ตอนที่แล้ว(ฟรี) บทที่ 30 เริ่มฝึกซ้อม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 32 แผนพัฒนา

บทที่ 31 มันอาจจะพังลงมาเลยก็ได้


ปกติแล้ว การดันพื้นมักจะทำเป็นเซ็ตละ 20 30 40 หรือ 50 ครั้งตามวิธีการฝึก และหลังจากทำเสร็จหนึ่งเซ็ตก็จะพักหายใจและค่อยไปเซ็ตต่อไป แต่หลัวจี๋สั่งให้นักรบทั้ง 18 คนนี้เรียนรู้ข้อผิดพลาดของวันนี้และไม่ให้เวลาพักหายใจพวกเขา

เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายของยุคสมัยนี้ คนที่จะมาเป็นนักรบได้นั้นต้องมีร่างกายที่แข็งแรง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ทนการซ้อมหนักแบบนี้ไม่ค่อยไหว และนั่นทำให้โจวเยว่ที่ยังสับสนพบกับปัญหา…

“โจวเยว่! นายทำผิดท่าแล้ว นั่นไม่นับ! ทุกคนทำเพิ่มอีกสิบครั้ง!”

“โจวเยว่! ฉันนับร้อยสามสิบเจ็ดแล้วแต่ทำไมไม่ขยับตัว!? ทุกคนรอนายอยู่คนเดียว จ้าวผานยังไหวอยู่เลย อย่าบอกนะว่านายหมดแรงแล้ว!?”

คิ้วโจวเยว่กระตุกเมื่อได้ยินดังนั้น เขากัดฟันและรักษาท่าทางเดิมและพยายามจะดันขึ้นมาอีกรอบ และพอเขาทำเสร็จ หลัวจี๋ก็เริ่มนับต่อในทันที “ร้อยสามสิบแปด!”

แขนทั้งเมื่อยและปวด ร่างกายก็หนักอึ้ง ท่ามกลางลมเย็นและหิมะเช่นนี้ ทั้งสิบแปดคนกลับเหงื่อโชกไปจากการดันพื้น และในขณะเดียวกัน การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ผิดท่าทางกันไป และจากสองร้อยทีในตอนแรกก็กลายมาเป็นสองร้อยห้าสิบห้าไปในที่สุด

และนั่นทำให้หลายคนต้องมองจ้าวผานใหม่ จากที่หลัวจี๋พูดเมื่อก่อนหน้า พวกเขารับรู้ได้ว่าการเคลื่อนไหวของจ้าวผานนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่ผิดพลาดแม้แต่น้อย นั่นทำให้พวกเขารู้สึกทึ่ง

ในขณะเดียวกัน ระหว่างการดันพื้นกว่าสองร้อยครั้งติดต่อกันนี้นั้น ทุกคนถูกหลัวจี๋ตะโกนต่อว่าเรื่องทำผิดท่าทาง ยกเว้นเพียงแต่คนเดียว นั่นก็คือจ้าวผาน! หมอนี่ทำไม่พลาดเลยซักครั้งอย่างนั้นหรือ หมอนี่ทำได้ยังไงกัน

และสิ่งนี้มีเพียงแต่หลัวจี๋เท่านั้นที่รู้ จ้าวผานคนนี้แม้จะมีค่าความกล้าหาญเพียงสองดาว แต่ค่าความอดทนและจิตวิญญาณของเขานั้นอยู่ที่สามดาวแล้ว และมีขีดจำกัดอยู่ที่สี่ดาวด้วย! เมื่อรวมกับอุปนิสัยของเขาแล้ว โอกาสที่เขาจะทำพลาดนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

“ต่อไป เรียงแถววิ่งรอบทะเลสาบหมิงจิ่งสิบรอบ! ถ้าพรุ่งนี้ไม่อยากดันพื้นให้ปวดแขนอีกก็ออกกำลังกายตอนวิ่งให้มากกว่านี้! การฝึกหลังจากนี้ฉันจะให้จ้าวผานกับหลัวหย่งเป็นคนคอยดูแล!”

ผู้นำอย่างเขาเองก็มีงานยุ่ง สำหรับการฝึกครั้งต่อไปเขาไม่คิดจะมาคอยดูแลต่อ เขาแค่มาจัดการเบื้องต้นให้พวกนี้ทนเหนื่อยไปจะได้จำฝังใจ และหลังจากนี้ยังมีอีกหลายสิ่งในเผ่าที่รอผู้นำอย่างเขาไปดูแล อย่างการสร้างกำแพงล้อมเผ่าหมิงจิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ

ในยุคสมัยนี้ มีแค่ขวานหินเท่านั้นที่จะตัดไม้ได้ และการจะตัดให้ได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นแล้วเพื่อความปลอดภัย หลัวจี๋จึงออกแบบก่อน หากไม่ออกแบบก่อนมันอาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้

จากที่เขาคิดเอาไว้ในตอนแรก การปักไม้ไว้รอบๆ เผ่านั้นก็คงจะมีเพียงพอ แต่ว่าสิ่งสำคัญมันอยู่ที่ทางเข้า! ในฐานะสิ่งที่ต้องทนการบุกของศัตรูแล้ว จะปล่อยให้ประตูหน้าเปิดอ้าไม่ได้ใช่ไหมล่ะ? ไม่อย่างนั้นแล้ว ศัตรูก็จะสามารถรุดเข้ามาได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าปิดตายไปแล้วจะออกไปข้างนอกยังไง?

วิธีแก้ปัญหาง่ายๆอย่างนี้ก็คือประตู แต่ว่าด้วยเทคโนโลยีของสมัยโบราณเช่นนี้แล้ว มันจะไปทำได้ยังไง? หลัวจี๋ได้แต่กุมหัวคิดไม่ตก…

เป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริงๆ ที่ประตูโง่ๆ ที่เขาเห็นอยู่ทั่วทุกที่พอต้องมาทำเองทำไมกลับน่าปวดหัวขนาดนี้?

ไม่ใช่แค่ว่าจะหาไม้สี่เหลี่ยมมาแปะติดไว้เฉยๆ ก็ได้ ประเด็นคือมันต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้มันสามารถเปิดเปิดได้ อย่างไรก็ตาม ถึงหลัวจี๋จะสามารถออกแบบบานพับสำหรับเปิดปิดประตูได้ แต่ด้วยพัฒนาการของยุคนี้การจะทำอะไรอย่างนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลย

หลังจากต้องทิ้งแบบพิมพ์เขียวไปหลายฉบับ หลัวจี๋ที่ได้แต่นั่งปวดหัวอยู่ในเต็นท์ก็เริ่มรู้สึกประทับใจในคนที่สร้าง “ประตู” เป็นคนแรกขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ง่ายๆ เขาพยายามคิดถอยหลังกลับไป ก่อนจะนึกถึงประตูโบราณที่ใช้การดึงขึ้นดึงลงเพื่อเปิดได้ เป็นประตูแบบที่ต้องใช้รอกเพื่อดึง ถ้าเป็นอย่างนั้น ปัญหาเรื่องบานพับก็จะหายไป แต่ว่าดูจากน้ำหนักของประตูแล้ว เขาคงจะต้องใช้รอกเยอะอยู่

โชคยังดีที่การทำรอกนั้นไม่จำเป็นต้องละเอียดอ่อนเท่ากับบานพับ และยังทำง่ายกว่าด้วย เขาหาหนังสัตว์ผืนใหม่มาอย่างรวดเร็วและวาดรายละเอียดของรอกลงไป จากนั้นหลัวจี๋ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความยินดีราวกับจะมีน้ำตาไหลออกมาด้วยซ้ำ “ยังทีดี่เกรดวิชาฟิสิกส์ตอนม.ปลายของเราไม่ได้แย่!”

สมัยที่เขายังไปโรงเรียน เขาเคยอ่านนิยายหรือเล่นเกมที่ตัวเอกได้ไปต่างโลกแล้วกลายเป็นผู้นำหรืออะไรพวกนั้นอยู่ และในตอนนี้เขาก็กลายมาเป็นผู้นำแล้วจริงๆ กลายเป็นว่าเขายังต้องใช้ความรู้เก่าอยู่ทุกวัน ที่แย่ไปกว่านั้นคือหากเขาไม่ได้เรียนรู้มาก่อน การเสียไม้พวกนี้ไปกับการทดลองคงจะย่ำแย่มาก มันอาจจะพังลงมาเลยก็ได้?

แต่ตัวเอกในนิยายพวกนั้นกลับสามารถสร้างปืนไม่ก็เรือรบกันแบบง่ายๆ หลังจากไปต่างโลก หลัวจี๋อยากจะชูนิ้วกลางให้เอาซะมากๆ เลย ทั้งๆ ที่เป็นแค่เด็กผ่านการศึกษาภาคบังคับมาเก้าปี แต่เขาจะต้องทำยังไงถึงจะเทียบกับตัวละครพวกนั้นได้ล่ะ?

และเมื่อคำนวนปัญหาทุกๆ อย่างแล้ว หลัวจี๋ก็ใช้เวลาออกแบบประตูไปทั้งช่วงบ่าย เขาคำนวณความทนทานของเถาวัลย์เมื่อเทียบเชือก เขารู้สึกว่าเถาวัลย์สองเส้นแม้จะใช้ร่วมกับรอก ก็ยังยากจะรับน้ำหนักของประตูได้ ดังนั้นแล้วเพื่อความปลอดภัย เขาจึงคิดจะใช้เถาวัลย์สามเส้นแทน

หลังจากขีดเส้นสุดท้ายลงไป และพิจารณาอย่างถี่ถ้วน หลัวจี๋ก็ยิ้มออกมา “เสร็จแล้ว”

เขาบิดขี้เกียจหลังจากที่ต้องนั่งอยู่กับที่ตลอดทั้งบ่าย พอเขาเดินออกมาจากเต็นท์ก็พบกับจ้าวผานที่อยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้าลำบากใจ

“มีอะไรรึ?”

เมื่อได้ยินคำถามของหลัวจี๋ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จ้าวผานก็พูดออกมาอย่างช้าๆ “ท่านผู้นำ ข้ารู้สึกเป็นกังวล เพราะจากเรื่องเมื่อเช้าทำให้ทุกคนดูไม่พอใจโจวเยว่”

ริมฝีปากของหลัวจี๋เผยอขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น การประเมินของจ้าวผานทำให้เขาพึงพอใจมาก เห็นได้ว่าเขาให้ความใส่ใจในความสามัคคีกันของนักรบ ในขณะเดียวกัน หลัวจี๋เองก็เข้าใจว่ามันเป็นยังไง “นายรู้รึเปล่าว่าทำไมฉันถึงเพิ่มกฎที่บอกว่า”ทำผิดหนึ่งคนรับผิดชอบร่วมกัน? ทั้งๆ ที่มันไม่แฟร์สำหรับคนที่ไม่ได้ทำผิดเลย?”

“เพื่อความสามัคคีเหรอครับ?” จ้าวผานดูไม่ค่อยมั่นใจ

สมแล้วที่มีค่าความฉลาดและการสั่งการสูงสุดอยู่ที่สี่ดาว… เขามองไปที่จ้าวผานด้วยสายตาที่ดูประหลาดใจ จากนั้นก็พูดออกมาช้าๆ “นายพูดถูก ถ้าให้พูดตรงๆ คือเพื่อวินัยและความสามัคคี เพราะถ้าเป็นอย่างนี้แล้วทุกคนก็จะคอยจับตาดูแลกันเองเพราะไม่อยากจะโดนลงโทษ ในทางกลับกัน ไม่มีใครที่ไม่เคยทำพลาด ทุกคนก็ต้องทำพลาดกันสักครั้ง และฉันก็หวังว่าพวกเขาจะเรียนรู้ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน อดทนและช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นหนึ่งเดียว”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด