ตอนที่แล้วบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 29 การประชุมว่าด้วยการแก้ไขภาษีใหม่ (New Tax Amendment Act Convention)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 สู่การปฏิวัติ : ตอนที่ 1 เด็กกำพร้าและผู้อพยพ (Orphan & Immigrant)

บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 30 จุดไฟคบเพลิง (Ignite the Torch) (End Act:1)


จุดไฟคบเพลิง

(Ignite the Torch)

เสียงคลื่นซัดกระทบตัวเรือที่ทำจากไม้ กลิ่นอายทะเท่ามกลางสายลมและเกลียวคลื่น น้ำทะเลสีฟ้าครามที่ทอดกว้างยาวสุดขอบฟ้า ตัวเรือเอียงขึ้นลงตามกระแสคลื่นทะเล สมชื่อมหาสมุทรอาจิเต้อันเลื่องลือ ชายหนุ่มผู้มาจากดินแดนอันห่างไกล ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าตัวเขานั้นจะได้กลับไปยังบ้านเกิดที่แท้จริงของเขาหรือไม่

ลาสนั่งอยู่ในห้องพักส่วนตัวภายในเรือขนส่งไม้ การเดินทางข้ามทวีปนั้นต้องใช้เวลานานหลายเดือนแม้ว่าจะมีเวทมนตร์เร่งความเร็วเรือก็ตาม ขามาได้นั่งเรือยุคใหม่ แต่ขากลับได้นั่งเรือเดินทะเลสมัยก่อน ช่างน่าแปลกเสียจริง ลาสกล่าวกับตัวเองในใจหลังจากได้อยู่กลางทะเลแล้ว

ชายหนุ่มนั่งอยู่บนโต๊ะ โดยที่มีมือหนึ่งต้องจับสมุดหนังไม่ให้ไหลตามเรือไป ห้องส่วนตัวของลาสนั้นเล็กอย่างมาก แต่ก็ยังดีกว่าให้ไปนอนกับลูกเรือ แน่นอนว่ากัปตันเรือก็นอนห้องแบบเดียวกัน และยกอีกห้องให้เป็นคนที่สำคัญกว่า จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นจากด้านข้างเขาสองครั้ง

ก๊อก! ก๊อก! “เข้ามาได้เลยครับ” ลาสกล่าวโดยไม่หันไปมอง

“!!? ท่านดักลาส…. ท่านควรนอนพักบ้างนะ” หญิงสาวผู้มีสีผมบลอนด์ทองอ่อน ในตาสีอำพันของเธอเบิกกว้างหลังเห็นใบหน้าชายหนุ่มที่ดูเหมือนคนไม่ได้นอน เฟลิเซีย แห่งตระกูลสกาเล็ตกล่าวแนะนำด้วยความเป็นห่วง หากผู้ช่วยคนสำคัญของเธอเสียชีวิตมีหวังทุกอย่างได้พังลงอย่างรวดเร็วแน่นอน

“คุณหนูไม่เข้าใจหรอกครับ ว่าการโดยทำร้ายความเป็นชายมันเป็นสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าการสู้ในสนามรบเลยนะครับ!” ลาสคิดถึงภาพอันน่าอายก็อดไม่ได้ที่จะเขินอาย บางครั้งเขาก็คิดว่าทำไมต้องเป็นโจรสลัดหญิงคนนั้นด้วยนะที่มาส่งเสบียงอาหาร ทำไมไม่ให้กัปตันบาร์เลย์ในกองเรือใบเรือดำเสียจะดีกว่า ลาสกำมัดเขาไม่ได้แทบจะไม่ได้นอนเมื่อต้องเจอกับ

“ฮ่าๆ แต่ข้าชอบเวลาที่ท่านใส่ชุดเดรสอยู่นะ อยากจะรู้จริงๆว่าพวกโจรสลัดไปเอามาจากไหน” สิ้นเสียงลาสก็รีบตะโกนตอบกลับด้วยความรวดเร็ว

“ขอร้องอย่าพูดถึงเรื่องนั้นด้วยครับ!! แล้วก็ชุดเดรสนั้นต้องเป็นของที่โดยปล้นมาอยู่แล้ว จะให้พวกโจรไปซื้อที่ท่าเรือหรือไงกันครับ!?” ชายหนุ่มอยากกรีดร้องออกมา เปลี่ยนจากคนง่วงนอนเป็นให้กลายเป็นผู้ตื่นรู้ทันที ภาพที่ของตัวที่ใส่ชุดเดรสสีฟ้า พร้อมกับการเรียกตัวเองว่า ' น้องสาว '

“เอาเถอะน่า อีกอย่างท่านก็คงจะไม่ได้เจอโซเฟียอีกนาน เพราะว่าพวกเราก็ใกล้ถึงบ้าน” เธอนั่งลงบนเตียงของลาส โดยมีเสียงพึมพำของลาสออกมาเบาๆ “คุณสนิทกับยัยโจรสลัดคนนั้นเมื่อไหร่?”

เฟลิเซียปล่อยให้ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองอยู่ช่วงครู่ จนกว่าที่ลาสจะหยุด ก่อนที่เธอจะพูดด้วยนํ้าเสียงที่จริงจัง ปนเศร้าหมอง

“ข้าขอโทษที่ต้องบอกท่าน แต่แผนการของข้าได้เริ่มไปนานแล้ว…” เฟลิเซียชะงัก “แต่ข้าไม่คิดว่า จะมีคนตายมากกว่าพันคนในไม่กี่วันหลังแผนทำลายทัณฑนิคม อุปกรณ์เวทมนตร์สื่อสารที่ข้าได้มาดันเกิดปัญหา จริงๆข้อมูลควรจะส่งมาให้พวกเราตั้งแต่ครึ่งเดือนที่แล้วก่อนเราจะผ่านจุดกลางอาจิเต้ ข้ารู้สึกไม่ดีอย่างยิ่ง…”

" มันเลียกเลี่ยงไม่ได้หรอกนะครับที่จะมีคนตายเพราะแผนของคุณ

ราคาของอิสรภาพนั้นแพง และพวกเราเองก็พร้อมจ่ายมัน

“ตะ แต่!… หากข้าทำตามแผนของท่านตั้งแต่แรก พวกเราอาจจะสร้างเส้นทางที่ราบรื่นกว่านี้ก็เป็นไปได้” เฟลิเซียยังคงอยู่ยึดติดกับอดีต เธอคิดว่าหากทำตามที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้ว อาจจะไม่ต้องมีผู้เสียชีวิตมากเท่าแผนของเธอก็ได้

“คุณหนู พวกเราย้อนเวลาไม่ได้นะครับ เพราะงั้นเรามาทำหน้าที่ของพวกเราให้ดีที่สุดจะดีกว่า” ลาสชะงักเล็กน้อย “อุปกรณ์เวทมนตร์สื่อสารสามารถใช้งานได้แล้วใช่ไหมครับ? ช่วยบอกสถานการณ์ทางฝั่งของอาณานิคมด้วยครับ”

ตอนนี้กองเรือขนส่งโดยสาร ลาสและเฟลิเซียรวมไปถึงทหารชาวอาณานิคมที่เหลือรอด ผสมกับทหารชาวโดส สเลเลนที่ไม่ต้องการที่จะกลับทวีปของตัวเอง พวกเขาใกล้จะถึงทวีปอาริกาเซียซึ่งก็น่าจะอีกเดือน ราวๆปลายเดือนกันยาหรือไม่ก็ต้นเดือนตุลาคมก็น่าไปถึงอาริกาเซีย

ทางฝั่งของอาริกาเซียนั้นไม่ค่อยจะดีนัก มีการชุมนุมและการสังหารเกิดขึ้นทั่วอาณานิคม ทหารลีโอเนียรักษาการณ์ยังคงควบคุมเมืองบอสตัน และกำลังรอกองกำลังเสริมชุดที่แรกจากสภาสูง จากสายลับในสภาสูงและกองทหารลีโอเนียได้ให้ข้อมูลว่า

จะมีกองกำลังเสริมเพื่อควบคุมอาริกาเซียจำนวน 2 ชุด ราวๆ 2000 คน(1กรม) ในขณะที่ทหารรักษาการณ์มีจำนวนอยู่แล้ว 1 กรม ถึงแม้ว่าจะจำนวนจะน้อยแต่ลาสก็รู้ว่าทหารพวกนี้เป็นทหารมืออาชีพที่ถูกฝึกมาอย่างดี โชคยังดีที่เป็นทหารหน้าใหม่ ไม่ใช่พวกที่ผ่านสงครามทูเดีย

อาริกาเซียมีท่าทีที่แข็งกร้าวอย่างชัดเจน มีการปล้นทหารลีโอเนียจำนวนมาก การลอบสังหารทหารยาม การเผาตึกราชการในเมืองบอสตัน และเมื่อมีการออกตามจับผู้ร้าย ชาวอาณานิคมก็ช่วยกันปกปิดคนร้าย ช่วยเหลือโจรที่ปล้นอาวุธปืน และ พื้นที่อื่นๆที่ไม่มีทหารลีโอเนียก็เริ่มมีการชุมนุมประชุมระหว่างชาวเมือง

รายงานข้อมูลถูกส่งจาก กลุ่มต่อต้านในรัฐโจเซ ‘ สภานิติบัญญัติประจำจังหวัดเฉพาะกิจ? ’ ลาสถึงกับมึนงง ไม่ใช่ว่าเขาเอาเรื่องสภาในโลกเก่าของเขาไปเล่ากับคนไม่กี่คนไม่ใช่หรือ? ทำไมพวกเขาถึงสามารถตั้งขึ้นมาได้กันนะ… หากแต่ว่าลาสยังไม่รู้ว่าเขาได้ทำให้เกิด ความคิดใหม่ๆ ลอยอยู่เต็มไปหมดอาริกาเซียไปนานแล้ว

ชายหนุ่มคิด ‘ หากจำเป็นจริงๆ ดินปืนและปืนใหญ่คือสิ่งที่ชาวอาณานิคมสามารถเรียนรู้และนำมาใช้ได้… ’

“พวกลีโอเนียทำตัวเอง พวกเขากำลังสร้างศัตรูบนอาริกาเซียโดยที่ตัวเองไม่ได้คิด” เฟลิเซียกล่าวหลังบอกข้อมูลที่เกิดขึ้นบนอาริากเซีย

เหมือนกับว่าสภาสูงหรือชาวลีโอเนียที่ประจำอยู่ในอาริกาเซีย จะคิดว่าชาวอาณานิคมไม่กล้าสู้กลับ เลยใช้ความกลัวปกครองอาณานิคมเขตที่ 6 แทน แต่อีกไม่นานสภาสูงก็จะต้องรู้สึกตัวและส่งกองกำลังมาจัดการอาณานิคมแห่งนี้ แต่ว่า…

สหจักรวรรดิจะมีพลังห่างชั้นอย่างมากโข แต่หมาจนตรอกก็ใช่ว่าจะไม่กัดเจ็บเสียหน่อย

“ใช่ พวกเขากำลังปูทางให้เกิดการลุกฮือและจุดไฟเผาตัวเอง อาริกาเซียคงจะไม่สามารถถอยกลับไปลูกรัก(1)ของลีโอเนียได้อีกแล้วล่ะนะ” ลาสพูดติดตลก พร้อมกับเสียงหัวเราะแห้งๆของเฟลิเซีย ถึงแม้ว่าลาสจะพยายามสร้างรอยยิ้มให้คุณหนูที่ทำงานนักพอๆกับตัวเขา แต่ดูเหมือนว่าเธอจะจริงจังมากกว่าที่จะรับมุขของเขา

“แล้ว… คิดว่าอาณานิคมจะเริ่มก่อการ'กบฏ'เมื่อใดกันหรือ?” เฟลิเซียกล่าว ก่อนที่เธอจะหยิบอุปกรณ์เวทมนตร์สื่อสารขึ้นมามันเป็นลูกกลมสีฟ้าเข้มเหมือนกับลูกแก้วดูดวงที่ใช้หลอกชาวบ้าน หากแต่มันคืออุปกรณ์เวทมนตร์สื่อสารที่พวกเขาใช้กัน

“เชื่อผมเถอะคุณหนู พวกผู้นำรัฐที่อยู่สภาของอาณานิคมไม่ใช่เหล่าคนที่โง่เขลา” ลาสชะงัก “พวกเขาน่าจะรู้สึกตัวแล้วว่าหากพวกจะอยากอยู่รอด พวกเขาต้องร่วมมือกัน ต่อให้จะมีฝ่ายผู้ภักดีอยู่แต่ความสามัคคีของอาริกาเซียนั้นอยู่มานานแล้ว และเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเราจะคนนำทางให้พวกเขาได้เปลี่ยนความคิดเพื่อความเปลี่ยนแปลงเอง  ”

ลาสถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะดึงเรื่องบางเรื่องจากโลกเก่าของเขามาพูดกับเฟลิเซีย

“ในปรัชญาการเมืองมีสิ่งที่เรียกว่า สิทธิในการปฏิวัติ(2) แต่หลายคนเรียกว่าสิทธิในการกบฏ เป็นสิทธิหรือหน้าที่ของผู้คนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้าง รัฐบาลที่ขัดต่อผลประโยชน์ส่วนรวมหรือคุกคามความปลอดภัยของประชาชนตัวเองโดยไม่มีเหตุผล”

“สิ่งที่ผมกำลังสร้างคือ คือความล้มเหลว… การเปลี่ยนแปลงด้วยเลือดและเนื้อคือสิ่งที่ล้มเหลว แต่ก็ไม่สามารถล้มเลิกมันได้แล้ว เพราะงั้นคุณหนู… อย่าได้กังวลไปเลย เราไม่สร้างดินแดนเพื่อตัวเราของเราเอง แต่เราสร้างเพื่อคนรุ่นหลัง ความล้มเหลวที่เต็มไปด้วยศพคือสิ่งที่จะทำให้คนรุ่นหลังเรียนรู้ที่จะไม่ทำตาม”

เฟลิเซียยิ้มเบาๆ ก่อนจะสัมผัสอุปกรณ์สื่อสารด้วยมือของเธอ และกล่าวพร้อมกับลาส

“เพื่ออิสรภาพของอาริกาเซีย…”

“ประวัติศาสตร์กำลังก้าวไปข้างหน้า…”

……

.

.

.

.

.

.

16 กันยายน ศักราชอองโทราลที่ 3925

วันทั่วไปของเมืองท่าบอสตันที่สุดจะเงียบเหงา ทหารรักษาการณ์ในเครื่องแบบสีแดงเวนิสเดินตรวจตราตระเวนไปทั่วกลางเมือง เพื่อระวังเหตุการณ์ร้ายแรงซึ่งก็ผ่านมาได้ 3 เดือนได้แล้ว ในช่วงแรกก็ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเมืองอาณานิคมแห่งนี้ แต่ช่วงหลังมานี้ ทุกอย่างมันแปลกไปกันหมด ไม่มีชาวอาณานิคมกล้ามองหน้าทหารลีโอเนีย ไม่มีชาวอาณานิคมติดต่อขอความช่วยเหลือพวกเขา ไม่มีชาวอาณานิคมมองพวกเขาด้วยสายตาที่ปกติ

โดยอย่างยิ่งที่หลังมีการจัดตั้งสภาของชาวอาณานิคมขึ้นมา และได้เจรจาพูดคุยกับกรมปกครองโดยตรงของสภาสูงอย่างเป็นทางกลางแล้วในเดือนกรกฎาคม ซึ่งสิ่งที่ชาวอาณานิคมได้รับกลับจากการเจรจาต่อรองก็คือ บัญญัติ 4 ประการ ถูกตั้งชื่อว่า บทลงทัณฑ์ (Punishment Acts)

ซึ่งกล่าวถึง 4 เรื่องคือ จ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้น กิจการทุกอย่างในเมืองท่าถูกยึด การพิจารณาคดีจะถูกพิจารณาคดีโดยคนของลีโอเนีย อาณานิคมต้องจัดหาที่พักให้กับทหารลีโอเนีย

ทั้ง 4 เรื่องข้างต้นนั้นเป็นเหมือนเชื้อไฟที่ถูกเติมหลังจากที่สภาสูงเพิกถอนการปกครองตนเองของอาณานิคม เช่นรัฐโฟลิโอเป็นตัวอย่างเตือนให้ชาวอาณานิคมหยุดการกระทำที่ส่อแววต่อต้าน หรือเป็นภัยต่อสหจักรวรรดิ

ความขุ่นเคืองเกิดขึ้นทั่วอาณานิคมเมื่อบัญญัติลงทัณฑ์ถูกสั่งใช้หลังจากที่มันผ่านสภาสูงลีโอเนียาวอาณานิคมต่างคิดกันว่า เหตุใดพวกเขาจะต้องจ่ายค่าเสียหายที่ไม่ได้เป็นคนทำ ความเสียหายที่เยอะมากมายนั้น ก็ไม่ได้เกิดจากชาวอาณานิคมอย่างเช่นพวกเขาด้วยซํ่า ไหนจะเรื่องพิจารณาคดีและเรื่องบ้านอาศัยของตัวเอง ที่กำลังจะกลายเป็นที่พักของทหารอีก

ในเมืองบอสตันใกล้ถนนสายหลัก ทหารรักษาการณ์จำนวน 8 นาย เดินถืออาวุธดูแลความสงบในถนนโลมิเมีย เป็นอีกวันที่สงบสุขของเหล่าผู้เดินตรวจตรา เสียงฮัมเพลงของพลทหารพร้อมกับสหายของเขาดังอยู่กลางถนนแห่งนี้ ก่อนที่แถวของทหารรักษาการณ์จะหยุดนิ่งลงเพราะเสียงพูดคุยและเสียงตะโกนของชาวเมือง

“ไอพวกเด็กอาณานิคมเวรนั้นอีกแล้ว! สิบตรีทำไมเราไม่ยิงเด็กพวกนั้นกัน พวกมันพยายามปลุกปั่นพวกชั้นตํ่านำครับ!?” พลทหารที่อยู่หน้าสุดกล่าวกับหัวหน้าของเขา ก่อนจะมีพลทหารหน้าใหม่ที่พูดสนับสนุนพร้อมยิ้มเหี้ยมเกรียม

“ใช่! ให้พวกเด็กมันได้ลิ้มรสดินปืนจากเจ้าที่แท้จริงของพวกมัน”

หัวหน้าได้แต่ส่ายหน้ากับทหารที่ถูกฝึกมาอย่างดีกลับกลายมาเป็นพวกที่มีนิสัยที่โหดร้ายกับชาวอาณานิคมแทน

เหล่าทหารรักษาการณ์ ต่างพากันเดินทางตามเสียงเพื่อหยุดวัยหนุ่มอาณานิคมที่กำลังประกาศบางอย่างอยู่กลางถนนโดยมีคนจำนวนมากมองและฟังอยู่ พวกเขาจับอาวุธของตนหากเกิดเรื่องไม่คาดฝันเพื่อตอบโต้ และระวังภัยต่อกลุ่มผู้ไม่หวังดี โดยเฉพาะเหตุการณ์ เผาตึกราชการลีโอเนียในหลายเดือนที่แล้ว

ถนนโลมิเมีย เป็นถนนที่กว้างโดยมีจัตุรัสกลางที่ใช้สำหรับประกาศข่าวต่างๆบนอาณานิคมในเมืองบอสตัน ฝูงคนจำนวนมากใช้ถนนเส้นทางแห่งนี้ และตอนนี้พวกเขาก็กำลังฟังคำพูดของกลุ่มวัยรุ่นกำลังกล่าวปราศรัยอยู่ ทุกคำพูดของชายหนุ่มเป็นสิ่งที่เรียกให้ชาวอาณานิคมต่างพากันยืนฟัง

“ การเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้น! พวกเราจะชนะความอดยากด้วยมือของพวกเราเอง! 

ดูสิ่งที่พวกเขาพรากไปจากเรา ดูสิ่งที่เราสูญเสียไป พวกท่านยังคงหลงเชื่อคำพูดของพวกเขาอยู่อีกหรือ! 

ความโกลาหลและการนองเลือดอันไร้ค่า จนตอนนี้ก็ยังหลอกหลอนพวกเราอยู่ทุกคืน…

พวกท่านเข้าใจหรือไม่!? 

เราต้องสร้างอนาคตด้วยตัวเอง! วิธีนี้เป็นวิธีเดียวที่เราจะลุกขึ้นมาได้!

เสียงฝูงชนโห่ร้อง พร้อมกับเสียงตบมือ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ชาวเมืองบอสตันกำลังจะถูกความกลัวเข้าจู่โจม

เหล่าทหารลีโอเนียคนหนึ่งหยิบยกปืนคาบศิลาขึ้นมา พร้อมกับใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก เขาเล็งอยู่สักพัก ก่อนจะยิงไปยังผู้ยืนปราศรัยอยู่ หัวหน้าของเขาพยายามจะจับปืนของพลทหารที่เล็งไปยังกลุ่มฝูงชน แต่ดูเหมือนว่าจะส่ายไปเสียแล้ว

ปัง! เสียงปืนคำรามดังเหมือนฟ้าร้องที่คุ้นหู ชาวอาณานิคมบนถนนโลมิเมียแตกตื่น พร้อมกับเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่เห็น วัยรุ่นที่โดนยิงนอนจมกองเลือดอยู่ พวกเขาพากันวิ่งหนีออกจากพื้นที่โดยไม่สนอะไร ไม่สนแม้แต่คนที่ถูกยิง ฝูงชนที่แตกตื่นพากันวิ่งหนีด้วยความกลัว ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะของทหารลีโอเนียที่ยิงปืน

“ใครให้แกยิงชาวเมืองกัน!?” เสียงตะโกนของหัวหน้ากลุ่มทหารกล่าวด่าพลทหารที่จู่ๆก็ไร้วินัยขึ้นมา

“แต่ท่านครับ พวกมันคิดจะก่อการจลาจลนะครับ” การการชุมนุมในที่สาธารณะ คือการปลุกปั่น และโทษของมมันก็ร้ายแรง พวกเขาใช้กฎแบบนี้มาตั้งแต่การก่อการร้ายที่บอสตัน

“ไปดูอาการเด็กคนที่แกยิงเดียวนี้เลย ไอ้บ้าเอ๊ย”

ขณะที่พวกเขากำลังเถียงกันอยู่ ชาวเมืองที่หนีจากเสียงปืนในตอนแรก กลับรวมตัวกันมากขึ้น มากขึ้นกว่าเดิม มากจนเรียกว่าเป็นการประท้วงขนาดใหญ่ ชาวเมืองมากกว่าร้อยคน และกำลังเพิ่มขึ้นเหมือนนํ้าที่ไหล ถนนที่ว่างเปล่ากลายเป็นถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน

ถอยไป! ถอยไป! ถ้าพวกแกไม่ยอมตามคำสั่งพวกเรา ทางเราจะยิงพวกแกทันที! เราขอเตือนอีกครั้ง! ถอยไป! ถอยไป-” สิบตรีผู้นำกลุ่มทหารตะโกนด้วยนํ้าเสียงที่เริ่มวิตกกังวล อาวุธปืนยังคงเล็งไปยังฝูงชน เขาสั่งให้พลทหารของตนไปรายงานและขอกำลังเสริมด่วน

“พวกเจ้าสิออกไป! เรียกพวกข้าว่าไร้อารยะ แต่เป็นพวกเจ้าที่ลงมือกับชาวเมืองเหมือนกับคนป่าเถื่อน! พวกข้าต้องการความยุติธรรม!  ” ชายในเครื่องแบบพ่อค้าสีดำของสมาพันธ์การค้าตะโกนในกลุ่มฝูงชน

น่าแปลกที่คนพูดกล่าวคนนั้นหาใช่ชาวเมืองผู้ยากไร้ไม่ ผู้ที่กล่าวตะโกนใส่ทหารเป็นพ่อค้าที่อาศัยอยู่ในบอสตันมานาน เขาไม่สามารถทำกำไรอะไรได้เลย จนตอนนี้เขาเกือบจะล้มละลาย ด้วยความโกรธแค้นเขาจึงเลือกมาช่วยชาวเมืองแทน

การรวมตัวแบบผสมกันระหว่างชนชั้นล่างสุดของอาณานิคม และชนชั้นกลางของพ่อค้าสมาพันธ์การค้า ทำให้ทหารลีโอเนียยังไม่กล้าที่จะลงมือทันที

ชาวอาณานิคมอาริกาเซียชุมนุมประท้วงร้องเรียกให้ทหารลีโอเนียออกไปจากเมือง การชุมนุมในครั้งนี้มีคนจำนวนมากหลายชนชั้น ทหารลีโอเนียปฏิบัติหน้าที่เข้าควบคุมฝูงชนในถนนโลมิเมียด้วยความรวดเร็ว จำนวนคนในถนนมีมากมาย

เหล่าทหารลีโอเนียที่เข้ามาดูแลถนนโลมิเมีย จำนวน 1 หมวด 44 คน ตั้งแถวเตรียมความพร้อมยิงเสมอ พวกเขายังคงพยายามสั่งให้ชาวเมืองบอสตันหยุดการรวมตัวแล้วกลับไปงานหรือกลับบ้านไป แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครออกจากพื้นที่ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครคาดคิดว่า การสลายการชุมนุมด้วยกระสุนปืนเมื่อทุกวันที่เคยใช้ได้ผล กลับไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เสียงปืนจากชุดแถวยิงแรกดังสนั่น สังหารชาวเมืองตายทันที 10 กว่าคน และบาดเจ็บจำนวนมาก ด้วยความพวกเขาอยู่ใกล้ระยะยิงทำให้ ชาวอาณานิคมนั้นโดนลูกปืนเข้าไปเต็มๆ

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังไปทั่วเมือง สร้างความกลัวให้หลายคน หากแต่… ตอนนี้ความกลัวถูกเปลี่ยนไปเป็นความโกรธ ไม่รอช้าเหล่าชายฉกรรจ์ที่ไม่ได้ถูกยิงก็พุ่งไปหาแถวทหารลีโอเนียด้วยความไม่กลัวตาย

แน่นอนว่ามีคนเปิด ก็ต้องมีคนตาม ฝูงชนทั้งหลายเข้าโจมตีทหารลีโอเนียด้วยความเกรี้ยวกราด ทั้งชกต่อย ทั้งใช้อาวุธใกล้ตัว ทั้งสองฝั่งเข้าปะทะกันอย่างชุลมุน คลื่นมนุษย์เข้าซัดหมวดของลีโอเนีย สังหารทหารที่กล้ายิงพวกเขา ขโมยปืนของทหารที่อยู่ในถนน และจับพวกเขามาเป็นตัวประกัน

ความวุ่นวายได้สร้างโอกาสให้กลุ่มคนบางกลุ่มได้ออกมาจากความเงามืด กองกำลังแบ่งแยกเข้าโจมตี ค่ายทหารแบบสายฟ้าแลบ ปล้นคลังอาวุธ ก่อนจะหนีหายไปในป่าอีกครั้ง ไฟที่กำลังไหม้เมืองบอสตัน ทหารลีโอเนียพยายามทุกอย่างเพื่อควบคุม แต่ดูเหมือนว่าอาริกาเซียจะไม่ต้องการปลอกคออีกแล้ว

อาณานิคมกลับสู่ความวุ่นวายครั้งยิ่งใหญ่อีกรอบ การสังหารและการต่อสู้ได้เกินขึ้นในเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใหม่ การเริ่มต้นของยุคใหม่ และ จุดจบของยุคเก่า กำลังจะใกล้มาถึงแล้วอย่างช้าๆ เหตุการณ์ในเมืองบอสตันทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ โลกกำลังก้าวไปข้างหน้า

 ไฟแห่งเสรีภาพได้ถูกจุดขึ้นบนโลกใหม่ และ มันกำลังจะโหมไหม้เหมือนไฟป่าที่บ้าคลั่ง!

(End Act:1 Birth of Democracy)


0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด