บทที่ 38: มองโลกในแง่ดีเกินไป
บทที่ 38: มองโลกในแง่ดีเกินไป
“ค่ายกลป้องกันของพวกมันถูกทำลายแล้ว เร็วเข้า จัดการพวกมันซะ เคล็ดวิชาการฝึกตนและอาวุธของพวกมันจะต้องเป็นของเรา!”
“บัดซบ! เปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายเร็ว!”
หยุนหลี่เกอตะโกนบอกให้ศิษย์น้องทั้งสองของเขาเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้าย
การสูญเสียค่ายกลป้องกันไม่ใช่เรื่องตลก!
เหตุผลที่พวกเขาสามารถต่อสู้ได้นานขนาดนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะค่ายกลป้องกัน
มันเกือบจะทำให้ความเสียหายทั้งหมดที่พวกเขาได้รับมากลายเป็นโมฆะ
ไม่เพียงแต่ความเสียหายจากการโจมตีของผู้อื่นเท่านั้น แต่มันยังรวมถึงความเสียหายจากคลื่นกระแทกจากการต่อสู้ด้วย แม้แต่ความเสียหายจากคลื่นกระแทกจากการโจมตีของพวกเขาเองก็ยังถูกกันไว้โดยค่ายกลป้องกันของอาจารย์ของพวกเขา
ในตอนนี้ ถ้าไม่มีค่ายกลป้องกัน เมื่อการโจมตีของอีกฝ่ายมาถึงพวกเขา พวกเขาก็คงจะได้ตายจริงๆ แน่
อย่างไรก็ตาม!
เมื่อพวกเขากระตุ้นค่ายกลเคลื่อนย้าย มันก็มีแสงวาบขึ้นบนร่างกายของพวกเขาก่อนที่จะหรี่ลงอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ทั้งสามคนรู้สึกเย็นเยียบในทันที
ค่ายกลเคลื่อนย้ายล้มเหลว!
ริมฝีปากของผู้นำนิกายอสูรกระดูกขาวม้วนขึ้น
“เจ้าคิดว่าพวกข้าโง่หรอ? พวกเจ้าได้ทำสิ่งต่างๆ กับนิกายของข้าไปมากมาย แบบนั้นแล้วคิดหรอว่าพวกข้าจะยังดูถูกพวกเจ้า? พื้นที่มิติทั้งหมดบนภูเขากระดูกขาวได้รับการปิดผนึกจากค่ายกลป้องกันนิกายของข้ามานานแล้ว ค่ายกลเคลื่อนย้ายของพวกเจ้าไม่มีทางใช้งานได้หรอก!”
“ผู้อาวุโสหนึ่ง! กำจัดพวกมัน! ใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อดูดวิญญาณของพวกมันโดยตรงและดึงเอาเคล็ดวิชาการฝึกตนออกมา!”
“รับทราบ!”
ผู้อาวุโสหนึ่งยิ้มอย่างชั่วร้ายและส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ เขาให้เริ่มโจมตีอีกครั้ง
หยุนหลี่เกอและอีกสองคนต้องการจะต่อต้าน แต่พวกเขาก็อยู่ที่ปลายเชือกแล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะสามารถรับมือกับผู้ที่มีขอบเขตการฝึกตนเหนือกว่าแบบตัวต่อตัวได้ แต่นั่นก็คนละเรื่องกันเมื่อพวกมันมากันเป็นกลุ่ม!
ปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้นคือพวกเขาสูญเสียค่ายกลป้องกันของพวกเขาไปแล้ว!
แม้แต่คลื่นกระแทกจากการต่อสู้ก็ยังอาจทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสได้
เวร!
ทั้งสามคนรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาในทันที
ถ้าพวกเขารู้แบบนี้ พวกเขาก็คงจะไม่ทำตัวอวดดีเหมือนก่อนหน้านี้!
อาจารย์ของพวกเขาพูดถูกมาโดยตลอด ถ้าชนะได้ก็ควรสู้ แต่ถ้าไม่ พวกเขาก็ควรจะวิ่งหนีตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังมีโอกาส!
หากพวกเขารีบเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายและหลบหนีไปตั้งแต่ตอนที่ผู้นำนิกายอสูรกระดูกขาวปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็คงจะไม่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณฺเช่นนี้
ในตอนนี้ พวกเขาก็เกือบจะจินตนาการได้ว่าทันทีที่การโจมตีของทั้งสองฝ่ายปะทะกัน คลื่นกระแทกที่รุนแรงจากการต่อสู้ก็จะทำให้ทั้งสามคนได้รับบาดเจ็บในทันที
การโจมตีของผู้อาวุโสของนิกายอสูรกระดูกขาวกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ วินาทีสั้นๆ ที่เจ็บปวดและทรมานนี้ทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่ามันกินเวลานานนับศตวรรษ
พวกเขาทั้งสามรีบหมุนเวียนเคล็ดวิชาการฝึกตนของพวกเขาอย่างบ้าคลั่งเพื่อทำการต่อต้าน แม้ว่าคลื่นกระแทกจะอาจสามารถฆ่าพวกเขาได้ แต่ปฏิกิริยาตอบสนองโดยสัญชาตญาณของการเผชิญหน้ากับความตายก็ยังคงผลักดันให้พวกเขาดิ้นรนต่อต้าน
อย่างไรก็ตาม!
ขณะที่การโจมตีของพวกเขากำลังจะปะทะกัน ออร่าขนาดใหญ่ที่ทรงพลังก็ดึงพวกเขาทั้งสามหลบไปข้างหลังในทันใด
“เจ้าพวกเด็กเหลือขอ ทั้งที่ไม่มีค่ายกลป้องกันแต่ก็ยังกล้าที่จะไปสู้กับพวกมัน พวกเจ้าไม่กลัวตายกันเลยรึไง?!”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้ ทั้งสามคนก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งรินน้ำตาออกมา
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พวกเขารู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่นั้นวิเศษเพียงใด
“อาจารย์!”
ทั้งสามคนเรียกเขาว่าอาจารย์อย่างเสน่หา เสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความละอายใจและความเคารพ
ลู่เสี่ยวหรันไม่ได้สนใจพวกเขา
กายาทองไร้เทียมทานไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา ออร่าสีทองพุ่งออกมาจากแขนของเขา มันก่อตัวเป็นแขนสีทองขนาดใหญ่
จากนั้นเขาก็คว้าการโจมตีที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าเขา มันปะทะกับการโจมตีของผู้อาวุโสจากสมาคมผู้อาวุโสของนิกายอสูรกระดูกขาวโดยทันที
บึ้ม!
ด้วยเสียงที่คมชัด ลู่เสี่ยวหรันก็ได้ทำลายการโจมตีของผู้ฝึกตนขอบเขตรวมสูญสองคนและผู้อาวุโสขอบเขตสกัดวิญญาณหลายคน
พลังจากการโจมตีสูญเสียการควบคุมและระเบิดออกในวินาทีถัดมา
บู้มมมม!
เกิดเสียงดังขึ้นบนท้องฟ้า และรัศมีโดยรอบ 50 กิโลเมตรก็สว่างไสว
เมฆรูปเห็ดลอยขึ้น และจากนั้นพลังวิญญาณก็ระเบิดออก มันกวาดออกไปและบังคับให้ผู้อาวุโสนิกายอสูรกระดูกขาวต้องล่าถอยในทันที
พัฟ!
พวกเขาหลายคนอดไม่ได้ที่จะกระอักเลือดออกมาเต็มปากและถอยกลับไปยังตำแหน่งเดิม
ฉากนี้ทำให้สภาพแวดล้อมตกอยู่ในความเงียบงันในทันที
ครั้งเดียว!
ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เขาก็ได้ปราบปรามสมาคมผู้อาวุโสของนิกายอสูรกระดูกขาวทั้งหมดโดยตรง แม้ว่าจะมีผู้อาวุโสหนึ่งที่ไม่ได้โจมตี แต่ลู่เสี่ยวหรันก็ยังไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างสมบูรณ์!
แล้วถ้าผู้อาวุโสหนึ่งมีส่วนร่วมล่ะ?
เขาก็แค่ทำให้ลู่เสี่ยวหรันใช้แรงเพิ่มขึ้นก็เท่านั้น
อึก!
ผู้อาวุโสหนึ่งของนิกายอสูรกระดูกขาวกลืนน้ำลายอย่างแรงและมองไปที่ผู้นำนิกายของตน
เหงื่อเย็นเยียบไหลออกมาจากหน้าผากของผู้นำนิกายอสูรกระดูกขาว อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถตื่นตระหนกได้ ในเวลานี้ ถ้าเขาตื่นตระหนก สถานการณ์ทุกอย่างก็จะกลายเป็นโกลาหล
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่คิดเลยว่านิกายอสูรสวรรค์จะมีอัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้เช่นเจ้า เจ้าทำให้ขอบเขตอันไกลโพ้นของนิกายอสูรกระดูกขาวของข้ากว้างขึ้นจริงๆ สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นความเข้าใจผิดทั้งหมด นิกายอสูรกระดูกขาวของข้าและนิกายอสูรสวรรค์ของเจ้าต่างก็ถือได้ว่าเป็นมิตรกันมานานหลายปี ทำไมเราไม่หยุดการต่อสู้ลงที่นี่ล่ะ?”
“เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
มุมปากของลู่เสี่ยวหรันเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ ที่เต็มไปด้วยท่าทีเยาะเย้ย
ผู้นำนิกายอสูรกระดูกขาวกัดฟันของเขา อันที่จริง เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะยอมตกลงอยู่แล้ว อีกฝ่ายได้ฆ่าคนของเขาไปมากมาย และมันก็เป็นสถานการณ์ที่พวกเขาจะต้องต่อสู้กันให้รู้ดำรู้แดง
ในโลกแห่งศิลปะการต่อสู้ ผู้อ่อนแอก็ตกเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง ในเมื่ออีกฝ่ายได้เปรียบ แบบนั้นแล้วพวกเขาจะปล่อยให้นิกายอสูรกระดูกขาวรอดไปได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม… ลู่เสี่ยวหรันก็เห็นได้ชัดว่ามีพลังมหาศาลและสามารถทำลายนิกายอสูรกระดูกขาวได้ด้วยตัวเอง แบบนั้นแล้วทำไมเขายังต้องพึ่งพาศิษย์ของเขา? ทำไมเขาถึงเพิ่งจะแสดงตัวออกมาตอนนี้?
ในขณะนั้นเอง จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นจากบนท้องฟ้า
บู้มมมมม!
การระเบิดครั้งนี้ทำให้ทุกคนตกใจ
ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเสียงฟ้าร้องก็ค่อยๆ ดังถี่ขึ้นและท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยประกายแสงแวววับ
“เจ้าทำอะไรลงไป?!”
ดวงตาของผู้นำนิกายอสูรกระดูกขาวเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที
ลู่เสี่ยวหรันยักไหล่และยิ้มอย่างอบอุ่น
“ก็ไม่มีอะไรมาก มันก็เป็นแค่ค่ายกลโจมตีที่ข้าตั้งขึ้นในนิกายอสูรกระดูกขาวของเจ้า และเมื่อมันถูกเปิดใช้งาน สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในค่ายกลก็จะถูกทำลายก็เท่านั้นเอง”
“อะไรนะ?!”
ผู้นำนิกายอสูรกระดูกขาวอุทานขณะที่นัยน์ตาของเขาหดตัวลง
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมลู่เสี่ยวหรันถึงได้เพิ่งมาปรากฎตัวในตอนนี้
เขาใช้ลูกศิษย์เพื่อถ่วงเวลา!
สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่การทำลายนิกายอสูรกระดูกขาว แต่เป็นการลบนิกายอสูรกระดูกขาวออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์!
ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงไม่ได้ปรากฏตัวออกมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
ในที่สุดผู้นำนิกายอสูรกระดูกขาวก็ได้รู้ว่าลู่เสี่ยวหรันน่ากลัวเพียงใด!
ผู้ชายคนนี้เป็นปีศาจตัวจริงเสียงจริง เขาเป็นคนประเภทที่จะต่อสู้จนตายไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้นำนิกายอสูรกระดูกขาวก็ไม่ต้องการที่จะยอมแพ้ เขากลับขู่ว่า
“ข้าขอยอมรับว่าค่ายกลที่เจ้าตั้งไว้ก่อนหน้านี้นั้นอันตรายมากจริงๆ มันสามารถระงับความแข็งแกร่งของนิกายอสูรกระดูกขาวทั้งหมดของเราได้ อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นเพียงการปราบปรามชั่วคราว เจ้าไม่ประเมินตัวเองสูงเกินไปหน่อยหรอ? เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถใช้ค่ายกลโจมตีเพื่อทำลายนิกายอสูรกระดูกขาวของเราได้จริงๆ หรอ ในวันนี้ ตราบใดที่ใครสักคนจากนิกายของเราสามารถหลบหนีออกไปและรายงานเรื่องนี้ต่ออาณาจักรโจวอันยิ่งใหญ่ได้ เจ้าคิดหรอว่าเจ้าจะสามารถรับผลที่จะตามมาได้?”
ลู่เสี่ยวหรันพยักหน้า
“เจ้าฉลาดมากและวิเคราะห์หลายสิ่งได้อย่างถูกต้อง แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้การวิเคราะห์ของเจ้าจะถูกต้อง แต่เจ้าก็ยังมองโลกในแง่ดีเกินไป!”