ตอนที่แล้วบทที่ 721 โปรโมต
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 723 เส้นสายกว้างขวาง

บทที่ 722 ผลประโยชน์(ตอนฟรี)


บทที่ 722 ผลประโยชน์

คำแนะนำจากจี้ช่าวเหลยเป็นเหมือนกับตัวเชื่อมระหว่างกลางที่ทำให้คังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์ได้เข้าสู่โรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่ง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตมันจะไม่เกิดข้อจำกัดหรือปัญหาอื่นใด

จี้เฟิงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่ามีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องปฏิบัติตามกฎวงในที่รู้กันโดยไม่ต้องพูด แม้ว่าอิทธิพลของจี้ช่าวเหลยจะสร้างแรงกดดันต่อโรงพยาบาลเหล่านั้นได้ แต่ถ้าหากแพทย์เหล่านั้นรู้สึกไม่โอเคหรือมีบางคนที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับผลประโยชน์อย่างที่สมควรจะได้รับ เวลาที่พวกเขามีผู้ป่วยโรคอ้วนอยู่ภายใต้การดูแล พวกเขาจะไม่เสนอทางเลือกในการใช้ยาลดความอ้วนให้กับผู้ป่วย หรือถ้าผู้ป่วยจำเป็นจะต้องใช้จริงๆ พวกเขาก็เลือกที่จะเสนอผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักอื่นๆ เพราะต่อให้พวกเขาไม่พูดถึงคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์เลย จี้เฟิงก็ไม่สามารถไปบังคับหรือทำอะไรพวกเขาได้

ดังนั้นการที่จี้ช่าวเหลยเอ่ยแนะนำกับทางโรงพยาบาลไป มันจึงเป็นเหมือนกับตัวเชื่อมในขั้นตอนแรกเท่านั้น ที่เหลือจี้เฟิงจะต้องพยายามด้วยตัวเองเพื่อให้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับโรงพยาบาลหรือทำให้พวกเขารู้สึกสนใจในคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์จริงๆ

และมีอีกสิ่งที่โรงพยาบาลสนใจมากที่สุด นั่นก็คือการทำกำไร ซึ่งกำไรที่แท้จริงยังคงอยู่ในช่องทางการขายในอนาคต ดังนั้นจี้เฟิงจะยังไม่ทำกำไรใดๆในตอนนี้ เพราะตราบใดที่เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับโรงพยาบาลก็เท่ากับเป็นการลงทุนในเรื่องของการส่งเสริมการขายได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นความพยายามในตอนนั้นจึงคุ้มค่า

อันที่จริง วัตถุดิบและค่าใช้จ่ายในการแปรรูปของคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์นั้นไม่ได้สูงอะไรมาก ตอนนี้โรงงานมีสายการผลิต 3 สาย โดย 2 ใน 3 ของสายการผลิตกำลังผลิตยาอื่นๆอยู่ ส่วนอีก 1 สายการผลิตที่เหลือจะใช้ในการผลิตคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์ ซึ่งในตอนนี้จะใช้ผลกำไรของยาอีกสองสายการผลิตเพื่อสนับสนุนการผลิตคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์ ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้กำไรที่ได้มานั้นต้องหมดไปกับการลงทุน

แต่นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญที่จี้เฟิงต้องการคือผลลัพธ์สุดท้ายเท่านั้น

ผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีเวลาและมีเงินมารักษาที่โรงพยาบาล ยกเว้นบางคนที่ถูกนำมารักษาในกรณีพิเศษ ส่วนใหญ่เป็นคนมีฐานะดี ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจผู้มั่งคั่งหรือข้าราชการระดับสูง หากได้อาศัยการบอกปากต่อปากจากปากของพวกเขา ผลที่ได้มันจะแตกต่างออกไป มันเป็นการโฆษณาที่ดีเยี่ยม เป็นแรงผลักดันและแรงจูงใจชั้นยอด มันทำให้ผู้คนรู้สึกได้ว่า แม้แต่คนอ้วนที่ป่วยเป็นโรคอ้วนยังรักษาได้โดยไร้ผลกระทบ ดังนั้นพวกเขาก็สามารถใช้มันได้อย่างสบายใจ และเรื่องนี้ก็จะแพร่กระจายไปทั่วเจียงโจวอย่างรวดเร็ว

การทำให้คังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์เป็นที่สนใจไปทั่วเจียงโจวด้วยกันบอกต่อกันแบบปากต่อปากเป็นแผนหนึ่งของจี้เฟิง และมันก็เป็นผลมาจากการที่เขาปรึกษากับฮั่นจงด้วย

“นึกว่าคนที่เป็นหมอเขาจะใจดีกว่านี้ซะอีก...” ถงเล่ยพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึง เธอยังคงมีความรู้สึกไม่ดีอยู่เล็กน้อย

จี้เฟิงหัวเราะ “ไม่ต้องกังวลไป เมื่อไหร่ที่ผลิตภัณฑ์ของเราเปิดตัว พวกเขาจะต้องเป็นฝ่ายมาขอเรา!”

.....................

เวลาในช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาถึงช่วงเย็นเวลาใกล้เลิกงาน จี้เฟิงก็หันไปพูดกับถงเล่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เล่ยเล่ย ไปโรงพยาบาลกัน ไปดูผลตอบรับหน่อยว่าจะเป็นยังไง”

“อื้ม!” ถงเล่ยพยักหน้าเล็กน้อย

ทั้งสองคนมาที่แผนกโรคอ้วนและพบว่าผู้ป่วยทั้งหมดได้รับการตรวจร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีเพียงแพทย์สองสามคนเท่านั้นที่กำลังพูดคุยและหัวเราะพลางเก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้านหลังจากเลิกงาน

เทียบกับหมอในแผนกอื่นแล้ว หมอในแผนกโรคอ้วนนั้นผ่อนคลายกว่ามาก สุดท้ายแล้วการรักษาโรคอ้วนในประเทศจีนยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากคนจีนยังไม่ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดจากโรคอ้วน ไม่เหมือนชาวยุโรปส่วนใหญ่ พวกเขารู้ถึงผลร้ายและถูกโรคอ้วนเล่นงานมานานแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงมีความต้องการในการลดน้ำหนักอย่างจริงจังสูงกว่า

“สวัสดีครับคุณหมอทั้งสาม ยุ่งอยู่รึเปล่าครับ?” จี้เฟิงเดินเข้าไปและทักทายหมอทั้งสามคนด้วยรอยยิ้ม

หมอทั้งสามคนจำได้ว่าจี้เฟิงคือเจ้าของคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์ ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าและตอบด้วยรอยยิ้มเพื่อเป็นการทักทาย

จี้เฟิงและถงเล่ยนั่งลงในพื้นที่ของผู้ป่วย จากนั้นจี้เฟิงก็ถามด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อเช้าผมเห็นพวกคุณสามคนทำงานกันอย่างหนักเลย ผมเลยสงสัยว่าผลลัพธ์ของการโปรโมตคังหยวนสลิมมิ่งเป็นไปในทิศทางไหน?”

“เรื่องนี้...” ทั้งสามคนมองหน้ากันราวกับพวกเขากำลังสื่อสารกันด้วยสายตา

“คืองี้นะประธานจี้ ตอนนี้พวกเราไม่สามารถพูดถึงสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการขายที่เฉพาะเจาะจงได้!” หมอวัยกลางคนที่สวมแว่นตาพูดอย่างลังเล  “คนไข้มาหาหมอก็จริง แต่นอกเหนือจากยารักษาหลักแล้ว หมอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนไข้จะยอมรับยาอื่นไปหรือเปล่า หรือต่อให้รับไป แต่จะทานมั้ยก็ไม่รู้อีกอยู่ดี! เรื่องนี้เลยต้องรอสรุปจากแผนกจ่ายยาและแผนกอื่นๆก่อน เราถึงจะทราบผลสุดท้าย!”

“อ้อ... มันเป็นอย่างนี้นี่เอง!” จี้เฟิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ

จี้เฟิงแอบพ่นลมหายใจอย่างเย็นชาอยู่ในใจ เป็นไปได้ยังไงที่คนเป็นหมอจะไม่รู้ว่าผู้ป่วยกินยาเข้าไปหรือเปล่า? คนเป็นหมอที่ได้ตรวจร่างกายของคนไข้ของตัวเองจะไม่รู้ได้ยังไง? อย่างไรก็ตาม คนไข้ที่ตัดสินใจมาหาหมอ ส่วนใหญ่ก็เชื่อฟังหมอกันทั้งนั้น! หมอพวกนี้น่าจะเห็นปฏิกิริยาของตัวเองตอนนี้ว่ามันแสดงออกชัดเจนขนาดไหน... ถ้าไม่รีบพูดตอนนี้ก็กลัวว่าจะไม่ได้รับผลประโยชน์สินะ!

“เอาอย่างนี้ดีมั้ยประธานจี้ รออีกซักสองสามวันคุณค่อยกลับมาใหม่ ถ้าคุณมาก็ตรงไปหาผู้อำนวยการแผนกของพวกเราโดยตรงเลย บทสรุปของแผนกต่างๆจะถูกรวบรวมแล้วทำเป็นรายงานส่งไปยังผู้อำนวยการแผนก ถ้าคุณมาคุณก็ถามเขาโดยตรงได้เลย!” หมอที่ใส่แว่นพูดด้วยรอยยิ้ม

จี้เฟิงพยักหน้าและถามว่า “โอเค ไว้ผมจะไปถามหัวหน้าของพวกคุณแล้วกันนะครับ”

“ประธานจี้ไม่ต้องห่วง!” หมอที่ยืนอยู่ใกล้เขาที่สุดเอ่ยขึ้น “ที่นี่จะมีการทำสรุปออกมาสัปดาห์ละครั้ง ฉันคิดว่าคุณควรกลับมาวันจันทร์หน้าเพื่อทราบผล”

จี้เฟิงเหลือบมองเขาก่อนจะพยักหน้าและยิ้ม “ขอบคุณที่เตือนนะครับ ...  การจะโปรโมตยานี่ต้องใช้เวลาจริงๆ ผมยังต้องพยายามอีกมาก  ถ้ายังไงไว้ผมจะกลับมาขอบคุณสำหรับน้ำใจของพวกคุณทุกคนอย่างแน่นอน!”

“ขอบคุณอะไรกัน!”

หมอวัยกลางคนที่ใส่แว่นยิ้ม เขาดูดีใจมาก “พวกเราเป็นหมอ สิ่งสำคัญที่สุดคือสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้ป่วย ขึ้นชื่อคำว่ายา ขอแค่เป็นยาที่ดีจริง พวกเราก็เต็มใจที่จะช่วยสนับสนุน ไม่ต้องมาขอบคุณอะไรหรอก!”

“โอ้! จรรยาบรรณทางการแพทย์ของพวกคุณช่างน่าชื่นชมจริงๆ!” จี้เฟิงหัวเราะแต่ภายในใจกลับรู้สึกคลื่นไส้อยากจะอ้วก! แต่ใบหน้าของเขายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มและกล่าวว่า “เดี๋ยวผมมาอีกทีวันจันทร์ แล้วพบกันนะครับ!”

หลังจากที่เดินออกมาจากแผนกผู้ป่วยโรคอ้วน จี้เฟิงก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและยิ้มเยาะ หมอเหล่านี้กล้าพูดถึงจรรยาบรรณทางการแพทย์ได้ยังไง? หากนี่คือสิ่งที่เรียกว่าจรรยาบรรณทางการแพทย์ จี้เฟิงก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าระบบการแพทย์ของประเทศจีนนั้นสิ้นหวังมากจริงๆ

“จี้เฟิง ฉันรู้สึกว่าคนพวกนี้ตั้งใจที่จะหลบเลี่ยง!” ถงเล่ยพูดด้วยความไม่พอใจ

“พวกเขาไม่ได้หลบเลี่ยง แต่พวกเขาให้เวลาเราได้เตรียมตัวต่างหาก! จะมีน้ำใจอะไรกันขนาดนี้!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้มเยาะ คำพูดของเขาเต็มไปด้วยการประชด

“เตรียมตัวเรื่องอะไร?” ถงเล่ยถามอย่างไม่เข้าใจ

จี้เฟิงยิ้มและพูดว่า “พวกเขาบอกว่าพวกเขาจะยังไม่รู้คำตอบจนกว่าจะถึงวันจันทร์หน้าใช่มั้ย? แต่อันที่จริง สิ่งที่พวกเขาพูดก็ไม่ได้ผิด เพราะหลังจากที่กินยาไปแล้ว มันจะต้องใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน กว่าที่คังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์ของเราจะเห็นผล เพราะคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์ใช้สารทดแทนบางอย่างที่จะทำให้ผลลัพธ์ของมันไม่ได้ดีและรวดเร็วเท่ายาลดความอ้วนหมายเลข 53 !”

“นี่คือสิ่งที่พวกเขาให้เราเหรอ?” ถงเล่ยถาม

“ไม่ใช่แน่นอน!” จี้เฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันถามถึงปฏิกิริยาตอบสนองของคนไข้”แต่ไม่ได้ถามว่าหลังจากที่คนไข้กินยาเข้าไปแล้วมีผลอย่างไร.... เพราะคังหยวนสลิมมิ่งพาวเดอร์ได้ผ่านการทดลองทางคลินิกมาแล้ว และแน่นอนว่าฉันรู้ว่าผลลัพธ์ของมันจะเป็นยังไง อันที่จริงพวกเขาเพียงแค่สังเกตการแสดงออกของคนไข้ และการพูดคุยสื่อสารสอบถามในเรื่องของยาอีกนิดหน่อย พวกเขาก็จะรู้ได้ตั้งแต่เช้าแล้วว่าผลการตอบรับจากการโปรโมตเป็นยังไง แต่นี่พวกเขาบอกว่าจะต้องใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์!”

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?!” ถงเล่ยถามอย่างสงสัย

“ถึงเวลาที่ต้องให้ของขวัญแล้วยังไงล่ะ!” มุมปากของจี้เฟิงยิ้มเหยียด “ให้เวลาพวกเราไปคิดและเตรียมตัว 1 สัปดาห์ ถ้าผลประโยชน์ส่งถึงพวกเขาภายในอาทิตย์นี้ เรื่องก็จะเสร็จ แต่ถ้าไม่มีอะไรตกถึงมือถึงท้องพวกเขาจนถึงจันทร์หน้า ก็คุยกันใหม่ ถามใหม่ และมั่นใจได้เลยว่าผลตอบรับจะไม่ดีแน่นอน!”

เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่คุณไปหาใครเพื่อให้เขาทำอะไรบางอย่าง แล้วถ้าอีกฝ่ายพูดทำนองว่า “โอ้ เรื่องนี้จัดการได้ไม่ง่ายเลย แต่ฉันจะลองทำดูก็แล้วกัน แต่เกรงว่ามันจะต้องใช้เวลาซักสามสี่วัน...”

สามสี่วันนี้ เป็นเวลาสำหรับอะไรกันแน่? มันคือการให้ของขวัญหรือเสนอผลประโยชน์ยังไงล่ะ! และถ้าฝ่ายที่ขอร้องไม่ได้ส่งมอบ หลังจากนั้นสามสี่วัน สิ่งต่างๆก็เริ่มที่จะมีอะไรผิดพลาด...

“เรายอมสละกำไรทั้งหมด แล้วทำไมพวกเขาถึงยังต้องการของขวัญอีกล่ะ?!” ถงเล่ยพูดอย่างโกรธเคือง

จี้เฟิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันคงคิดผิดไปหน่อย... พวกเขาได้กำไรก็จริง แต่นั่นคือหลังจากที่พวกเขาขายยาได้แล้ว... แต่ถ้าพวกเราต้องการให้เขาโปรโมตสินค้าให้ เราก็ต้องให้ของขวัญพวกเขาก่อน งานถึงจะเดิน! ตอนนี้การโปรโมตสินค้าคือสิ่งที่สำคัญที่สุด.... เอาเป็นว่าเดี๋ยวตอนฉันจะไปพบกับผู้อำนวยการแผนก ฉันจะเอาของขวัญไปให้พวกเขาเลย และจะพูดถึงผลประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับอีกทีนึงด้วย!”

“น่าขยะแขยง!” ถงเล่ยพ่นลมหายใจ “พวกเขาทำอย่างนี้ได้ยังไง!”

“คนเรามันก็โลภมากแบบนี้แหละ โดยเฉพาะเวลาที่พวกเขารู้ดีว่าพวกเราจำเป็นต้องพึ่งพาพวกเขา อะไรกอบโกยได้ก็กอบโกยไว้ก่อน!” จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “ใครใช้ให้โรงงานของเรามันเล็กและไร้ชื่อเสียงแบบนี้ล่ะ พวกเราไม่มีทุนมากพอที่จะทำการโปรโมต ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้แหละ!”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอไม่ไปกับนายนะ เห็นคนแบบนั้นแล้วฉันคงเก็บสีหน้าไม่อยู่ ไม่ชอบเลยจริงๆ!” ถงเล่ยพูดอย่างโกรธเคือง “ฉันกลับไปอ่านหนังสือของฉันดีกว่า!”

“ฮ่าๆๆ!” จู่ๆจี้เฟิงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา หญิงสาวที่ตรงไปตรงมาและเรียบง่าย ถงเล่ยเป็นคนที่ไม่ซับซ้อน การได้ผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแฟนนับเป็นโชคดีของเขาจริงๆ

....................

เพื่อเตรียมการในการเลี้ยงอาหารผู้อำนวยการแผนก จี้เฟิงจึงตั้งใจเตรียมไวน์ชั้นดีสี่ขวดและบุหรี่อย่างดีอีกสองคอตตอน ซึ่งราคาของมันก็ราวๆหกถึงเจ็ดพันหยวน และนี่มันทำให้จี้เฟิงรู้สึกเจ็บปวดหัวใจที่สุด

หากเป็นเมื่อก่อน เงินหกถึงเจ็ดพันหยวนคือค่าครองชีพเป็นเวลาหนึ่งปีของแม่และลูกชายอย่างเซียวซูเหม่ยกับจี้เฟิง เงินจำนวนนี้รวมถึงค่าเช่าและค่าใช้จ่ายอื่นๆแล้วด้วยซ้ำ

แต่เงินก้อนนี้เขากลับใช้มันเป็นขั้นบันไดเท่านั้น มันแพงเกินไปจริงๆ...

“นี่คือเงินเลี้ยงข้าวหมา!” จี้เฟิงบ่นอยู่ในใจ หากเขาต้องมอบของเหล่านี้ให้กับญาติๆหรือเพื่อนของเขา เขาจะไม่รู้สึกแย่เลย เพราะตอนนี้เขามีเงินมากขึ้นแล้ว การใช้จ่ายเพื่อความสุขเล็กๆน้อยๆไม่ใช่ปัญหา

อย่างไรก็ตาม การมอบเงินจำนวนนี้ให้กับไอ้พวกโลภมากทำให้จี้เฟิงต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

อย่าเชื่อความสงบนิ่งที่จี้เฟิงแสดงออกมาในตอนที่เขาพูดกับถงเล่ย เพราะจริงๆแล้วเขาเป็นคนที่เกลียดเรื่องพวกนี้มากกว่าใคร เงินจำนวนเดียวกัน แต่ถ้าไปใช้กับเด็กยากจน ความหมายและคุณค่าของมันจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

“ให้หมามันไป!” จี้เฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆทันทีเพื่อพยายามสงบสติอารมณ์ จากนั้นก็กดหมายเลขของผู้อำนวยการแผนก

“ฉันหม่าเต๋อหว่องพูด นั่นใคร?” ทันทีที่ต่อสายติด ก็มีเสียงยานคางดังออกมาจากโทรศัพท์

จี้เฟิงขมวดคิ้วทันที

เขาเพิ่งจะโทรหาผู้อำนวยการหม่าเมื่อวานนี้ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายยังถามอีกว่าเขาเป็นใคร!

อย่างไรก็ตาม จี้เฟิงยังคงอดทน เขายิ้มและกล่าวว่า “ผู้อำนวยการหม่า ผมคือจี้เฟิง!”

“อ๊ะ~~!”

ที่ปลายสาย หม่าเต๋อหว่องดูเหมือนจะเพิ่งนึกได้และถามเบาๆ “ประธานจี้นั่นเอง ขอโทษทีฉันจำเสียงไม่ได้ ว่าแต่ประธานจี้มีอะไรหรือเปล่า?”

...จบบทที่ 722~❤️

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด