ตอนที่แล้ววันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0048
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปวันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0050

วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0049


บทที่ 19 ตะวันออก, การเดินทางระยะกลาง (2)

* * *

กำแพงไม่ใช่สิ่งที่จะผ่านไปได้ด้วยการเดินผ่านพลังงานเพียงอย่างเดียว

หากมีพลังงานเอ่อล้นในปริมาณมหาศาล รอยแยกย่อมต้องมีขนาดใกล้เคียงกัน หน้าผาตรงหน้ากว้างราวยี่สิบเมตรจากการกะด้วยสายตา

“…เอลฟ์ตนนั้นข้ามมายังไง”

ลิลี่กล่าว คังซอนฮูตอบราวกับเป็นเรื่องธรรมดา

“คงเป็นสะพาน ต้องมีสะพานหินตามธรรมชาติสักแห่งที่เธอบังเอิญพบและข้ามมา”

ด้วยแผ่นหลังเย็นวาบ ลิลี่ก้มมองรอยแยกที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง จากนั้นก็เงยหน้ามองตรง

ประตูที่เปิดออกบนกำแพง

เป็นอิทธิพลในระดับที่ไม่มีทางเกิดจากภาษารูนทั่วไป

กล่าวคือ ภาษารูนที่คังซอนฮูใช้ไม่ใช่ภาษาปรกติ

เอล ลูน่าel Luna

ไม่มีใครทราบต้นกำเนิดที่แน่ชัด มีข่าวลือมากมาย แต่ไม่มีเอกสารใดรองรับด้วยรายงานการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์

ภาษาแห่งราชา ภาษาที่สามัญชนไม่มีสิทธิ์ได้ยิน มีเอกสารเพียงน้อยนิดที่กล่าวถึงมัน

มีข่าวลือว่ามหาจักรพรรดิองค์ปัจจุบันสามารถใช้เอล·ลูน่าได้ แต่ไม่มีทางที่คนระดับลิลี่จะยืนยันเรื่องนี้

เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะได้สัมผัสกับของจริงในบรรยากาศสบายๆ มิใช่ในเหตุการณ์ใหญ่ของโลก

ลิลี่หันไปมองคังซอนฮู

ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะไม่ตระหนักถึงความสำคัญของเอล·ลูน่าจริงๆ

“…นี่เจ้า”

“มีอะไร? มัวยืนเหม่อทำไม”

“ภาษาที่เจ้าใช้ อย่างน้อยเท่าที่ข้าทราบ มันไม่ใช่ภาษาธรรมดา แต่เป็นภาษาของราชัน”

คังซอนฮูที่กำลังรื้อกระเป๋า เงยหน้ามองลิลี่

“ฉันแค่ครูพักลักจำมา เคยได้ยินจากสมาคมการค้าภายในเมือง”

ต้องเป็นเมืองแบบไหน สมาคมการค้าถึงใช้ภาษาแห่งราชัน?

…หรือว่าเขาจะเป็นเชื้อพระวงศ์จริงๆ

พยายามสร้างเรื่องปกปิดชาติกำเนิดใช่ไหม

คำว่าเชื้อพระวงศ์ไม่จำเป็นต้องหมายถึงตระกูลที่ปกครองอาณาจักร

ในต่างโลก คำว่าเชื้อพระวงศ์ใกล้เคียงกับชื่อเฉพาะมากกว่า

จำพวกกษัตริย์ของอารยธรรมโบราณในตำนาน และเหล่าทายาท

สายเลือดที่ไม่มีใครเชื่อว่ามีอยู่จริง

ถูกพิสูจน์มาแล้วหลายครั้งว่าเป็นเพียงเรื่องแต่ง

ลิลี่กำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้งทางข้อมูล

การได้เห็นกับตาตัวเอง ถ้าไม่เชื่อก็ดูจะเป็นคนโง่เกินไปสักหน่อย

ทว่า

‘ไม่สมเหตุสมผลเลยที่เผ่าพันธุ์ซึ่งถูกเก้าเทวราชาทอดทิ้ง จะมีสายเลือดเชื้อพระวงศ์โบราณ’

สมองลิลี่เริ่มปั่นป่วน

ขณะหญิงสาวครุ่นคิด คังซอนฮูดึงอัญมณีสีเขียวออกมา

คันศรนักพเนจรก่อตัวเป็นรูปร่างอย่างรวดเร็ว

ลูกศรในมือซ้ายคือ ‘แกรปปลิงแอร์โรว์’

รูปทรงแตกต่างจากครั้งก่อนเล็กน้อย

เป็นรุ่นพัฒนาที่นำความรู้จากการใช้งานในอดีตมาปรับปรุง

คังซอนฮูยิงศรสามนัดไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!

ไม่ใช่แค่ยึดไว้กับหิน แต่ปลายตะขอยังมีกลไกสำรองที่ช่วยให้เกาะติดแน่นขึ้น

เกิดเป็นสะพานเชือกสามเส้น

คังซอนฮูยังไม่วางใจ จึงดึงเชือกนิรภัยสองเส้นที่พกติดตัวไว้ ผูกเข้ากับต้นไม้และหินหลายชั้น

จากนั้นก็ผูกเข้ากับบ่วงเซฟตี้ของตนและลิลี่

“ต่อให้เชือกลูกศรหลุด เราก็จะไม่ตกลงไป”

เป็นระบบความปลอดภัยสองชั้น คังซอนฮูไม่เคยประมาทในเรื่องนี้

ลิลี่และคังซอนฮูข้ามสะพานเชือกด้วยความระมัดระวัง ต้องขอบคุณสะพานเชือกสามเส้นที่มั่นคง การข้ามจึงผ่านไปอย่างราบรื่นและมีที่ว่างพอสำหรับแกว่งแขนอย่างสะดวก

หลังจากถอดเชือกนิรภัยเก็บ คังซอนฮูกับลิลี่หันกลับไปมองด้านหลัง

ผืนป่าขนาดมหึมาที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา

“…ป่า”

ความประทับใจแรกของคังซอนฮูไม่ซับซ้อน

“ไม่ใช่แค่ป่า”

เอลซิน·พอเรียลี่ในภาษาเอลฟ์

ป่าที่ถูกคุ้มครองโดยดารากร

จากบรรดาป่าที่ลิลี่เคยเห็น มีเพียงไม่กี่แห่งที่ใหญ่ขนาดนี้ ภาพรวมของป่าต้องมองจากแผนที่เท่านั้นจึงจะเห็นรูปร่างที่แท้จริง

ผืนป่าที่ครอบคลุมทุ่งกว้างเกือบทั้งหมดย่อมมีวิญญาณที่แข็งแกร่ง ลิลี่เงยหน้าขึ้นพลางส่องโฉมวิญญาณของป่า

“เห็นอะไรบ้างไหม”

“…งูขาว”

“งู…”

“งูสีขาวขนาดเท่าภูเขา กำลังขดตัวพักผ่อน”

ท่าทีผ่อนคลายสมกับวิญญาณแห่งป่า เป็นโฉมวิญญาณที่บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของป่าได้ดี

กล่าวจบ ลิลี่ลดสายตาลงมามองป่าอีกครั้ง เช่นเดียวกับคังซอนฮู

“เข้าไปกันเถอะ หลังจากนี้ต้องตื่นตัวเป็นพิเศษ”

“อื้อ”

ป่าที่มีดารากรคุ้มครอง สามารถเข้าได้เฉพาะคนที่ถูกอวยพรโดยดารากร

แวมไพร์ขุนนางและรอยัลบลัดอย่างเธอ ย่อมมีดารากรคุ้มครอง

เช่นเดียวกับคังซอนฮู

สายลมพัดมาจากสักแห่ง คังซอนฮูไม่ตอบสนองต่อสายลม เพียงพยายามดมกลิ่นที่ลอยมาพร้อมกัน

หลังจากได้ยินเสียงใบไม้ไหว ลิลี่แหงนมองท้องฟ้าตามจิตใต้สำนึก

“…?”

ท้องฟ้าที่ถูกต้นไม้บดบังจนเกือบหมด

มองลอดผ่านช่องว่างที่เหลืออยู่ คล้ายกับเธอเห็นบางสิ่งกำลังลอยบนฟ้า

* * *

ป่าเงียบกว่าที่คิดไว้มาก

ไม่สิ มันเงียบเกินกว่าจะเป็นป่า

เป็นธรรมดาที่จะต้องระวังอันตราย

ฉันนำเข็มชี้สีทองออกมาตรวจสอบ

แม้จะแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ปลายเข็มสั่นไปมาอย่างเห็นได้ชัด

“เข้าใกล้เรื่อยๆ แล้ว”

บางที อีกไม่นานก็คงพบ

ลิลี่กับฉันเดินลึกเข้าไปในป่า คาดหวังให้หาเจอเร็วๆ

หลังจากเดินวนเวียนอยู่ในป่านานสี่วัน พวกเราตัดสินใจเตรียมทำศึกระยะยาว และสร้างค่ายชั่วคราวขึ้น

ยิ่งเข้าไปลึก ระยะทางที่เดินได้ก็ยิ่งลดลง เห็นได้ชัดว่าพละกำลังของลิลี่ตกไปมาก ฉันก็ไม่ต่างกัน

เอกลักษณ์ของทุกป่าคืออากาศที่ร้อนชื้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ยิ่งเข้าไปข้างใน อากาศก็ยิ่งชื้นและหนัก ร่างกายจึงขับความร้อนได้น้อยลง

ป่าบนโลกก็ไม่ต่างกัน แต่อย่าลืมว่าป่าในต่างโลกมีปริมาณสารอาหารและพลังงานเข้มข้นกว่าบนโลก

ในวันเดียวกัน หลังจากสำรวจทางทิศใต้เสร็จ พวกเรากลับมาที่ค่ายและล่าสัตว์กินเป็นอาหาร

ฉันสามารถระงับความหิวได้ด้วยเสบียงของซอจีอา แต่ลิลี่ต้องดื่มเลือด

หลังจากขุดดิน พวกเราโยนฟืนที่รวบรวมมาลงไปในหลุม

“โมห์สmohs”

ลูกไฟถูกสร้างขึ้นใต้ฟืน เพียงไม่นาน ควันลอยขึ้นพร้อมกับฟืนที่ติดไฟ

ลิลี่นั่งผิงกองไฟด้วยท่าทีอ่อนเพลีย

“พักจนพระอาทิตย์ขึ้น ค่อยออกไปสำรวจกันใหม่ ระหว่างนั้น ฉันจะไปสำรวจทางตะวันออกคนเดียว”

ลิลี่ส่ายหน้า

“ฉันก็จะไปด้วย แค่นี้ยังไหว เทียบกับการฝึกของท่านพ่อไม่ได้เลยสักนิด”

หลังจากพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าโดยสมบูรณ์ แหล่งความสว่างเดียวของค่ายคือลูกไฟสามดวงที่ฉันเสกไว้

แหงนมองขึ้นไปด้านบน แนวต้นไม้เรียงซ้อนกันหนาทึบจนมองไม่เห็นท้องฟ้าแม้แต่น้อย

รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในห้องปิดขนาดใหญ่ มากกว่ากลางแจ้ง

“…ก็แปลกดีนะ”

“แปลกยังไง”

“เมื่อป่าพัฒนาไปถึงระดับหนึ่ง มันจะกลายเป็นห้องปิดตายขนาดมหึมา ไม่เพียงจะปิดกั้นด้านพื้นที่ แม้แต่ระบบนิเวศน์ภายในก็ยังหมุนเวียนได้อย่างสมบูรณ์ด้วยตัวเอง”

“หืม…”

ลิลี่แหงนหน้ามอง

“…รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในปราสาทหลังใหญ่”

“ปราสาทยักษ์สีเขียว”

“ใหญ่จนไม่รู้ว่ามีตัวอะไรอาศัยอยู่บ้าง”

คำพูดของเธอทำเอาฉันหัวเราะแห้ง

ตามที่ลิลี่พูด ที่นี่ไม่ใช่ปราสาทที่สะดวกสบายขนาดนั้น

และเพียงไม่นาน มันก็ถูกพิสูจน์ว่าเป็นความจริง

ไม่สิ มันถูกพิสูจน์มาสักพักแล้ว

ฉันจงใจก้มหน้าลงพลางแสร้งจ้องกองไฟ ตามด้วยกระซิบแผ่วเบา

“ลิลี่”

“อื้อ”

“ดูเหมือนว่าจะมีเจ้าถิ่นอาศัยอยู่ในปราสาท… นั่นสินะ อาคารที่ไหนจะไม่มีเจ้าของอาศัย”

“…”

เป็นคำพูดที่ค่อนข้างอ้อมค้อม

เพราะฉันไม่แน่ใจว่าเจ้าถิ่นหูดีแค่ไหน

“…มีโอกาสกี่เปอร์เซ็นต์ที่เจ้าถิ่นจะต้อนรับเราอย่างเป็นมิตร”

แกร่ก—!

ลิลี่ที่ได้ยินคำพูดของฉัน โยนฟืนเข้าไปในกองไฟ

“ส่วนใหญ่จะตรงกันข้ามนะ”

“เป็นคำตอบที่ดี”

ฟุ่บฟุ่บฟุ่บฟุ่บฟุ่บฟุ่บ!

พวกเราขยับตัวทันทีที่ได้ยินเสียงลูกธนู ลิลี่หมอบอยู่ด้านหลังท่อนซุงที่นำมาทำเป็นเก้าอี้ ส่วนฉันกระโดดไปข้างหน้าเพื่อหลบลูกศรที่ยิ่งใส่ขา

เคร้ง!

ศรดอกหนึ่งที่พุ่งใส่ใบหน้าปะทะเข้ากับปลายแขน ลูกศรหักครึ่งในพริบตา

โลหะผสมที่ถูกเย็บไว้ด้านในชายเสื้อแจ็กเกต

คุณแทชิกเซนส์ดีชะมัด

ฉึบ ฉึบ ฉึบ!

เสียงฝีเท้าดังขึ้นทันที คงเพราะการลอบจู่โจมไม่ได้ผล อีกฝ่ายจึงพยายามโหมบุกเพื่อรักษากระแสเอาไว้

พิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้น คนกลุ่มนี้ลงมืออย่างเป็นระบบและมีการวางแผน

เป็นกลุ่มนักล่าที่ทำตัวคล้ายไฮยีน่าแห่งป่า

ไม่สิ ไม่ใช่นักล่า แต่เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทมนุษย์ เพราะเมื่อครู่เพิ่งยิงธนูใส่

ซ้ายสอง ขวาสาม ข้างหน้าห้า

การหยั่งเชิงเกิดขึ้นเพียงครู่เดียว พวกมันพยายามเข้าใกล้เราเพื่อหาโอกาสโจมตี

และนั่นคือจังหวะที่ฉันรอคอย

「คันศรนักพเนจร」

สายถูกดึงก่อนที่ศรจะสร้างเสร็จ ปลายศรหุ้มด้วยผ้าชุ่มน้ำมัน

“โมห์สmohs”

ฉันปล่อยสายพร้อมกับเปล่งรูน เปลวไฟลุกขึ้นที่หัวลูกศรทันที เป้าหมายคือตำแหน่งขวดสารประกอบที่ฉันวางเอาไว้ล่วงหน้า

ลงเอยด้วย

บึ้มบึ้มบึ้ม!

เกิดระเบิดดังต่อเนื่องพร้อมกับเปลวไฟที่ลุกลาม ทุกสิ่งล้วนเป็นกับดักที่ถูกวางไว้รอบค่าย

พรึบ—!

นกกลุ่มใหญ่รีบกระพือปีกบินหนีขึ้นฟ้า

“อั่ก…”

ควันลอยขึ้นจากร่างที่กระเด็นและกลิ้งไปบนพื้น กับดักของฉันจัดการไปได้สามคน

เปลวไฟลุกลามเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นป่าที่ชื้นแค่ไหน แต่ไฟไหม้คือของคู่กัน

อย่างไรก็ดี ที่นี่คือเอลซิน·พอเรียลี่

ไม่มีทางที่ป่าในต่างโลกจะวอดวายเพียงเพราะไฟกลุ่มเดียว

ซ่า!

กลไกป้องกันไฟไหม้ป่าทำงาน น้ำฝนพรั่งพรูจากแนวต้นไม้ที่เรียงรายปิดน่านฟ้า

ฉันกระโจนเข้าใส่หนึ่งในผู้โจมตีและสอดมีดไปที่คอ

“…เผยตัวออกมาให้หมด ไม่อย่างนั้นหมอนี่ตาย”

ไม่มีความจำเป็นต้องเล่นงานคนที่เหลือ

ถ้าเป็นกลุ่มที่ลงมืออย่างมีระเบียบวินัย มีแนวโน้มสูงที่จะไม่สละชีวิตพวกพ้องส่งเดช

อย่างน้อยก็ต้องชะงักไปครู่หนึ่ง นั่นเพียงพอให้ฉันสังเกตท่าทีและตัดสินใจลงมือขั้นตอนถัดไป

เป็นไปตามคาด คนที่เหลือค่อยๆ โผล่ออกมา

ทุกตนเป็นเอลฟ์ กลุ่มเอลฟ์หนุ่มที่สวมชุดบางๆ ซึ่งหาได้จากป่า

ผอมกว่าที่คิด มวลกล้ามเนื้อต่ำกว่ามาตรฐาน

แต่ความเกลียดชังในแววตานั้นเต็มเปี่ยม

“ไอ้มนุษย์ชั่ว!”

เอลฟ์หนุ่มที่น่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มตะโกน

“กล้าดียังไงถึงเข้ามาเหยียบย่ำเอลซิน·โพเรียลี่เป็นหนที่สาม! พวกแกมาจากไหนกันแน่!”

“…หนที่สาม?”

นอกจากฉัน เคยมีมนุษย์พยายามเข้ามาสำรวจที่นี่ถึงสองครั้ง?

แม้จะยังไม่แน่ใจ แต่ฉันไม่เก็บมาใส่ใจ

“…”

ฉันกล่าวกับคนที่กำลังนอนบนพื้นและถูกมีดจ่อคอ

“พวกนายเป็นใคร”

“คนไร้กลุ่มอย่างแกไม่มีสิทธิ์รับรู้…”

“ถ้าไม่บอกก็ตายซะ”

“…”

สะดุ้งแรงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะพวกพ้องของมัน

ในเมื่อพูดกันรู้เรื่อง ปัญหาย่อมคลี่คลายได้ง่ายกว่าปรกติ

“พวกเราคือเอลซินี่”

“เอลซินี่?”

ลิลี่เดินเข้ามาใกล้พร้อมกับกระซิบ

“…นักบวชเอลฟ์ ทุกคนดูเหมือนยังเป็นมือใหม่”

“นักบวชเอลฟ์มีหน้าที่อะไร”

“เข้าฌานในป่าที่ปกป้องโดยดารากร เพื่อที่จะกลายเป็นดารากร”

“…”

“เอลฟ์คือเผ่าพันธุ์เดียวที่ทุกตนถูกปกป้องโดยดารากร จึงมีบางตนที่ต้องการขึ้นสู่สรวงสวรรค์ด้วยการบำเพ็ญตบะอย่างสันโดษ คนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่าเอลซินี่ ภาษาทางการคือเอลฟ์นักบวช”

นักบวช

“แล้วทำไมถึงโจมตีพวกเรา”

“นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่คนของเจ้าทำให้ป่าศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน! ความอดทนของเราถึงขีดจำกัดแล้ว! ออกไปซะ! ถึงแม้เราจะพ่ายแพ้ แต่เจ้าไม่มีทางรอดจากคำสาปของป่าได้แน่!”

“…”

รู้เรื่องป่าดีนี่

“…รู้ใช่ไหมว่าในป่าแห่งนี้มีโบราณสถาน”

หัวหน้ากลุ่มเผยสีหน้าตื่นตระหนก

แม้จะยังไม่เห็นท่าทีเป็นมิตรจากอีกฝ่าย แต่ฉันตัดสินใจไม่อ้อมค้อม

“ฉันรู้ว่าที่นี่มีโบราณสถาน อย่าได้คิดโกหกเชียว นำทางไปเร็วเข้า”

“สมแล้วที่เป็นเผ่าพันธุ์แห่งความโลภ! เพราะแบบนี้ถึงถูกเทพทอดทิ้งยังไงล่ะ! เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในโบราณสถาน ชะตากรรมเดียวคือการคว้าน้ำเหลว รีบถอดใจและกลับไปก่อนที่ป่าจะพิโรธดีกว่า…”

“ถ้าไม่นำทางให้ฉัน หมอนี่ตายแน่นอน และพวกนายทุกคนด้วย”

ฉึบ!

ทันทีที่กระตุกเอ็นในมือแผ่วเบา กับดักที่ถูกติดตั้งไว้ล่วงหน้าเริ่มทำงานพร้อมกับส่งเสียง

“…”

หัวหน้าเอลฟ์รีบหันหลังราวกับมีจิตสัมผัส

“ตามข้ามา”

ฉันกระชากเอลฟ์ที่นอนอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้น

ลิลีด้านข้างกระซิบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“…ทำไมเจ้าไม่บอกว่าตัวเองคือผู้ปกครอง”

“มันจะได้ผลกับไอ้พวกที่ดูแคลนมนุษย์ตั้งแต่คำแรกหรือ? ไม่มีทาง ฉันเบื่อที่จะต้องคอยอธิบาย และมองว่าไม่จำเป็นต้องมีมารยาท”

ลิลี่เห็นด้วยทันที

ไม่มีประโยคใดเลยที่ผิด

ด้วยเหตุนี้ การสำรวจนานสี่วันเต็มก็ได้ข้อสรุป

* * *

หัวหน้าเอลฟ์ขบกรามแน่น

ในรอบหนึ่งปี เป็นครั้งที่สามแล้วที่มนุษย์ทำให้ป่าศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน

ตอนแรกพวกมันพยายามอดทน เพราะยังไงป่าก็ไม่อนุญาตให้มนุษย์เข้ามาได้อยู่แล้ว

ทว่า มนุษย์ไม่ลดละความท้าทาย พยายามดูแคลนผืนป่าอันศักดิ์สิทธิ์หนแล้วหนเล่า ทำให้ป่าปนเปื้อนด้วยเครื่องพ่นของเหลวแปลกประหลาด

สำหรับผู้ที่รักป่าและต้องการเดินบนวิถีแห่งการบรรลุ พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรง

พวกมันจึงไม่ทนอีกต่อไป ตัดสินใจลงมือด้วยตัวเองโดยไม่รอให้คำสาปของป่าทำงาน

เนื่องจากยังไม่บรรลุ จึงยังไม่มีใครครอบครองพลังพิเศษ

แต่นี่คือครั้งแรกที่ถูกเล่นงานกลับจนสิ้นท่าขนาดนี้

หันไปด้านหลัง เอลฟ์นักบวชที่บาดเจ็บยังคงถูกจับเป็นตัวประกัน

‘…ถ้าไม่ใช่ผู้ปกครอง มันไม่มีทางเข้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่แล้ว’

คิดเช่นนั้น หัวหน้าเอลฟ์เริ่มใจเย็นลง

เมื่ออีกฝ่ายตระหนักว่าไม่มีทางเข้าไปในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทางเลือกเดียวคือการยกธงขาว และเมื่อถึงตอนนั้น คำสาปของป่าจะกัดกินชีวิตจนถึงแก่ความตาย

นั่นคือสิ่งที่มันคิด

เรื่องเดียวที่ยังกวนใจคือแวมไพร์สาวด้านหลัง

หากสตรีผู้นั้นเป็นขุนนาง มีโอกาสสูงที่จะถูกคุ้มครองโดยดารากรและไม่ได้รับคำสาป

‘…คงต้องรอให้มนุษย์ตายไปก่อน’

ในศึกก่อนหน้า คนที่ลงมือเกือบทั้งหมดคือมนุษย์ผู้ชาย

ยังไม่สายเกินไปที่จะรอให้คำสาปทำงาน

กลุ่มเอลฟ์เดินนำทางไปยังทิศใต้ เป็นทิศที่คังซอนฮูเคยสำรวจมาแล้ว

“…ตรงนี้”

คังซอนฮูมองไปยังทิศทางที่เอลซินี่ชี้

ที่นั่นไม่มีอะไรเลย เป็นเพียงป่าตามปรกติ

แต่ทันใดนั้น คังซอนฮูเริ่มสังเกตเห็นความผิดปรกติ

“เพราะแบบนี้สินะ ตอนแรกถึงมองไม่เห็น”

กระจก

ระบุให้ชัดเจนก็คือ ด้านหน้ามีบาเรียที่คอยสะท้อนทิวทัศน์โดยรอบเพื่อหลอกตา

บาเรียทรงโดมขนาดมหึมาที่คลุมโบราณสถานเอาไว้

ตอนแรกก็ดูไม่ออก จนกระทั่งเห็นร่องรอยการอำพรางแถวพุ่มไม้

เมื่อค้นพบความจริง ฉันฉุกคิดถึงความผิดปรกติบางอย่าง

“…ลิลี่ พวกเราผ่านมาทางนี้แล้วไม่ใช่หรือ”

“ฉันหันไปมองทางอื่นพอดี”

“…โชคไม่เข้าข้างสินะ ถ้าไม่ใช่เพราะการอำพราง คงหาพบได้นานแล้ว”

หัวหน้าเอลซินี่จ้องมนุษย์ด้วยสายตาอาฆาต

“ยังไงเสีย พวกเจ้าก็เข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว และไม่มีทางลัดอื่นสำหรับผ่านเข้าออก รีบตัดใจแล้วกลับไปดีกว่า ถ้ากลับตอนนี้อาจไม่มีใครต้องตาย”

คล้ายกับมนุษย์แสร้งทำหูทวนลม

เอาแต่แหงนหน้ามองบาเรียด้วยสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะเลื่อนมือออกไปสัมผัส

พฤติกรรมของคังซอนฮูมีแค่นี้

แต่แค่นี้ก็เพียงพอ

เหล่าเอลซินี่แทบหยุดหายใจ บางคนผงะถอยหลัง

ทันทีที่ถูกมือสัมผัส บาเรียป้องกันระดับสูงที่ปราศจากรอยต่อ เริ่มแยกออกเป็นชิ้นสามเหลี่ยม

เสียงคล้ายไข่มุกโลหะกลิ้งบนถาดเหล็กดังกังวานไปทุกทิศ

สามเหลี่ยมที่แยกออกจากกันโดยมีศูนย์กลางเป็นฝ่ามือมนุษย์ ค่อยๆ พับเข้าหากันจนมีขนาดเล็กลง

เสียงดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป

จนกระทั่งบาเรียที่คลุมรอบโบราณสถาน หดตัวกลายเป็นสามเหลี่ยมหนึ่งแผ่น ที่มีขนาดเท่าถาดไม้วางเครื่องดื่มในร้านเหล้า

แปะ!

กระจกสามเหลี่ยมตกลงที่ปลายเท้ามนุษย์

ปัจจัยที่ทำให้เหล่าเอลซินี่ตกตะลึงมิใช่แค่ฉากเมื่อครู่

หลังจากทุกสิ่งจบลง ทุกคนมองเห็นรอยสักส่องแสงสีแดงบนหลังมือมนุษย์

รอยสักรูปเขี้ยวสัตว์

อาจไม่มีใครทราบความหมายของเขี้ยว

แต่ทุกคนรู้ว่าเป็นรอยสักของผู้ปกครอง

คังซอนฮูก้มหยิบกระจกสามเหลี่ยมด้วยความสนใจ

เลือดฝาดค่อยๆ ซีดจางไปจากใบหน้าเหล่าเอลซินี่

ผู้ปกครอง?

มนุษย์เนี่ยนะ?

มีเชื้อสายของตระกูลใหญ่?

หรือเป็นตระกูลสาขา?

เมื่อครู่ พวกตนเสียมารยาทกับคนใหญ่คนโตเช่นนี้?

ไม่สิ มนุษย์ยังไงก็เป็นมนุษย์

จะมีโฉมผู้ปกครองได้อย่างไร

คำถามมากมายผุดขึ้นในหัว

แต่พวกมันไม่มีเวลาให้ไตร่ตรองนานนัก

ถ้าจะถามถึงโอกาส ไม่มีจังหวะใดเหมาะไปกว่าวินาทีนี้อีกแล้ว

______________________

ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (2/4)

ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:

https://www.facebook.com/bjknovel/

หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด