ตอนที่แล้วบทที่ 13: การรวมตัวในนิกาย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 15: ไหวพริบของลู่เสี่ยวหรัน

บทที่ 14: คนหนุ่มสาวต้องทำงานหนัก


บทที่ 14: คนหนุ่มสาวต้องทำงานหนัก

“ทุกคนล้วนต้องมีความฝันเป็นของตนเอง มิเช่นนั้นแล้วเราจะต่างอะไรไปจากปลาเค็ม?”

“เอาล่ะ ต่อให้เจ้าทำสำเร็จในท้ายที่สุด แต่เจ้าก็ยังเป็นปลาอยู่ดี”

หลี่เต๋าหรันตอบอย่างไร้ความปราณี แน่นอน ลู่เสี่ยวหรันไม่ได้สนใจ เดิมทีเขาซ่อนระดับการฝึกตนของเขาเอาไว้และไม่ได้มีเจตนาที่จะแข่งขันกับผู้อื่น

อันที่จริง เขาก็แค่แสร้งทำเป็นทำงานหนักเท่านั้น

หลินเจี๋ยจ้องไปที่หลี่เต๋าหรันด้วยความโกรธ

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระสักที เสี่ยวหรันมีความจริงใจในการใฝ่หาเต๋าอันยิ่งใหญ่ ในทางกลับกัน เจ้าก็มักจะเอาแต่เลอะเทอะเหลาะแหละ”

หลี่เต๋าหรันยกมือขึ้นทันทีเพื่อแสดงท่าทียอมแพ้

“ก็ได้ ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะไม่ควรพูดไม่ดีเกี่ยวกับเสี่ยวหรันต่อหน้าเจ้าอีกแล้ว”

หลินเจี๋ยส่ายหัวและหันไปทางลู่เสี่ยวหรัน

“เสี่ยวหรัน อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเต๋าหรัน ในฐานะผู้ฝึกตน เราก็ควรมุ่งเน้นไปที่การฝึกตนและทำงานอย่างหนักเพื่อไล่ตามเต๋าอันยิ่งใหญ่”

ลู่เสี่ยวหรันพยักหน้า

“ข้ารู้”

“ยังไงก็เถอะ พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมจู่ๆ ผู้นำนิกายถึงเรียกรวมพวกเราขึ้นมา?”

หลี่เต๋าหรันยักไหล่

“ใครจะไปรู้ล่ะ อย่างไรก็ตาม เราก็เป็นเพียงขยะในหมู่ขอบเขตวิญญาณ แม้ว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น แต่มันจะเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ?”

ในขณะที่เขาพูด ชายวัยกลางคนที่สูงและดูสุภาพก็ค่อยๆ เดินออกมาจากด้านหลังห้องโถงอย่างช้าๆ

ชายร่างสูงสวมชุดคลุมสีขาวและสวมมงกุฎหยกสีทองบนศีรษะ เขามีออร่าที่ไม่ธรรมดา

เสียงในห้องโถงค่อยๆ เงียบลง

“ผู้นำนิกายอยู่ที่นี่แล้ว หยุดพูด”

หลี่เต๋าหรันดึงชายเสื้อของลู่เสี่ยวหรัน เขาและหลินเจี๋ยลุกขึ้นทันที

ทุกคนทำตัวเหมือนเด็กในโรงเรียนอนุบาล

ผู้นำนิกายอสูรสวรรค์กวาดสายตาไปด้านล่างและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

ในบรรดาผู้อาวุโส 200 คนที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังอยู่ในขอบเขตผู้เชี่ยวชาญช่วงปลาย นี่เป็นขุมกำลังที่น่าประทับใจไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในอาณาจักรโจวอันยิ่งใหญ่!

ผู้อาวุโสเหล่านี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งของนิกายอสูรสวรรค์!

“เหล่าผู้อาวุโส เหตุผลที่ข้าเรียกรวมพวกเจ้าทุกคนมาในวันนี้ก็เป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองเดือนที่แล้ว อย่างที่ทุกคนรู้ เรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่งได้เกิดขึ้นกับนิกายอสูรสวรรค์ของข้าเมื่อสองเดือนก่อน ยอดฝีมือผู้ไร้เทียมทานได้ก่อให้เกิดปรากฎการณ์พลังแห่งสวรรค์”

ลู่เสี่ยวหรันตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นั่นไม่ใช่ตอนที่เขาจัดตั้งค่ายกลผนึกสวรรค์แปดทิศหรอ?

ผู้นำนิกายกล่าวต่อ “สิ่งนี้ทำให้ทุกคนในนิกายอสูรสวรรค์ตื่นตระหนก อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านมานาน เราก็ยังไม่พบผู้อาวุโสคนใดที่มีพลังพอจะกระตุ้นพลังแห่งสวรรค์ได้”

“อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการสืบสวน ผู้อาวุโสสูงสุดก็ค้นพบบางสิ่ง นั่นก็คือแนวป้องกันของนิกายที่ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ มาตลอดหลายปี นี่คือสาเหตุที่ทำให้มีคนมาที่นิกายอสูรสวรรค์ของเราแต่กลับไม่ถูกค้นพบ”

“ด้วยเหตุนี้เอง ภายใต้คำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุด เราจึงต้องการผู้อาวุโสที่เก่งกาจเรื่องค่ายกลเพื่อจัดตั้งและซ่อมแซมแนวป้องกันของนิกาย”

“มีผู้อาวุโสคนใดที่เต็มใจจะอาสาสมัครหรือไม่?”

น่าเสียดายที่ทุกคนไม่ได้กระตือรือร้นเป็นการตอบกลับ

นี่เป็นเรื่องปกติมาก

ประการแรกเลย การทำสิ่งนี้เป็นการเสียเวลา มันเหมือนกับการเกณฑ์คนไปก่อสร้างขนอิฐ มันไม่เพียงแต่จะเป็นงานที่เหนื่อยเท่านั้น แต่พวกเขายังสามารถหาเงินจากมันได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง การเลือกที่จะนอนอยู่ในถ้ำอย่างสันโดษจึงไม่ใช่ความคิดที่แย่เท่าไหร่

ประการที่สอง นี่คือคำสั่งของผู้อาวุโสสูงสุด หากเกิดเหตุการณ์ผิดพลาดขึ้น พวกเขาก็จะถูกตำหนิหรือถึงขั้นลงโทษอย่างรุนแรง!

อย่างไรก็ตาม หินวิญญาณจำนวนเล็กน้อยที่เสนอเป็นค่าตอบแทนนั้นก็ไม่ได้คุ้มค่ากับบทลงโทษเอาซะเลย

ผู้นำนิกายอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดว่า “มีผู้อาวุโสมากมายในนิกายอสูรสวรรค์ของข้า แต่มันกลับไม่มีสักคนเดียวเลยหรอที่เต็มใจจะมีส่วนร่วมในความช่วยเหลือนิกายครั้งนี้?”

ผู้อาวุโสบางคนแทบจะก้มตัวลงไปนอนราบลงกับพื้นเพื่อหลบสายตา

ผู้อาวุโสที่มีหน้ามีตาบางคนยืนขึ้นและกล่าวว่า “มีคนจำนวนไม่มากในนิกายของเราที่เข้าใจเรื่องของค่ายกล ดังนั้นพวกเจ้าก็หยุดซ่อนตัวและก้าวออกไปข้างหน้าได้แล้ว”

เหมือนได้ยินดังนี้ ผู้อาวุโสบางส่วนก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแสดงตนออกมา

ในหมู่พวกเขา มันก็มีหลี่เต๋าหรันและลู่เสี่ยวหรันด้วย

หลี่เต๋าหรันมีชื่อเสียงในด้านการเป็นผู้อาวุโสช่างพูดในนิกาย เนื่องจากเขาไม่มีอะไรทำ เขาจึงชอบเที่ยวเตร่ไปรอบๆ และพูดคุยกับผู้คน ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงได้รับความรู้เรื่องค่ายกลมาจากผู้อาวุโสบางส่วน

และไม่จำเป็นต้องพูดถึงลู่เสี่ยวหรัน ในฐานะอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุด เขาก็ได้เรียนรู้วิธีการจัดตั้งค่ายกลด้วยตัวเขาเอง ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ยากลำบากที่จะสร้างและยังมีประโยชน์มากอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง ทั้งสองคนจึงทำได้เพียงก้าวไปข้างหน้า

ผู้นำนิกายมองไปที่ทุกคนและถามผู้อาวุโสว่า

“ผู้อาวุโสหวัง ผู้อาวุโสเตีย ท่านสองคนถูกมองว่าอยู่ในแนวหน้าของนิกาย ข้าสงสัยว่าพวกท่านสองคนเต็มใจที่จะทำภารกิจสำคัญนี้หรือไม่?”

ผู้อาวุโสหวังไอเบาๆ และกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกาย มีบางอย่างเกิดขึ้นกับการฝึกตนของข้าเมื่อเร็วๆ นี้ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงกำลังพักผ่อนรักษาตัวอยู่ เพราะฉะนั้นแล้ว ข้าว่ามันไม่เหมาะที่ข้าจะใช้พลังวิญญาณในตอนนี้และข้าก็เกรงว่าข้าจะไม่สามารถซ่อมแซมค่ายกลได้ในตอนนี้”

สายตาของผู้อาวุโสเตียนั้นลึกล้ำและการแสดงออกของเขาก็เคร่งขรึมและจริงจัง

“ท่านผู้นำนิกาย ข้าเพิ่งสัมผัสกับธรณีประตูของขอบเขตกลั่นวิญญาณและกำลังจะมุ่งความสนใจไปที่การบุกทะลวง ดังนั้นคราวนี้ข้าจึงไม่สามารถทำเพื่อนิกายได้ในครั้งนี้”

ผู้นำนิกายเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะรู้ว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้อาจกำลังโกหก แต่เขาก็ยังคงทำอะไรไม่ได้

อีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้อาวุโสของนิกาย และแม้ว่าการฝึกตนของพวกเขาจะต่ำกว่า แต่พวกเขาก็ยังเป็นผู้อาวุโส

หากนิกายตกอยู่ในอันตราย เขาก็สามารถลงโทษอีกฝ่ายได้ในนามของความชอบธรรมของนิกาย

อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นแค่การซ่อมแซมค่ายกล มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ดังนั้นถ้าเขาบังคับให้พวกเขาทำ เขาก็อาจจะสูญเสียความภัคดีจากพวกเขาทั้งสองได้”

หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่ผู้อาวุโสสองสามคนที่อยู่ข้างหลังเขาและได้รับคำตอบที่คล้ายคลึงกันกับผู้อาวุโสหวังและผู้อาวุโสเตีย

สิ่งที่น่าขันที่สุดคือการที่ผู้อาวุโสคนหนึ่งบอกว่าเขากำลังจะมุ่งหน้าไปยังนิกายพันธมิตรเพื่อจับคู่ดูตัว

สิ่งนี้ทำให้ผู้นำนิกายโกรธมากจนอยากจะกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะและด่าทอสาปแช่งอีกฝ่าย

“หรือว่ามันจะไม่มีใครในนิกายอสูรสวรรค์ที่สามารถซ่อมแซมค่ายกลของนิกายได้?”

เมื่อเห็นว่าผู้นำนิกายค่อนข้างโกรธเคือง ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็รีบกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกาย พวกเราล้วนแก่แล้ว แม้ว่าเราจะยังทำได้ดี แต่เราก็ควรปล่อยให้เหล่าผู้อาวุโสรุ่นเยาว์ใช้โอกาสนี้เพื่อปรับปรุงฝีมือบ้างไม่ดีหรอ? ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเราที่จะใช้ภารกิจครั้งนี้เพื่อพัฒนาทักษะการจัดตั้งค่ายกลของผู้อาวุโสรุ่นเยาว์”

หัวใจของลู่เสี่ยวหรันเต้นผิดจังหวะและเขาก็รู้สึกไม่ดีในทันที

ในเวลาต่อมา ผู้อาวุโสคนนั้นก็ชี้ไปที่หลี่เต๋าหรันและลู่เสี่ยวหรัน

“เต๋าหรันและเสี่ยวหรันต่างก็เป็นผู้อาวุโสรุ่นเยาว์ของนิกาย พรสวรรค์ของพวกเขาค่อนข้างดี หากเราปล่อยให้พวกเขาทั้งสองทำ พวกเขาก็จะได้รับการฝึกฝนและสามารถทำงานได้ดีขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน นอกจากนี้พวกเขายังสามารถศึกษาความรู้เรื่องค่ายกลจากค่ายกลของนิกายได้ ท่านคิดว่ายังไง ท่านผู้นำนิกาย?”

“นั่นเป็นความคิดที่ดี ข้าจะให้เต๋าหรันและเสี่ยวหรันจัดการเรื่องนี้”

ดวงตาของผู้นำนิกายเป็นประกายราวกับว่าเขาพบเป้าหมายของเขาแล้ว

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นรุ่นเดียวกันกับเขา แต่ไม่ใช่กับหลี่เต๋าหรันและลู่เสี่ยวหรัน ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก

สองคนนี้อยู่รุ่นเดียวกับหลานชายของเขา ดังนั้นทั้งสองคนจึงไม่กล้าพูดอะไรแม้ว่าเขาจะตำหนิพวกเขา มิฉะนั้นแล้ว ทั้งสองคนก็จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากหากเขากล่าวหาว่าพวกเขาดูหมิ่นผู้อาวุโส

หลี่เต๋าหรันค่อนข้างตกตะลึงและใจสั่น เขาเป็นเพียงผู้อาวุโสกิ๊กก๊อก แบบนั้นแล้วเขาจะซ่อมแซมค่ายกลได้อย่างไร?

ด้วยทักษะด้านค่ายกลอันต้อยต่ำของเขา เขาก็จะต้องถูกตำหนิติเตียนอย่างแน่นอน

“ท่านผู้นำนิกาย ข้าไม่…”

ขณะที่เขาเปิดปากของเขา เขาก็เห็นประกายแสงเย็นชาในดวงตาของผู้นำนิกาย มันเต็มไปด้วยความอาฆาตที่สื่อเป็นคำพูดว่า “รับงานหรือตาย?” เขาตกใจมากจนคอหด

เขาทำได้เพียงกลืนคำที่เขากำลังจะพูดกลับไป

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด