเผยรอยยิ้มขมขื่น คนที่มีชีวิตวัยเด็กเช่นเขาจะเติบโตขึ้นมาเป็นชายที่แข็งแกร่งบึกบึนได้อย่างไร สำหรับคนเช่นเขา แม้แต่การพยายามยกถังน้ำยังเป็นเรื่องยากโดยไม่ต้องกล่าวถึงการเคลื่อนภูเขาแยกมหาสมุทรที่ดูเหมือนเรื่องเพ้อฝัน

“แล้วข้าจะหาเนื้อมาจากที่ใด?” ไม่ใช่ว่าหลี่ฉิงซานไม่อยากกินเนื้อ เมื่อเปรียบเทียบกับเม็ดยาอมตะในจินตนาการหรือยารักษาจิตวิญญาณ รสชาติของเนื้อยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา เขาฝันถึงมันทั้งกลางวันและกลางคืน แต่เขาก็ทำได้เพียงฝันไป

ตั้งแต่เด็ก เขาไม่แม้แต่จะได้กินเมล็ดธัญพืชหยาบๆ แล้วเขาจะหาเนื้อมาจากที่ใด เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังร่างกายที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ของพี่วัว เขากำลังคิดถึงการหยิบมีดขึ้นมาและค่อยๆหั่นเนื้อสันใน เนื้อสันนอก ซี่โครง และส่วนอื่นๆของมัน

“โป๊ก!”

วัวดำใช้กีบเท้าตีหัวเขา “อย่าแม้แต่จะคิดเกี่ยวกับข้า!” จากนั้นมันก็ยกกีบเท้าชี้ไปยังภูเขาทางทิศตะวันตก “เนื้ออยู่ที่นั่น”

หลี่ฉิงซานกลายเป็นตื่นตระหนก การเป็นนายพรานบนโลกใบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากหมาป่า เสือโคร่ง และเสือดาว ดูเหมือนภูตผีปีศาจจะไม่ใช่คำพูดหลอกเด็ก หากเขาเข้าไปในป่า เขาอาจต้องทิ้งชีวิตที่น่าสงสารของเขาไว้ที่นั่น

อย่างไรก็ตามวัวดำเพียงบอกให้เขากลับบ้านและอย่ากังวล ต่อมาสายลมกรรโชกแรงก็นำมันพุ่งทะยานออกไปก่อนที่มันจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

หลี่ฉิงซานเดินไปตามเส้นทางภูเขา เขายังไม่สามารถระงับความตื่นเต้น นี่เป็นโลกที่แปลกประหลาดและเต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์ หากเขาสามารถบ่มเพาะและเดินทางข้ามผ่านภูเขาสีเขียว มันคงไม่เสียทีที่เขาตั้งชื่อที่มีความหมายความว่าภูเขาเขียวให้กับตนเอง

หลี่ฉิงซานกลับมาที่บ้าน พี่ชายของเขาออกไปทำงานที่ทุ่งนาแล้วขณะที่พี่สะใภ้ยิงพิงประตูและกัดแทะเมล็ดแตงโมอย่างสบายอารมณ์ นางกลอกตาเมื่อเห็นเขา สะใภ้ของบ้านอื่นจะทำงานบ้านหรือทอผ้าเพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของครอบครัวเมื่อสามีของพวกนางออกไปทำงาน แต่นางผู้นี้มีชื่อเสียงในหมู่บ้านเรื่องความเกียจคร้าน นางโยนงานบ้านทั้งหมดให้หลี่ฉิงซาน นางไม่แม้แต่จะเคยสัมผัสเครื่องทอผ้า

หลี่ฉินซานไม่สนใจนางและเดินเข้าไปในบ้านโดยตรง เขาเปิดฝาหม้ออาหาร ไม่ต้องกล่าวถึงอาหารร้อนๆหรือข้าวอุ่นๆ มันไม่มีกระทั่งอาหารเย็นๆที่ก้นหม้อ

พี่สะใภ้กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “บ้านนี้ไม่มีข้าวเหลือให้คนเกียจคร้าน เหตุใดเจ้าไม่นำวัวไปทำงานให้กับพ่อบ้านหลิว?”

ทันใดนั้นนางพลันตระหนักว่า “เดี๋ยว! วัวอยู่ไหน?”