ตอนที่แล้วบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 1 เด็กกำพร้าและผู้อพยพ (Orphan & Immigrant)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 3 ระฆังเสรีภาพเรียกร้อง (Liberty bell calls)

บทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 2 กองทหารอาสาเอคริสเปีย ณ กรีนโมตาลี (Ecrispea Militia at Green Motali)


กองทหารอาสาเอคริสเปีย ณ กรีนโมตาลี

(Ecrispea Militia at Green Motali)

“พวกลีโอยังไม่รู้ตัว…” เหล่าผู้ต่อต้านแห่งโลกใหม่กล่าวกับตัวเอง ซ่อนดินปืนและอาวุธสังหารไว้ในที่มิดชิด บ้านทุกหลัง ยามเช้ามืดทหารประจำการอาณานิคมจำนวน 700 คน จะเดินทัพ โดยทางบกหรือทางทะเลจากเมืองตอนกลางคืนถึงแสงยามเช้าของวันใหม่

คิริลลอฟนา เฟิ่ง และกลุ่มชาวเอคริสเปียติดอาวุธอีกจำนวน 11 คนเดินเท้าตามถนนเดินดิน ของอาณานิคมอาริกาเซีย รัฐเอคริสเปีย เดินทางด้วยเท้านั้นกินเวลาอยู่บาง กว่าจะถึงกรีนโมตาลี ต้องผ่านหมู่บ้าน 2 แห่ง เบรดาวูด กับ ฮอกเก้น ก่อน

ถนนดินเป็นเส้นทางลากยาวจากเมืองอากริปปินาข้ามสะพานและตามแม่นํ้าเล็ก ผ่านเนินเขาและดงพงไพร เบรดารูดอยู่ขว้างเส้นทางสายหลัก ในหมู่บ้านอาณานิคมมีประชากรน้อยกว่าเมืองอย่างมาก กลุ่มคิริลเดินผ่านบ้านไม้ เบราดาวูดเป็นหมู่บ้านที่เน้นการตัดไม้เป็นหลักทำให้มีแต่สินค้าประเภทไม้ประดิษ หรือซุงไม้และไม้แปรรูป

บ้านหลักใหญ่คือสถานที่ประชุมของหมู่บ้าน หยุดตรงหน้าบ้าน หญิงสาวเงยหน้ามองระฆังสีทองที่มีเชือกดึงอยู่หน้าบ้านอยู่ช่วงคู่ ก่อนมือของเธอจะสั่นระฆัง มันส่งเสียงดังไปทั่วหมู่บ้าน เนื่องจากว่ามันเป็นระฆังเล็กทำให้ได้ยินเพียงแค่คนในหมู่บ้านเท่านั้น หมายความว่ามันเป็นเพียงแค่ตัวส่งสัญญาณเรียกประชุมเท่านั้น หากเป็นระฆังใหญ่ที่ดังจากเมืองถึงจะเป็นเหตุร้ายแทน

คิริลยื่นบนลังไม้ และรอให้ชาวเมืองทยอยรวมตัวกันหน้ากลุ่มของพวกเธอ หัวหน้าหมู่เดินแทรกชาวบ้านเข้ามาหาคิริล ก่อนจะใช้สายตาตรวจสอบกลุ่มผู้มาใหม่

“พวกเจ้า…” ผู้ใหญ่บ้านกำลังจะกล่าว แต่ทว่าคิริลกล่าวขัด

“กองกำลังลีโอเนียจำนวนหลายนายกำลังเตรียมเคลื่อนพลไปยัง กรีน โมตาลีเพื่อยึดดินปืน อาวุธยุทโธปกรณ์ พวกมันจะเดินผ่านหมู่บ้านพวกคุณ คาดว่าจะเริ่มออกจากเมืองอากริปปินาในตอนกลางคืนก่อนรุ่งสาง” เธอตะโกนกล่าวแจ้งให้ชาวบ้านได้ยินฟังชัด

“พวกลีโอมันรู้แล้วหรือ!?” เหล่าชาวบ้านต่างพากันแตกตื่น

“ใจเย็นก่อน!” ผู้ใหญ่บ้านพยายามหยุดความตื่นกลัว “ขอบคุณเจ้ามากที่มาเตือน พวกมันยังไม่รู้ตัวว่าเรารู้เรื่องที่มันจะเดินทัพไปยังกรีนโมตาลีใช่หรือไม่?” คิริลยกยิ้มที่มุมปากและพยักหน้าเป็นการตอบกลับ

ผู้ใหญ่บ้านเห็นรอยยิ้มของหญิงสาวก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นตามและกล่าวออกคำสั่งกับชาวบ้านของเขาทันที

“เบรดาวูด!! เวลานั้นได้มาถึงแล้ว! พาเด็กๆและคนแก่ไปซ่อนตัวในป่าในคืนนี้เสีย ส่วนผู้ใดที่ต้องการสู้มากับข้า ซ่อนอาวุธปืนให้มิดชิด!” โอ้ว ! ชาวบ้านเบรดาวูดต่างแยกตัวไปทำหน้าที่ของตัวเองทันที หัวหน้าหมู่บ้านหันกลับมาพยักหน้าให้ก้มหัวให้คิริลเล็กน้อย ก่อนจะแยกตัวกลับไปยังบ้านของตัวเอง

ทุกคนล้วนรู้สิ่งที่ตัวเองจะต้องทำ พวกเขาบางคนเตรียมตัวเตรียมใจกันมานานแล้ว พวกเขาเพียงแค่รอให้โอกาสและทุกอย่างพร้อมเสียก่อน…. ก็เท่านั้น

กลุ่มของคิริลไปเตือนชาวเอคริสเปียทุกคนที่ใกล้เส้นเดินทางของทหารลีโอเนีย ชาวบ้านต่างๆพากันหยิบอาวุธของต้นขึ้นมา ของที่ขโมยมากำลังจะถูกใช้งาน ชาวบ้านติดอาวุธพวกนี้ไม่ได้เป็นแค่คนงาน พวกเขาได้รับการฝึกฝนมาเล็กน้อยจาก ทหารอาสาแห่งบอสตัน

คิริลได้ออกคำสั่งกับกลุ่มทหารชาวบ้านเรานี้ไว้ว่า " กลางคืน แสงจากโคมไฟบนหอระฆังของโบโบสถ์เก่าจะเป็นสัญญาณไฟ จงจุดไฟและชูแสงนั้นขึ้น เพื่อกระจายสัญญาณแจ้งให้ทุกคนได้รู้เป็นตามกันว่า พวกลีโอกำลังมา!

ทุกหมู่บ้านทุกเมืองทั่วทั้งเอคริสเปียจงลุกขึ้นมาติดอาวุธ และตอบโต้ทรราชเสีย!

คิริลแจ้งข่าวไปทุกสถานที่ ชาวอาณานิคมแห่งเอคริสเปียพร้อมขานรับเสียงของระฆังสัญญาณอย่างแน่นอน เดินทางจนมาถึงเมืองกรีนโมตาลี เมืองขนาดกลางกรีนโมตาลี เมืองที่ตั้งหลังจากที่อากริปปินากลายมาเป็นหัวเมืองหลักของเอคริสเปีย

ข่าวสารนั้นเร็วเสียยิ่งกว่าม้าเร็วที่ส่งข้อความ ชาวเมืองกรีนโมตาลีบางคนรับรู้แล้วว่าจะเกินอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้ ศาลากลางเมืองกรีนโมตาลี ที่ตั้งของบ้านเจ้าเมือง ชายวัยชรายืนมองกลุ่มผู้มาใหม่ด้วยสีหน้าที่จริงจัง

กลุ่มของคิริลเดินเข้ามาหาชายเจ้าของเมืองอย่างไม่เร่งรีบ เจ้าเมืองกรีนโมตาลีกล่าวทันทีที่คิริลยืนอยู่ตรงหน้าเขา

“พวกเรากำลังจะก่อการกบฏต่อสหจักรวรรดิจริงนะหรือ?” ในตาของเจ้าเมืองนั้นมีความลังเลอยู่มาก แต่เขาจำเป็นต้องรักษาตำแหน่งเจ้าเมืองของเขา เมื่อถูกจี้หลังด้วยชาวเมืองของตนเอง

“ท่านเจ้าเมือง… ต่อให้ท่านยังคงอยู่ฝั่งลีโอ ยังไงพวกมันก็มาแน่ พวกมันไม่ได้แค่จะสังหารคนต่อต้าน แต่จะเผาบ้านของท่านเช่นกัน เพราะงั้นแล้วพวกเขาจึงต้องเตรียมความพร้อม” คิริลกล่าวด้วยนํ้าเสียงที่นิ่งเฉย นํ้าเสียงนั้นหากใครได้ยินก็คงรู้ว่าหญิงสาวไม่ชอบหน้าเจ้าเมืองคนนี้

“แต่ว่า… เราน่าจะเจรจาอีกรอบกับสภาสูงเสียมากกว่านะ หรือไม่ก็รอสภานิติบัญญัติเฉพาะกิจออกคำสั่งให้จัดตั้งทหารอาสาขึ้นมาก่อน ข้าไม่อย่าให้ทรัพย์สินของข้าต้องเสียหายเพราะสงครามที่ไม่มีวันชนะของพวกเจ้า--”

“สภาอาณานิคมดำเนินการได้ก็จริงแต่กระทำการล่าช้าไป มติของสภาพวกเราเอคริสเปียจะไม่ให้ความสำคัญในตอนนี้ การรวมกำลังชาวเอคริสเปียและตั้งกองทหารอาสาสังเกตการณ์ขึ้นทันทีเพื่อทำหน้าที่ป้องกัน…” เธอชะงัก “ทรัพย์ของท่านและเพื่อเป็นการป้องกันตนเอง เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องทำ”

“ป… ปะ ปกป้องทรัพย์ของข้าหรือ!? เจ้าน่าจะเป็นตั้งแต่แรก ชะ เช่นนั้นข้าจะให้ความร่วมมืออย่างแน่นอน!” เจ้าเมืองพูดตะกุกตะกักเพราะว่า ตัวเขานั้นพยายามรักษาหน้าตาที่โลภมากเอาไว้ แต่ใจความนั้นเขากล่าวอย่างกระตือรือร้น

ทรัพย์ที่เจ้าเมืองหมายถึงคือที่ดินปลูกพืชอันกว้างใหญ่ รวมไปถึงแรงงานอย่าง'ทาส' ถึงแม้ว่าอัลชลาฟไวส์จะมีการซื้อขายทาสอย่างเห็นได้ทั่วไป แต่สำหรับคนที่มาจากยูตร้า อาฟโรร่าอย่างเธอแล้วนั้นค่อนข้างหาได้ยาก

คิริลไม่ชอบการค้าทาส เธอเกลียดเข้ากระดูกดํา โดยอย่างยิ่งคนที่ถูกลักพาตัวมาเป็นทาส ทาสนั้นมีสาธาณะที่แย่กว่าประชาชน โดยอย่างยิ่งทาสติดที่ดิน อย่างไรก็ตามก็ไม่ใช่ว่าบ้านเกิดขอเธอไม่มี

“ขอบคุณที่ท่านเจ้าเมืองเข้าใจ” คิริลก้มหัวลงเล็กน้อย พยายามเก็บสีหน้าที่เกลียดชังเอาไว้

หญิงสาวและเจ้าเมืองเดินเข้าไปข้างในศาลากลางเพื่อรอคำสั่งจากหัวหน้าของเธอ ในห้องส่วนกลางของตัวอาคารถูกจัดไว้เป็นโต๊ะขนาดใหญ่พร้อมกับแผนที่ของเมืองและรอบตัวเมือง เธอยืนรออยู่ราวๆ 10 นาที ก่อนที่จะมีชาวเมืองชายหญิงเริ่มเข้ามาภายในห้อง

เมื่อเห็นว่ามีเพียงแค่ 8 คน ถึงเธอจะไม่รู้จักแต่ก็รู้ว่าพวกเขาเป็นผู้บัญชาการและผู้นำชาวเมืองติดอาวุธอย่างแน่นอน

“คิริลลอฟนา เฟิ่ง คือชื่อของฉัน”  คิริลจะกล่าวพูดเป็นคนแรก “พวกคุณคงรู้แล้วว่า พวกมันกำลังแยกกำลังมายังเมืองแห่งนี้ แน่นอนว่าฉันมีหน้าที่แจ้งข่าวก็จริง แต่เมื่อต้องศู้ฉันจะขอเข้าร่วมแถวเช่นกัน เพราะงั้นแล้วฉันจึงอยากจะที่เข้าร่วมการปรึกษาประชุมในครั้งนี้ด้วย…”

“ยินดีที่มีคนช่วยสู้เสมอคิริลลอฟนา” ชายวัยกลางคนกล่าว เขาเป็นหัวหน้าชุดยิง

ในที่ประชุมตอนนี้มี ผู้บัญชาการที่ได้รับการฝึกและรับสายบัญชาการมาแล้ว อย่างไรก็ตามผู้นำกลุ่มย่อยอีกจำนวนหนึ่งที่เป็นชาวบ้านติดอาวุธไม่ได้รับการฝึก

ก่อนที่จะมีผู้หญิงอีกคนพูดขึ้นมา “เราควรวางแผนตั้งรับหรือจะดักสังหารพวกมันระหว่างทางกัน? ข้ามีทหารอาสาชาวเมืองกรีนโมตาลีจำนวน 400 พร้อมเข้าปะทะได้ตลอดเวลา แล้วพวกท่านแต่ละคนมีคนพร้อมสู้กันเท่าใด?”

“ข้าเป็นช่างปืนพร้อมกับกลุ่มคนงานในโรงผลิตปืน แม้แต่ช่างปืนที่ข้าไม่ชอบหน้าก็มาด้วย จำนวน 44 คน ทุกคนล้วนยิงได้แม่น บางคนเป็นนักล่าสัตว์” ช่างปืนร่างอ้วนชะงักเล็กน้อยก็จะกล่าวด้วยนํ้าเสียงที่อวด

“3 นัด 1 นาที พวกข้าทำได้”

ทุกคนในห้องมีสีหน้าที่ตกใจอย่างมาก บางคนถึงกลับไม่เชื่อคำพูดของช่างปืนร่างใหญ่คนนี้ 3 นัด 1 นาที? นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากปกติแล้วแค่ 2 นัดก็กินเวลานานแล้ว 3 นัด นั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย

ช่างปืนเป็นคนแรกที่เข้ามาในห้องพร้อมกับคนสนิท อย่างน้อยกลุ่มคนพวกนี้ก็เป็นผู้รักบ้านเกินเสียยิ่งกว่ากระไรอยู่แล้ว ไม่แปลกนักหากพวกเขาจะเป็นพวกแรกที่กล้าต่อต้านแบบจริงๆจังๆ

“เรามีอดีตนักผจญภัยประมาณ 50 กว่าคนคาดว่าจะมีมาเพิ่มในคืนนี้อีก อาจจะไม่ได้รับการฝึกตั้งแถวยิง แต่อย่างน้อยเรื่องเข้าปะทะพวกเรานั้นเก่งที่สุดบนทวีปอาริกาเซีย” ชายอีกคนที่ดูเหมือนนักผจญภัยพูดขึ้นมาด้วยนํ้าเสียงที่ภูมิใจ

“ตั้งรับในเมืองเป็นสิ่งที่ควรทำ” ช่างปืนพูดขึ้นก่อนจะชี้จุดป้องกันที่เขาคิดว่าน่าจะเหมาสำหรับสังหารทหารลีโอเนีย

“หากตั้งรับในเมือง พวกมันอาจจะล่วงรู้ก็เป็นได้? หรือเราควรที่จะไปประจันหน้ามันตรงๆ แล้วเริ่มตีขนาบข้างพวกมัน จนกว่าจะถอยกลับไป?” คนสนิทของช่างปืนพูดขึ้น แต่ก็ถูกขัดด้วยเหตุผลจากผู้หญิงผู้นำกองกำลังอาสากรีนโมตาลี

“สู้กับพวกลีโอแบบตรงๆมีแต่พวกที่บ้าเท่านั้นล่ะ! ข้าว่าล่อให้พวกมันเข้ามาในเมืองก่อนและรอแยกพวกมันออกมาทีละนิด ก่อนจะโจมตีทุกส่วนของเมืองเสียจะดีกว่า!” การสู้ต่อหน้าต่อตากับทหารที่ถูกฝึกมีอย่างดีนั้นยากเสียยิ่งกว่าสู้กับชนเผ่า หากพวกเขาตั้งแถวยิงอาจจะสูญเสียมากกว่าก็เป็นไปได้ ไม่แน่นไม่ใช่สูญเสียแต่พ่ายแพ้และหนีหายหัวไปกันหมด

ภายในห้องเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยไม่จบไม่สิ้น พวกเขาต้องหาแผนการมาสู้กับทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดี หลายคนเสนอแผนของตัวเองออกมาในที่ประชุม แต่ก็จะมีเสียงขัดด้วยเหตุผลต่างๆแทน ขณะที่พวกเขายังหาหรือกันไม่ลง ชายคนใหม่ก็เดินเข้ามาในห้อง

“จำนวนพวกเราในตอนนี้มีน้อยอย่างมาก จำเป็นต้องเรียกมาที่กรีนโมตาลีมากกว่านี้ เราสามารถทำให้พวกลีโอมันประหลาดใจหากเราเข้าโจมตีมันทุกทาง” เขาชะงัก “คิริลท่านเป็นคนของสายข่าวใช่หรือไม่?”

“ใช่นั้นฉันเองแล้วคุณคือ?”

“ผู้บัญชาการกองกำลังแบ่งแยก กามิโล เฮอร์นันโร พร้อมคนในมืออีก 200 ชีวิต พร้อมที่จะเข้าร่วมสู้” กามิโลแนะนำตัวเอง กองกำลังแบ่งแยกทุกคนในห้องต่างมองชายผู้มาใหม่ด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย

กองกำลังแบ่งแยกไคโยตี พวกเป็นคนที่ต่อต้านลีโอเนียอย่างโจ่งแจ้งกับกลุ่มแรก ไม่ได้มีบทบาทอะไรจนกระทั่งกฎหมายใหม่และความไม่พอใจของอาณานิคมที่เป็นใจ พวกเขากับกลุ่มแรกที่ออกมาสู้กับทหารรอบชายแดนและในชายแดนอาณานิคม สูญเสียชีวิตแทบทุกวัน

“แน่นอน พวกเราต้องการทุกคนที่สามารถสู้ได้” ผู้นำกองกำลังอาสาเมืองกรีนโมตาลีพูดด้วยนํ้าเสียที่เคารพ

“มีคนอาสาเท่าไรที่จะมาสู้ในวันพรุ่งนี้ ท่านคิริล” ทุกคนหันมามองหญิงสาวอมนุษย์เป็นทางเดียวกัน

“จากส่ายข่าวที่ได้รับแจ้งโดยผู้นำตระกูลเอคริสเปีย มีคนอาสา 4 พันกว่าคน หัวหน้าฉันบอกกองกำลังอาสากำลังถูกจัดตั้งขึ้นทั่วอาณานิคมอย่างลับๆ หลังจะรับแจ้งข่าวจากท่านหญิงแอร์นาว่าลีโอเนียกำลังเตรียมนำทหารมายังกรีนโมตาลีจำนวน 700 ร้อย” เธอกล่าวอย่างไร้กังวล

“ฮ่า! ไม่ใช่ว่าพวกเราเองก็พร้อมอยู่แล้วหรอกหรือ?” กามิโลพูดขึ้นเสียงดัง “อย่างที่ข้าบอกไป พวกเราทำให้มันตกใจได้หนีได้ ตั้งแถวรอพวกมันหน้ากรีนโมตาลี ตีให้มันถอยกลับ บอกแผนการให้ทุกคนได้รู้ โจมตีพวกมันทุกทางอย่าให้มันได้พักขณะถอยหนี สังหารพวกมัน ทำลายความภูมิใจพวกมัน!” เสียงช่วงหลังของกามิโลนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชังและแค้นคอ

กองทหารอาสาเอคริสเปียทำให้พวกมันลิ้มรสความพ่ายแพ้

“พวกไคโยตีเป็นพวกกระหายเลือดหรือไงกัน?” หญิงสาวเอ่ยออกมาเบาๆ ซึ่งก็ไม่มีผู้ใดได้ยินสิ่งที่เธอพูด

ด้วยกำลังใจที่มากมาย และความพร้อมแล้ว ให้สู้ประจันหน้าเลยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แม้ว่าจะมีบางคนที่ไม่เห็นด้วย แต่หากทำให้มันพวกรู้สึกเสียควัญก็น่าจะดีกว่าชนะไม่น้อย แต่หากพวกเขาแตกแถวพ่ายแพ้เมื่อสู้จริงกับทหารลีโอเนีย อย่างน้อยก็มีกองหนุนที่มาเติมได้ตลอด อย่างน้อยวันพรุ่งนี้พวกเขาก็อยากจะสร้างชื่อเสียงให้กับเอคริสเปีย ผู้ต่อต้านราชสีห์แห่งแดนเหนือ

ประวัติศาสตร์จะบันทึกเรื่องราวที่บ้าบิ่นของเอคริสเปียอย่างแน่นอน เรื่องราวของอาณานิคมเอคริสเปีย เรื่องราวบ้านเกิดของพวกเธอ เรื่องราวของผู้ที่กล้าลุกขึ้นบนโลกใหม่ คิริลคิดในใจ

เมืองกรีนโมตาลี เตรียมความพร้อม ทหารอาสาจากทั่วทุกมุมของเอคริสเปียจำนวน 700 กว่าคน และกำลังมากขึ้นทุกชั่วโมง ในคืนที่มืดมิดที่มีเพียงแค่แสงจันทร์ที่ให้ความสว่าง หัวเมืองเคริสเปีย อากริปปินาที่เต็มไปด้วยไฟจากคบเพลิง

เสียงสะพายกระเป๋าทหารพร้อมกับเสียงพูดคุยดังไปทั่วถนนนอกเมืองอากริปปินา ทหารลีโอเนียในเครื่องแบบสีแดงเวนิส ตั้งแถวคอลัมน์ นำโดยพันโท ซามูเอล ดิ พิตแคร์น ผู้นำกองพันที่ 10 (10th Company) จาก กรมทหารเท้าที่ 4 วาเดน (4th 'Warden' Regiment of Foot) เตรียมความพร้อมนำทหารจำนวน 700 นายจากกองพันที่ 10 เดินทางไปยัง เมืองกรีน โมตาลี เพื่อยึดดินปืนของเอคริสเปียกันมิให้เกิดการใช้เพื่อก่อการร้าย

“กองกำลัง! เตรียมความพร้อม! เราจะเดินทางไปยังกรีนโมตาลี ซึ่งจะถึงพอดีตอนรุ่งสาง จากนั้นพวกเราจะตรวจค้นเมืองกรีน โมตาลี เพื่อยึดโรงดินปืน และนำกลับมายังค่ายในอากริปปินา” เสียงพูดคำสั่งของพันโทดังฟังชัด

แถวทหารลีโอเนียหันตามเส้นถนน ก่อนจะตามาด้วยเสียงกล้องคำสั่ง เดินตามจังหวะ  ทหารลีโอเนียที่ดุดัน 700 ชีวิต ทุกก้าวเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามและวินัยที่เคร่งครัดถูกฝึกมาอย่างดี

หากแต่ว่า มีสายตาอันแหลมคมมองจากเบื้องสูง จับจ้องทหารลีโอเนียด้วยความแค้นเคือง ชายในชุดคลุมพยักหน้าให้กับสหายข้างๆ ชายบนโบสถ์เก่าจุดไฟตะเกียงก่อนจะชู่มันขึ้นสูง แสงสว่างนั้นสามารถเห็นได้จากที่ไกล เป็นสัญญาแจ้งให้กับชาวเอคริสเปียทุกได้รับรู้


0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด