ตอนที่แล้วเกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 252
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 254

เกิดใหม่เป็นทารกขั้นเทพ ตอนที่ 253


ตอนที่ 253

“น้องสามรวมถึงเจ้าทั้งสองด้วย อย่าได้คิดยั้งมือ”

ซู่อู่เฟิ่งมองไปยังหลินซวนและเอ่ยกับพวกของมันทั้งสามด้วยความเคร่งเครียด ในฐานะอัจฉริยะแห่งตระกูลซู่ มันมิต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามยกเรื่องคุณธรรมใดๆ ขึ้นมาอ้างเพื่อทำลายความร่วมมือกันครั้งนี้ลง พวกมันเคยถูกหลินซวนสยบมาก่อนหน้านี้ ถ้าหากอาศัยพวกมันเพียงลำพัง ต่อหน้าหลินซวนแล้วคงทำได้เพียงเสมอ หรือดีไม่ดีอาจจะตกตายลงเลยก็เป็นได้

ในอีกด้านหนึ่ง อัจฉริยะผมแดงกำลังโบกธงในมือของมัน จากนั้นลูกไฟจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกยิงออกมา ราวกับว่ามันต้องการจะเผาไหม้โลกทั้งใบให้มอดไหม้เป็นจุณ เผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ หวงหาวกลับดูผ่อนคลายยิ่งนัก ไม่มีทางที่เจ้าหัวแดงผู้นี้จะสามารถเอาชนะเขาได้ในเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน

…………………..

ด้านนอกแดนลึกลับ

ในยามที่ผู้พิทักษ์ของราชวงศ์อมตะกำลังโดนเย้ยหยันอย่างไร้เมตตา มันไม่กล้าแม้กระทั่งจะมีอารมณ์โกรธเคืองเสียด้วยซ้ำไป อันที่จริงแล้ว มันทำได้เพียงเผยรอยยิ้มโง่งม ต่อให้ในใจของมันจะไม่ต้องการกระทำเช่นนี้มากเพียงใด แต่มีหรือที่มันจะกล้าพอแสดงความในใจออกมา

อาวุโสเบื้องหน้าของมันบัดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นระดับบรรพบุรุษของตระกูลใหญ่ พวกเขาสามารถใช้นิ้วเดียวเพื่อส่งมันไปสู่ความตายได้อย่างไม่ยากเย็น

แม้ว่าราชวงศ์อมตะจะส่งยอดฝีมือมาจำนวนไม่น้อย แต่ระดับการบ่มเพาะที่สูงที่สุดในหมู่ยอดฝีมือทั้งหลายยังอยู่เพียงระดับกลางของแดนปราณก่อตั้งจิตเท่านั้น แต่ทางด้านเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายกลับมีระดับที่แดนก่อตั้งจิตขั้นสูงแล้วทั้งสิ้น

การจะโต้ตอบคงทำให้ตัวมันรู้สึกดีก็จริงอยู่ แต่มันย่อมตกตายลงในวินาทีถัดมาอย่างไม่ต้องสงสัย

“ราชวงศ์อมตะส่งคนเข้าไปในแดนลึกลับมากกว่านี้มิใช่หรือ? ข้าได้ยินมาว่ามีอัจฉริยะบางส่วนที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ถูกส่งเข้าไปเช่นกัน” ยอดคนที่ยืนอยู่กลางอากาศผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

“ต่อให้พวกมันส่งอัจฉริยะเข้าไปจำนวนมากแล้วอย่างไร? หากถูกสังหารก็ย่อมกลายเป็นสูญเปล่าทั้งสิ้น”

หลังจากที่อาวุโสลึกลับผู้นั้นกล่าว รอบด้านก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

...................

ด้านในของแดนลึกลับ ผลกระทบที่ออกมาจากการปะทะกันทำให้เหล่าอัจฉริยะจำนวนไม่น้อยเดินทางมาเพื่อเฝ้ามองการต่อสู้นี้ ในทุกครั้งที่เกิดการประมือกัน เหล่ารุ่นเยาว์ทั้งหลายต่างก็นิ่งค้างไปด้วยความตกตะลึง

ระหว่างที่รุ่นเยาว์ทั้งหลายกำลังถกเถียงกัน สายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็ผ่าลงด้านหน้าพวกเขา

นั่นทำให้พวกเขารีบใช้ปราณวิญญาณของตนเองสร้างกำแพงขึ้นเพื่อป้องกันสายฟ้าที่กำลังเข้ามา แต่กำแพงปราณนั้นกลับทนทานสายฟ้าม่วงได้เพียงชั่วอึดใจก่อนจะแตกสลายกลายเป็นความว่างเปล่า ก่อนที่พวกเขาจะได้ทันมีปฏิกิริยา ก็ถูกสายฟ้าฟาดใส่จนกระเด็นออกไป

ดวงตาของเหล่ารุ่นเยาว์ต่างเผยแววตื่นตระหนก เมื่อเหม่อมองไปยังคนจำนวนน้อยนิดที่กำลังต่อสู้กันอยู่ไกลออกไป พวกเขาทำได้เพียงตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นรุ่นเยาว์อัจฉริยะในคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ย่อมคิดอยู่เสมอว่าในหมู่อัจฉริยะทั้งหลายจะมีความสามารถไม่หนีห่างจากตนเท่าใดนัก ทว่า เมื่อมองไปเห็นเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเบื้องหน้าของตนในตอนนี้ ความคิดที่เคยมีกลับตาลปัตรไปจนหมดสิ้น

สถานที่ซึ่งหลินซวนกำลังปะทะกับศัตรูนั้นอยู่ห่างไปนับร้อยจั้ง แต่พวกเขาที่คอยเฝ้ามองอยู่กลับไม่สามารถทนทานแรงกระแทกที่เป็นลูกหลงจากการต่อสู้นั้นได้เสียด้วยซ้ำ ความแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นมากมายจนเกินไป

“อัจฉริยะผู้นั้นมาจากกองกำลังใดกันแน่?”

“ชายในชุดสีม่วงดูเหมือนว่าจะเป็นเซียนน้อยตระกูลสี”

พวกเขาต่างพยักหน้า ตระกูลสีเป็นตระกูลขนาดใหญ่ ย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากจะสามารถบ่มเพาะอัจฉริยะเช่นนี้ขึ้นมาสักคน

“ตรงนั้นเป็นคนจากราชวงศ์อมตะแห่งอาณาเขตเหนือคราม โน่นก็เป็นคนจากตระกูลซู่แห่งอาณาเขตเงาสวรรค์ ซู่อู่เฟิ่ง ส่วนคนที่เหลือ ข้าคิดว่าเป็นคนจากตระกูลซู่เช่นเดียวกัน พวกเขาล้วนแล้วแต่นับได้ว่าเป็นเซียนน้อยของตระกูลตนเอง ทว่าฝ่ายตรงข้ามนั้น....”

ในขณะนั้น เหล่ารุ่นเยาว์ทั้งหลายต่างเต็มไปด้วยความเงียบงัน หลินซวนแม้ว่าจะมีชื่อเสียงลือลั่นในอาณาเขตเหนือคราม แต่สำหรับอาณาเขตที่เหลือแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้จักเขามาก่อน

“หรือจะเป็นจอมยุทธพเนจร?”

ใครบางคนคาดเดา และคำตอบนี้ทำให้ผู้คนทั้งหลายต้องตกตะลึง

ในหมู่พวกรุ่นเยาว์ที่กำลังคอยมองดูเหตุการณ์อยู่จำนวนหนึ่งนับได้ว่าเป็นผู้บ่มเพาะอิสระที่ไม่ขึ้นตรงกับตระกูลใดอยู่เช่นกัน และพวกเขารู้ว่าทรัพยากรที่พวกเขาต้องใช้นั้นหามาได้อย่างยากลำบากเพียงใดเพราะไม่มีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลัง นอกจากประสบการณ์ทางด้านการต่อสู้ที่มากมายกว่าแล้ว เหล่าผู้บ่มเพาะอิสระนับได้ว่ามีพรสวรรค์ด้อยกว่าเหล่าลูกหลานตระกูลใหญ่เสียด้วยซ้ำไป

การที่สามารถพาตนเองขึ้นมาได้ถึงระดับนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่าเด็กน้อยเบื้องหน้านั้นเป็นสัตว์ประหลาดเพียงใด

ในยามที่การปะทะกันมาถึงจุดรุนแรงที่สุด ซู่อู่เฟิ่งและพวกมันที่เหลือต่างทุ่มเทอย่างบ้าคลั่ง การกลุ้มรุมสี่ต่อหนึ่งนี้ นอกจะมิได้ทำให้พวกมันเป็นต่อแล้ว ยังคล้ายกับว่าพวกมันกำลังเสียเปรียบอยู่ด้วยซ้ำ

ตั้งแต่เริ่มต้นจนตอนนี้ หลินซวนใช้เพียงกระบวนท่าเดิมๆ เท่านั้น เขาดูช่างผ่อนคลายและไร้ความกังวลโดยสิ้นเชิงแม้ว่ากำลังถูกอัจฉริยะทั้งสี่คอยรุมล้อมอยู่ ยู่ซวนเทียนหยูพลันเงยหน้าของมันขึ้นด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

“เจ้ากำลังใช้พวกเราเป็นตัวทดลองกระบวนท่าเช่นนั้นหรือ”

“ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีสมองอยู่บ้าง อัจฉริยะจากตระกูลใหญ่ก็มิได้โง่งมโดยสมบูรณ์ไปเสียทีเดียว” หลินซวนเอ่ยด้วยความสนใจ

ตอนนี้เขาใช้เพียงพลังจากทักษะมหาวัชระเท่านั้น และเพื่อการขัดเกลาทักษะนี้เขาจึงเลือกวิธีใช้เพียงพลังของมันในการต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อเป็นการบีบบังคับตัวเองให้พัฒนาทักษะได้ถึงขีดสุด

พวกมันที่ต้องการจะปล้นชิงสิ่งของจากเขาไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นคู่มือให้ได้เสยด้วยซ้ำ สำหรับคนเช่นซู่อู่เฟิ่งและพวกมันที่เหลือ หลินซวนสามารถจะสังหารลงได้เพียงสะบัดมือคราเดียว

อย่างไรก็ดี เขามิได้เลือกจะทำเช่นนั้น เป้าหมายของเขาคือใช้พวกมันในการฝึกฝนกระบวนท่าและทักษะของตนเอง

ได้ยินประโยคเช่นนั้นของหลินซวน พวกมันทั้งสี่ต่างมีโทสะในทันที พวกมันเคยแต่ใช้ผู้อื่นเป็นตัวฝึกซ้อมทักษะของตนเอง มิเคยต้องพบเจอกับการกลายเป็นเพียงหุ่นให้ผู้อื่นขัดเกลาวิชาเช่นนี้ นี่ช่างเป็นการดูแคลนที่แสนสาหัสยิ่งนัก

น้องสามของซู่อู่เฟิ่งมิอาจจะทนรับการเย้ยหยันเช่นนี้ได้ ร่างของมันกลายเป็นลำแสงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

มันขว้างยันต์บางอย่างออกไปยังทิศทั้งสี่และซ่อนตัวอยู่กลางอากาศ พลังอันรุนแรงแพร่กระจายออกมา ทำให้หลินซวนสัมผัสได้ถึงปริมาณของปราณวิญญาณรอบด้านที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่าที่แห่งนี้กลายเป็นดินแดนแห่งความตายอย่างไรอย่างนั้น

“เจ้าคงมิคาดมาก่อนว่าข้าเป็นจ้าวแห่งค่ายกล ใช่หรือไม่? ข้าสามารถจะทำให้เจ้าลมปราณเหือดแห้งจนตายได้ แม้ว่ามันจะเป็นการเสียเวลาไปมากมายก็ตามที” น้องสามของซู่อู่เฟิ่งมองไปยังหลินซวนอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ในใจของมันอยากจะดื่มโลหิตแลฉีกกินเนื้อหนังของศัตรูเพื่อล้างความอับอายที่ได้รับมาในวันนี้

ในระยะทำการของค่ายกลนั้น ปราณวิญญาณรอบกายของพวกมันกลับหนาแน่นขึ้นอย่างผิดปกติ ระดับการบ่มเพาะของพวกมันเริ่มเพิ่มพูนขึ้นจากเห็นได้ชัด ทำให้สีหน้าของพวกมันกลับกลายเป็นมีความสุขยิ่ง

เมื่อเห็นว่าหลินซวนยังคงนิ่งเงียบอยู่ น้องสามของซู่อู่เฟิ่งก็เริ่มหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

“ในค่ายกลแห่งนี้ ข้าคือพระเจ้า หากเจ้ายอมคุกเข่าและอ้อนวอน ข้าอาจใจดียอมไว้ชีวิตเจ้าก็เป็นได้”

“ผู้เชี่ยวชาญค่ายกล...”

หลินซวนกำลังพึมพำกับตนเองและเมินเฉยคำพูดของฝ่ายตรงโดยสิ้นเชิง

เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะยังมีผู้เชี่ยวชาญค่ายกลปรากฏอยู่ในโลกใบนี้ นี่มันเหนือกว่าความคาดหมายของเขาไปอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าระบบการบ่มเพาะในโลกใบนี้ค่อนข้างจะสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามที ในสายตาของเขา ค่ายกลแห่งนี้เป็นเพียงปาหี่เท่านั้น ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นค่ายกลระดับพื้นฐานได้เสียด้วยซ้ำไป มันมิได้มีค่ามากพอให้คนเช่นเขาต้องเหลือบมอง

“ต่อหน้าพลังสัมบูรณ์ ทุกสิ่งย่อมกลายเป็นเพียงภาพลวงตา” หลินซวนมองพวกมันพลางกล่าวออกมาอย่างเย็นชาก่อนปิดตาลงอย่างช้าๆ

พลังแปลกประหลาดบางประการแผ่ออกมาโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ทำให้เกิดเสียงสั่นไหวของอากาศขึ้น

เขา หลินซวน มิใช่ตัวตนเช่นจักรพรรดิอมตะกลับชาติมาเกิดใหม่หรือเป็นทายาทของยอดยุทธบรรพกาล แต่มีหรือที่คนเช่นเขาจะอ่อนด้อยกว่าผู้ใด?

ต่อให้พวกมันสี่คนกลุ้มรุมเขาแล้วอย่างไร? อาศัยเพียงเขาคนเดียวก็สามารถสังหารพวกมันทั้งหมดลงได้อย่างไม่ยากเย็น

อักขระอันสลับซับซ้อนปรากฏขึ้นในดวงตาของหลินซวน ปราณวิญญาณในแดนลึกลับแห่งนี่กำลังปั่นป่วน เหล่าอสูรทั้งหลายสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวพลางหมอบราบลงแทบพื้นดิน ราวกับว่าพวกมันกำลังเผชิญหน้ากับจักรพรรดิของตน

“นั่น... สัญลักษณ์ในตาของมันคือสิ่งใดกัน? เหตุใดจึงส่งผลต่อแดนลึกลับแห่งนี้?” ปากของยู่ซวนเทียนหยูอ้ากว้าง ใบหน้าของมันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก

พวกมันค้นพบว่าการเคลื่อนไหวร่างกายกระทำได้อย่างยากลำบาก และหัวใจของพวกมันสั่นเทาด้วยความหวาดผวา นี่พวกมันกำลังต้องการร้องขอความเมตตาจากผู้อื่นเช่นนั้นหรือ?

“รีบขัดขวางมันเร็วเข้า!” น้องสามของซู่อู่เฟิ่งตะคอกออกมา ภายใต้ผลจากพลังนั้น ค่ายกลของมันเริ่มส่งสัญญาณถึงการพังทลาย หากว่าเหตุการณ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไป มันเองก็ไม่อาจจะคาดเดาได้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเช่นกัน

จากนั้นมันก็กัดปลายนิ้วของตนและใช้โลหิตเขียนอักขระเพิ่มลงในค่ายกลทันที จากนั้น เสียงคำรามอย่างดุร้ายก็ปรากฏขึ้น

อสูรตนหนึ่งที่มีรูปร่างใหญ่โตจนสามารถครอบคลุมผืนฟ้าได้ปรากฏกายขึ้นภายในค่ายกลนั้น มันมีรูปร่างคล้ายกับพยัคฆ์ทว่าก็มิใช่ จะว่าเป็นมังกรก็ไม่เชิง แม้มันอาจจะดูเหมือนกิเลน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับกลายเป็นอสูรโบราณที่มีนามว่า ฉยงฉี

แม้ว่านั่นจะเป็นเพียงแค่ร่างเงา แต่ก็อาศัยเวลาชีวิตถึงสิบปีของน้องสามผู้นั้นในการอัญเชิญมันออกมา และนั่นจะทำให้ผู้อัญเชิญของมันอยู่ในสถานะอ่อนแรงและกลายเป็นผู้อ่อนแอในทันที....

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด