ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 2 กองทหารอาสาเอคริสเปีย ณ กรีนโมตาลี (Ecrispea Militia at Green Motali)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 4 การตอบโต้ของผู้จงรักภักดีในการประชุมสภานิติบัญญาญัติจประจำจังหวัด (The Loyalist Action in Provincial Legislative Assembly)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 3 ระฆังเสรีภาพเรียกร้อง (Liberty bell calls)


ระฆังเสรีภาพเรียกร้อง 

(Liberty bell calls)

ตึง-ตึง-ตึงตึงตึง! เสียงกลองศึกดังก้องไปทั่วท้องถนน กองกำลังทหารลีโอเนีย 3 คอลัมน์ เดินทางเข้ามาลึกไปในดินแดนอาณานิคมอาริกาเซีย ข้ามสะพานแห่งแรกก่อนจะเดินทางไปยังหมู่บ้านเบรดาวูด ด้วยความเป็นระเบียบความเร็วนั้นก็มากเช่นกัน

เบรดาวูดที่เงียบเหงา ทหารลีโอเนียเดินเข้าข้างในชุมชนเบรดาวูด หวังแค่จะเดินผ่านไม่สนใจ ชาวเมืองที่จ้องมองพวกเขา อย่างไรก็ตามก็มีสิ่งกีดกั้นหนทางอยู่ กลุ่มชาวอาณานิคมจำนวนหนึ่งได้ยืนควางเส้นเดินทางของกองกำลังลีโอเนีย โดยหาได้กลัวไม่

พันโท ซามูเอล ควบม้า พร้อมกับนายกองคนสนิทไปยังหน้าสุดของกองกำลัง

“ท่านครับ พวกเขาเป็นอุปสรรคจะให้ผ่านไปเฉยๆเลยไหมครับ?” นายกองผู้ติดตามถามพันโท

“ไม่…” พันโทซามูเอลเดินหันกลับไปตะโกนสั่งคำสั่งกับทหารแนวหน้าของคอลัมน์ “กองกำลังตั้งแถว!”

ก่อนจะควบม้าไปหาผู้ที่กล้าหยุดการเดินทางของสหจักรวรรดิ ด้วยความโกรธเขากล่าวเสียงดังด้วยนํ้าเสียงที่เกรี้ยวกราด “วางอาวุธลงซะ! พวกเจ้ากำลังอยู่”

“โอ้!? ไม่ทราบว่าพวกท่านจะไปที่ใดกันหรือ ข้าอยากจะเสวนาด้วยสักหน่อย” ผู้นำกลุ่มเป็นชายแก่คนหนึ่งกล่าว ในมือถืออาวุธที่ไม่ควรมีอยู่ แม้จะมีแสงจากไฟคบเพลิง แต่ด้วยความที่ใกล้รุ่งสาง อีกไม่นานแสงจากพระอาทิตย์จะขึ้นสูง

“พวกแกไม่มีสิทธิ!” พันโทชะงักเล็กน้อย “ในนามขององค์จักรพรรดิ! จงวางอาวุธลงและแยกย้ายไปซะ หาพวกแกไม่อยากมีปัญหา…”

“เฮ้อ- แน่นอนอยู่แล้วขอรับท่านผู้ยิ่งใหญ่ ทุกคนแยกย้าย…” หัวหน้ากลุ่มพูดกับชาวอาณานิคม

เหล่ากลุ่มชาวอาณานิคมเดินแยกตัวกันไปคนละทาง ทิ้งให้ทหารลีโอเนียหัวเราะเยาะกับความขี้ขลาดของชาวเมืองเบรดาวูด เสียงหัวเราะนั้นดังพอที่จะทำให้ชาวเมืองมองทหารลีโอเนียด้วยความโกรธ แต่พันโทก็ออกคำสั่งเตรียมเดินทางอีกครั้ง

“จัดกำลัง! เดินหน้าสู่กรีน โมตาลี” พวกเขาเดินทางกันอีกครั้ง หารู้ไม่ว่า มีสายตาของชาวอาณานิคมมอง พันโทไม่มีเวลายึดอาวุธเล็กน้อยของกลุ่มคนในหมู่บ้านแห่งนี้

แสงสว่างจากท้องฟ้าได้ทำให้สายของพวกเขามองเห็นได้ชัด คบเพลิงถูกดับลง บัดนี้เวลาราวๆเกือบเที่ยงวัน ทหารลีโอเนียเข้าใกล้เมืองหกรีน โมตาลี อย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเดินทัพราวๆ 8 ชั่วโมงกว่าๆ นับตั้งแต่เดินออกจากเมืองอากริปปินา

สายตาของพันโทเห็นเมืองขนาดกลาง ตั้งตระหง่านอยู่หน้าแม่นํ้าจากที่ไกลๆ แต่เมื่อสายตาของทหารลีโอเนียจากแถวแรกได้เห็นเมืองอาณานิคมที่เล็กๆแห่งนี้ ก็ได้มีเสียงดังมาจากทางเมือง กรีน โมตาลี

เป๊ง! เป๊ง! เสียงระฆังบนหอของอาคารเจ้าเมือง หรือศาลากลางเมืองกรีนโมตาลี ดังก้องไปทั่วทุ่งสนามสถามหญ้าสีเขียว เสียงของมันดังพอที่จะทำให้นายกองและพันโท ใช้สัญญาณมือสั่งหยุดกองกำลังของตน ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้สัญญาณของระฆังสีทอง แต่เพราะว่ามันหมายถึงว่ามีเหตุร้ายใกล้เข้าเมือง ระฆังจะดังเพื่อเตือน แล้วเหตุร้ายคืออะไร? พวกเขางั้นหรือ? พันโทมีสีหน้าที่งุนงง

ไม่ช้า พวกเขาก็รู้แล้วว่าเสียงระฆังเตือนหมายถึงอะไร ชาวเมืองกรีนโมตาลีจำนวนมากตั้งแถวเดินเข้าทัพเข้ามาหาพวกเขา ทุกคนติดอาวุธปืนคาบศิลาจำนวนมากตั้งแถวอยู่หน้าเมือง จำนวนนั้นมากพอๆกับกองกำลังลีโอเนีย

“นี่มันหมายความว่าอะไรกัน!?” พันโทกล่าวด้วยความรู้หลากหลาย ก่อนเขาจะรีบสั่งการต่อในทันที

“ร้อยตรีนำสารข่าวส่งกลับไปบอกศูนย์บัญชาในเมืองเดียวนี้! บอกพวกเขาว่าเอคริสเปียคิดก่อการกบฏ!” สิ้นเสียง ร้อยตรีคนนั้นก็ควบม้าเร็ววิ่งไปคนละทางกับเมืองกรีน โมตาลีทันที

“กองกำลัง! ตั้งแถวรบ! ติดดาบปลายปืน!” คอลัมน์ทั้งสามเปลี่ยนไปเป็นแนวยิงตามแบบที่ฝึกกันมา เพื่อเดินตามเสียงจังหวะกลอง ประจันหน้ากันอยู่ห่างกันเพียง 400 หลา (365 เมตร) ชาวบ้านติดอาวุธ หรือตอนนี้คือกองกำลังอาสาสมัคร มีหลายคนที่ใช้ปืนคาบศิลาแบบเดียวกับลีโอเนีย แต่ก็มีบางคนที่ยังคงใช้ปืนไฟอันเก่าอยู่ จำนวนนั้นน้อยกว่าทหารลีโอเนีย พันโทคาดจำนวนประมาณ 600 ขึ้นไป

‘จำนวนแค่นี้กล้ามาประจันหน้างั้นหรือ?’ เขายกยิ้มและมองชาวบ้านด้วยความหยิ่งยโส สายตาที่มองชาวอาณานิคมเหมือนพวกหนอนแมลง

ทั้งสองฝั่งจับต้องสายตากันอย่างไม่ละเว้น ความเงียบเต็มไปทั่วทุ่งกว้าง ก่อนที่พันโทซามูเอลจะเป็นทำร้ายเสียงที่เงียบลง

“จงหยุดการกระทำที่โง่เคราเสีย! ข้ารู้ว่าพวกแกไม่อยากถูกเรียกว่ากบฏ วางอาวุธลงแล้วหันหลังกลับบ้านไป!”

หากแต่เสียงของผู้หยิงคนหนึ่ง เธอเป็นผู้นำกองกำลังอาสาสมัครกล่าวตอบกลับ ด้วยคำพูดที่ทำให้พันโทต้องเปลี่ยนใจ…

หากพวกเจ้าหมายถึงสงครามงั้นก็ให้มันเริ่ม ณ เมืองแห่งนี้เลย!!!

แต่ด้วยความมั่นใจของพันโทซามูเอลว่า ยังไงชาวอาณานิคมก็ไม่กล้าที่จะสู้พวกเขาอยู่แล้ว พวกมันคงไม่บ้าพอที่จะเป็นคนยิงทหารประจำการของสหจักรวรรดิอย่างแน่นอน… แน่นอน?

เล็งเป้า!! ยิง!! เสียงปืนที่ดังลั่น มันเป็นเสียงที่ดังไปทั่วโลก เป็นจุดเริ่มตนของทุกอย่างบนโลกใหม่

อ๊าก !! เสียงร้องของผู้ถูกลูกตะกั่วเข้าที่ลำตัวในแถวหน้าสุดของกำลังลีโอเนีย

“บัดซบ!! มันกล้าก่อกบฏจริงหรือ!?” พันโทเบิกตากล่าวด้วยความตกใจสุดขีด

เขายังคงตื่นตกใจอยู่เกือบหลายนาที ไม่ได้ออกคำสั่งด้วยความลนลานและกลัวอยู่ชั่วครู่ นั้นคือความโชคดีของกองกำลังอาสาเอคริสเปีย เหล่าทหารอาสาต่างบรรจุนัดที่สองจนเสร็จ พร้อมกับคำสั่งอีกครั้งจากฝั่งของหัวหน้ากองกำลังอาสาผู้หญิง

กองกำลัง!! เล็ง!! คำสั่งดังพร้อมที่ถูกปล่อย ถูกทำให้ดังตามกันมาโดยเหล่าหัวหน้าชุดหญิง ผู้นำ และผู้กอง ของกองกำลังอาสาเอคริสเปีย ไม่ช้าเสียงปืนก็คำรามลั่นไปทั่วสนามรบ พร้อมกับลูกกลมที่แหวกอากาศพุ่งตรงเข้าสังหารเหล่าทหารชุดแดง

พันโทซามูเอลที่ได้พึ่งสติได้การเห็นการยิงระลอกที่ 2 รีบตะโกนลั่น สั่งตอบโต้กองกำลังฝั่งตรงข้าม

“ยิงตอบโต้! สังหารพวกกบฏเร็วเข้า!!!” อนิจจาระลอกสามได้ถูกบรรจุพร้อมปลดปล่อยด้วยความรวดเร็วไปแล้ว เป็นอีกครั้งที่ทหารลีโอเนียถูกชาวอาณานิคมยิงเสียชีวิตไปอีกหลายสิบคน

ทหารลีโอเนียยิงตอบโต้กลับ กองกำลังเจ้าโลกแม่นยำเหมือนจับวาง ในระยะยิงแบบนี้พวกเขายิงได้แม่นยำกว่ากองกำลังอาสา การฝึกมานานมีผลมากกว่าชาวบ้านติดอาวุธ แต่พวกเขาก็ยิงได้แค่ 2 รอบ ในขณะที่ กองกำลังอาสายิงไปแล้ว 4 รอบ กองกำลังอาสาดูเหมือนว่าจะล้มตายกันมากกว่าฝั่งลีโอเนีย แค่สองชุดกองกำลัง ก็สร้างความเสียหายไปมาก

อย่างไรก็ตาม กองกำลังอาสาก็ดูเหมือนว่าจะมีพวกที่ไม่กลัวตายอยู่มาก ในส่วนของกำลังเมืองกรีนโมตาลีก็เริ่มวิ่งหนีเอาตัวรอด เพราะเสียขวัญกำลังใจ ในการที่พวกเขาไม่เคยยิงปืนสังหารชาวลีโอมาก่อน จึงทำให้ชาวอาณานิคมมีความกลัวในจิตใจอย่างมาก

พันโทเริ่มกลัวว่าแถวของเขาจะแตกก่อนแถวพวกกบฏ เขาจึงสั่งบุกประชิดหวังจะดันให้กบฏแตกทัพโดยเร็ว แต่ทว่าด้วยความสับสนระหว่างคำสั่งของพันโทและผู้กอง จึงได้สั่งเดินหน้าแทนวิ่งปะทะ โดยชาวลีโอเนียหารู้ไม่ว่ากองกำลังอาสาที่กำลังจะเสียขวัญและวิ่งหนี นั้นไหวตัวทันรีบถอยกลับเข้าไปในเมือง

“พวกมันกำลังหนี!!” หนึ่งในนายกองลีโอเนียตะโกน “เข้าบุกปะทะ!!” เสียงปืนและควันสีขาวนั้นทั่วทุ่งหญ้า เกิดเป็นความชุลมุนวุ่นวาย พันโทพยายามสั่งการให้หยุด ตอนนี้เขาอยากจะลงโทษพวกนายกองที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขาอย่างมาก

ขณะที่กองกำลังอาสาถอยกลับ พวกเขาก็ยิงสวนไปด้วย พอยิ่งออกห่างก็ทหารลีโอเนียก็รู้สึกแปลกทันที เหตุใดกันที่เสียงปืนของฝั่งตรงข้ามถึงได้เยอะขึ้นกว่าเดิม?

“พี่ชายและน้องสาว อย่าได้หลงลืมว่าพวกมันได้ทำอะไรกับพวกเราไว้ที่บอสตันและที่อื่นๆ วันนี้พวกเราจะแสดงให้สุนัขรับใช้แห่งสหจักรวรรดิได้รับรู้ว่า พวกเรานั้นหมดความอดทนแล้ว!!!” ผู้นำกองกำลังอาสาเอคริสเปียกล่าวร้องเรียกกำลังใจ พร้อมกับกลุ่มชาวเมืองจากหลายๆหัวเมืองที่เข้าร่วมต่อสู้กันมากขึ้น หลังจะรับแจ้งข่าวถึงการต่อต้านที่ กรีน โมตาลี

มองไปซ้าย มองไปขวา ไม่ใช่ว่าตรงต้นไม้หรือตรงโขดหินไม่มีคนอยู่หรือ? จู่ๆก็มีชาวเมืองเข้าร่วมสู้ขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขามาเป็นกลุ่ม บ้างก็ 10 คน บ้างก็เป็น 50 คน ไม่ช้าจากชาวบ้านติดอาวุธจำนวนที่น้อยกว่าพวกเขา ก็กลายมาเป็น 1000 กว่า และก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีท่าทีลดลงต่อให้สังหารชาวบ้านพวกนี้ไปเท่าไรก็ตาม ทหารลีโอเนียรู้แล้วว่าพวกเขากำลังถูกพวกอาณานิคมจำนวนมากเข้าโจมตีทั่วทุกทิศอยู่

“ส่งสัญญาณถอย!” พันโทกล่าวเสียงดัง เขาผิดหวังและเริ่มกลัวการกบฏในครั้งนี้อย่างมาก ไม่เพียงแค่ถอยหนี แต่เป้าหมายที่ต้องยึดคลังดินปืนก็ไม่สำเร็จ

ไม่ช้า ทหารลีโอเนียจำนวน 700 ชีวิต ตอนนี้เหลืออยู่ราวๆ 600 และบาดเจ็บจำนวนมาก ถอนตัวออกจากเมืองกรีนโมตาลี ด้วยความรวดเร็วทิ้งคนที่ถูกยิงไว้ข้างหลัง พวกเขาตั้งแถวคอลัมน์อีกครั้งเพื่อความเร็วในการเดินทาง

“ท่านครับ! พวกมันตามกัดเราไม่หยุดเลยครับ!” ผู้กองคนหนึ่งควบม้าเข้ามาหาพันโทด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

“พวกมันตามไม่ทันหรอก! รีบถอนกำลังไปรอกำลังเสริมที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง แล้วค่อยบดขยี้พวกกบ-” ปัง! ปัง!!ๆ ยังกล่าวไม่เสร็จ เสียงชุดยิงก็ดังขึ้นทางด้านขวาของกองกำลังลีโอเนีย ควันเขม่าปืนที่ลอยคลุ้งไปทั่วป่าไม้ ผู้กองที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆพันโทได้ถูกยิงเข้าที่หัวล้มลงจากอาชา จบชีวิตลงบนโลกใหม่อย่างน่าเศร้า

ทหารลีโอเนีย ตกใจก่อนจะยิงสวนกลับ สังหารคนที่หลบหลังต้นไม้ใหญ่ไม่ทัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องรีบถอนตัวออกจากที่แห่งนี้โดยเร็ว ทหารลีโอเนียรู้ตัวดี พวกเขาอยู่ในดงศัตรู ถ้าอยู่เฉยๆพวกเขาจะสังหารหมู่

“บ้าเอ้ย! พวกมันอยู่ในป่า!” เสียงตะโกนของทหารลีโอเนียกล่าวเสียงดังด้วยความกลัว หลังถูกยิงโดยมือปืนของชาวอาณานิคม ไม่พอแต่นั้นทัศนวิสัยก็ยํ่าแย่อย่างมากเมื่อพยายามมองหาผู้ลอบยิง

ทหารลีโอเนียถูกเก็บไปทีละคน ทุกเส้นทางเต็มไปด้วยมือปืนของอาริกาเซีย ชาวบ้านจากทั่วเอคริสเปียต่างหยิบจับอาวุธขึ้นมายิงใส่ทหารลีโอเนียกำลังถอยหนี เมื่อถึงถนนทางแยกก็เจอแถวยิงของชาวบ้านยิงไปอีก กองกำลังลีโอเนียค่อยลดลงจนเรียกได้ว่าสูญเสียอย่างนัก

ตรงหน้าของพวกเขาก็คือชุมชนเบรดาวูด วิ่งข้ามสะพานแม่นํ้า พันโทสั่งให้ 1 กองร้อย เข้าประจำป้องกันหน้าสะพาน และขณะที่เหลือเข้าสู่หมู่บ้านที่พวกเขาคิดว่าปลอดภัยจากพวกอาณานิคม โดยหวังว่าข้างในจะต้องมีกำลังเสริมที่พวกเขาส่งคำขอร้องไป ทหารชาวลีโอทั้งหลายวิ่งเข้าไปในเบรดาวูดด้วยความเร่งรีบ ภายในหมู่บ้านนั้นเงียบจนทำให้พันโทเสียวหลังวาบ

“เรื่องแบบนี้มันไม่ควรจะเกินขึ้น!” พันโทลงจากม้าของต้น เขาอยากจะสบถด่าสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการที่ชาวอาณานิคมกล้าก่อกบฏ และเรื่องที่นายกองของเขาไร้ประสบการณ์

“ท่านครับ! พวกเราควรกลับไปยังศูนย์บัญชาการ การอยู่ในพื้นที่แบบนี้มันเสี่ยงที่จะโดยลอบโจมตีนะครับ!?” หัวหน้าชุดยิงผู้กล้าหาญวิ่งเข้ามาพูดกับพันโทโดยไม่กลัวว่าจะถูกนายกองของตนกล่าวว่า อย่างไรก็ตามการออกความคิดเห็นของเขาก็ถูกพันโทปัดทิ้งอย่างไม่ไยดี

“ไม่ได้! พวกเราจะแพ้ให้กับพวกไร้อารยะไม่ได้ รอกำลังเสริมแล้วเตรียมกวาดล้างอาณานิคม เราตั้งอาณานิคมใหม่ได้เสมอ! เผาทุกอย่างให้หมด ฆ่าพวกมันให้หมด เกียรติยศของพวกเราจะมาแปดเปื้อนให้กับพวกชั้นสองไม่ได้!!”

กรมทหารเท้าที่ 4 วาเดน อยู่ในสภาพที่อ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อย หมดรูปภาพลักษณ์ทหารสหจักรวรรดิที่เข้มแข็ง แต่ช้าพวกกรมทหารเท้าที่ 4 ก็ต้องหยิบอาวุธขึ้นมาป้องกันตัวอีกครั้ง

ปัง!! เพราะหลังที่ซามูเอล ดิ พิตแคร์นกล่าวเสร็จ เขาก็เป็นคนแรกที่ถูกยิงเขาที่หัว จบชีวิตลงโดยชาวบ้านที่เขาเกลียดชังแลดูถูก

ยิง!! ทหารลีโอเนียที่ยื่นอยู่ภายในเมืองไม่ทันได้สังเกตถึงอาวุธปืนที่เล็งมายังพวกเขาจากบ้านเรือนของเบรดาวูด พวกเขาถูกล้อมจากทุกทาง ทุกซอกซอยของชุมชนเต็มไปด้วยชาวบ้านติดอาวุธที่หลบกำบังและยิงมายังกองกำลังลีโอเนีย ทหารลีโอเนียไม่สามารถหยุดการโจมตีแบบกองโจรรอบทุกทิศทางได้ ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็ล้มตายไปเกือบหมด

……

.

.

.

.

.

.

อาณานิคมเขตที่ 6 รัฐเอคริสเปีย เมืองอากริปปินา

กองกำลังเสริมที่ควรจะส่งไปช่วย กรมทหารเท้าที่ 4 นั้นไม่ได้ถูกส่งไปช่วยเพราะนอกจากที่ศูนย์บัญชาการไม่รับข่าวสารแล้ว พวกเขาก็ถูกกลุ่มชาวเมืองอากริปปินาที่ไปเอาอาวุธมาจากไหนบุกเข้าบุกยึด ภายในเมืองนั้นเต็มไปด้วยความวุ่นวาย สิ่งสุดท้ายที่เหล่าชาวลีโอเนียได้ยินก็คือระฆังสีทองของเมืองที่ดังไปทั่วอาณานิคม

ส่วนกลางที่เป็นศูนย์บัญชาการและศาลากลางของเมืองซึ่งเป็นบ้านสีขาวขนาดใหญ่ ชาวเมืองมายืนรอกัน หน้าตัวอาคารจนมีคนเดินออกมา เป็นชายชาวอาณานิคมที่ชาวเมืองรู้จัก พ่อค้าจากสมาพันธ์การค้า ผู้นำทหารอาสาของเมือง เขาพูดตะโกนเสียงดังให้ชาวเมืองและทหารลีโอเนียที่ถูกจับกุมได้ยิน

“จงฟัง!! จงฟัง!!”

" ในนามของ ผู้นำตระกูล มานเนส โอเวอร์ไดจ์ค แห่ง เอคริสเปีย (Mannes Overdijk of Ecrispea) ตามความจริงที่ว่า เสียงระฆังแห่งเอคริสเปียได้ดังทั่วดินแดนเป็นนั้นเรื่องจริง! พวกท่านได้ขานรับและลุกขึ้นมาต่อสู้กับสหจักรวรรดิลีโอเนียที่เป็นภัยคุกคามของเราอย่างกล้าหาญที่เมืองกรีน โมตาลี กองกำลังอาสาแห่งเอคริสเปียได้ตอบรับเสียงร้องมากกว่า 5000 คน!

ข้าขอประกาศว่า!!

การลุกฮือได้เกิดขึ้นแล้ว!

พวกเราจะสู้เพื่อเธอจนกว่าจะได้รับรับอิสรภาพ!!


0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด