ตอนที่แล้ว(ฟรี) บทที่ 29 หน่วยพัฒนาอาวุธ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 31 มันอาจจะพังลงมาเลยก็ได้

(ฟรี) บทที่ 30 เริ่มฝึกซ้อม


เขาฮัมเพลงที่เขาจำชื่อไม่ได้อยู่เบาๆในลำคอ หลัวจี๋กำลังเดินตรวจสอบดูสภาพการทำงานของคนข้างในเผ่า เขากำลังอารมณ์์ดี เผ่านี้พัฒนาขึ้นจากไม่มีอะไรเลยสักอย่างจนมาเข้าที่เข้าทางได้ ทุกอย่างดูเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างที่เขาต้องการสำหรับการฟาร์มอย่างมั่นคง (ฟาร์ม: การเพิ่มความแข็งแกร่งหรือหาของตุนทรัพยากรต่างๆเรื่อยๆ เช่น ฟาร์มของ ฟาร์มเลเวล เป็นต้น)

เขาเดินไปที่ทะเลสาบเพื่อตรวจสอบการทำงานของทีมประมง ตอนนี้ทะเลสาบแทบทั้งหมดมีรูน้ำแข็งประปรายไปทั่วแล้ว เขาคาดว่าหากเปิดรูน้ำแข็งใหม่ขึ้นมาอีก หน้าทะเลสาบทั้งผืนอาจจะถล่มลงได้

หรือก็คือการประมงตอนนี้มาถึงขีดจำกัดแล้ว หากจะพัฒนาต่อก็ต้องเป็นการพัฒนาเครื่องมือ แต่ว่าในยุคโบราณเช่นนี้ก็ไม่สามารถสร้างอะไรได้สักอย่าง ดังนั้นแล้วในตอนนี้หลัวจี๋จึงไม่รู้ว่าจะพัฒนาต่อไปยังไง ดังนั้นเขาจึงต้องปล่อยมันไปก่อนในตอนนี้

ในขณะเดียวกัน เมื่อเทียบกับการประมงที่กำลังอยู่ในทางตัน หลัวจี๋มีไอเดียมากมายสำหรับการพัฒนาการทหาร อย่างเช่นการสร้างค่ายทหารขึ้นเป็นต้น

ไม่จำเป็นต้องดูเป็นทางการมากก็ได้ แค่ให้มีทีฝึกฝนสำหรับนักรบก็เพียงพอแล้ว ตามความคิดของหลัวจี๋แล้ว ควรจะสร้างเอาไว้ตรงขอบๆของเผ่าหมิงจิ่งและควรสร้างให้ห่างจากแถบค่ายพอสมควร

เพราะไม่เพียงจะลดการรบกวน แต่ก็ยังใช้เป็นเขตป้องกันขั้นต้นตรงชายขอบของเผ่าได้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ตาม การจะทำให้ไอเดียนี้เป็นความจริงได้ก็ต้องใช้เวลานาน นั่นก็เพราะตรงชายขอบของเผ่านั้นเป็นป่า แม้ว่าทีมตัดไม้จะเริ่มทำงานกันอย่างเต็มกำลังแล้ว แต่การจะสร้างพื้นที่ให้ใหญ่พอจะสร้างค่ายทหารคาดว่าคงจะต้องใช้เวลาเป็นเดือน และนั่นทำให้หลัวจี๋รู้สึกว่าประชากรในเผ่ามีน้อยเกินไปขึ้นมา…

อย่างไรก็ตาม เขาเพิ่มระดับโปรเจ็คต์การฝึกทหารขึ้นเป็นระดับแรกเรียบร้อยแล้ว เพราะงั้นจะปล่อยให้เสียเปล่าไปก็คงไม่ได้ใช่ไหม? ในเช้าวันถัดมา หลัวจี๋หาโอกาสตรวจหน้าต่างสถานะของคนในเผ่าทีละคนทุกคนก่อนอาหารเช้า

คนที่มีขีดจำกัดค่าความกล้าหาญเกินสามดาวและมีค่าความภักดีเกิน 80 ยกเว้นพวกที่มีความสามารถอย่าง “นักสำรวจ” และ “นายพราน” ที่จะถูกพาเข้าหน่วยสำรวจและทีมล่าสัตว์ จะถูกเอาเข้ากองทัพนักรบ

เนื่องจากมีเรื่องค่าความภักดีและขีดจำกัดของความกล้าหาญสามดาว นั่นจึงทำให้นักรบเหล่านี้มีจำนวนน้อย หลัวจี๋นับดูแล้วได้เพียง 18 คนเท่านั้น และนั่นคือหลังจากที่เขารวมนักรบหมาป่าเจ็ดคนและตัวเขาเองเข้าไปด้วย

แต่หลัวจี๋ไม่สนใจ ตอนนี้เขาใช้วิธีคัดคนที่มีความสามารถจริงๆ หลังจากฝึกฝนนิดหน่อย คนธรรมดาที่มีค่าความกล้าหาญสองดาวก็สามารถปลดปล่อยความสามารถในการต่อสู้ออกมาได้มากเช่นกัน แต่ว่าตอนนี้เผ่ากำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา และขาดคนอยู่ทั่วทุกที่ ดังนั้นแล้วการดึงแรงงานมาใช้ในกองกำลังนักรบนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อการพัฒนาของเผ่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ในตอนนี้ก็ควรฝึกทั้ง 18 คนนี้ก่อน จากนั้นก็รอให้ประชากรในเผ่าเพิ่มขึ้นให้มากกว่านี้ ก่อนจะให้ทั้ง 18 คนนี้เป็นฐาน และค่อยๆขยายขนาดของกองทัพ นั่นเป็นแผนของหลัวจี๋

ก่อนจะสร้างค่ายทหารได้ หลัวจี๋หาพื้นที่เปิดด้านนอกเผ่าเพื่อทำให้เป็นพื้นที่ฝึกชั่วคราวไปก่อน จากนั้นก็บอกให้หลัวหย่งและจ้าวผานสอนนักรบคนอื่นๆออกกำลังกาย เช่นการดันพื้นหรือซิตอัป ส่วนตัวเขาก็ใช้เวลาทั้งคืนครุ่นคิดแผนการฝึกซ้อมดีๆขึ้นมา

เช้าวันถัดมา หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ หลัวจี๋ถือแผนการฝึกและเดินไปยังพื้นที่ฝึกชั่วคราวด้วยความตื่นเต้น

แต่เมื่อยิ่งเดินเข้าไปใกล้ หลัวจี๋ก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยและมองดูนักรบทั้ง 18 คนที่ยืนคุยกันกะจัดกระจายเป็นกลุ่ม แม้เขาจะไม่ได้เน้นเรื่องระเบียบวินัย แต่นี่ก็หละหลวมเกินไป

เมื่อเห็นหลัวจี๋เดินเข้ามา แม้ว่าเสียงจะเริ่มเบาลง แต่ก็ยังมีเสียงกระซิบกระซาบเบาๆอยู่ นั่นทำให้หลัวจี๋ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ “หุบปาก!”

เสียงคำรามต่ำที่ดังขึ้นมาทำให้พวกเขาตกใจ แม้จะไม่เข้าใจความหมายของสองพยางค์นั้น แต่พวกเขาก็เงียบปากลงโดยสัญชาติญาณ ในตอนนี้ท่านผู้นำหลัวจี๋กำลังทำสีหน้าดูน่ากลัวมากเป็นพิเศษ

“ที่นี่เป็นลานสำหรับการฝึกซ้อม ไม่ใช่พูดคุย! นี่เป็นครั้งแรกและหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย! ทราบ!?”

“ทราบครับ”

“หา? ไม่ได้กินข้าวเช้ามารึไง? ดังกว่านี้! ไม่ได้ยิน!”

“ทราบครับ!!”

สำหรับเรื่องนี้แล้วหลัวจี๋ไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะสุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นกองกำลังในสมัยโบราณ การจะให้เข้าใจเรื่องวินัยในครั้งเดียวก็คงเป็นเรื่องยาก แค่ให้พวกเขารู้ถึงปัญหานี้ก่อนคงจะดีกว่า

ในขณะเดียวกัน หลัวจี๋ก็ไม่คิดจะสร้างกฎขึ้นมามากเกินไปในช่วงเวลาสั้นๆ คนพวกนี้จำไม่ได้หมดหรอก และการจะทำความเข้าใจก็เป็นเรื่องยาก รวมไปถึงการยอมรับด้วย เพราะฉะนั้นแล้วอย่าคาดหวังเลยว่าจะเข้าในในครั้งเดียว มีหลายอย่างที่ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ดังนั้นแล้วในตอนนี้เขาจึงทำได้แค่อย่างเดียว…

“จากเมื่อกี้นี้ฉันคิดว่าฉันคงจะหวังกับพวกนายมากเกินไป เพราะงั้นแล้วตอนนี้ฉันต้องการแค่สามข้อเท่านั้น” ขณะที่กำลังพูด หลัวจี๋ก็ชูนิ้วขึ้นมาทีละนิ้ว “ข้อแรก เชื่อฟังคำสั่ง! ข้อสอง เชื่อฟังคำสั่ง! ข้อสาม เชื่อฟังคำสั่ง! ง่ายไหม!? ทำได้ไหม!?”

เมื่อได้ยินคำถามจากหลัวจี๋อีกครั้ง พวกเขาที่เรียนรู้จากก่อนหน้านี้ก็ตะโกนออกมา “ครับ! ได้ครับ!”

เมื่อได้ยินดังนั้น หลัวจี๋ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “หลัวหย่งจะเป็นคนรับผิดชอบการฝึกของนักรบหมาป่าทั้งเจ็ด ส่วนจ้าวผานดูแลที่เหลือ และนี่เป็นรายการฝึกประจำวัน…”

แต่ไม่น่าเชื่อว่าก่อนที่เขาจะพูดจบก็มีเสียงคัดค้านดังขึ้นมา “ท่านผู้นำ ทำไมจ้าวผานจึงเป็นคนรับผิดชอบล่ะครับ? และจากความแข็งแกร่งของจ้าวผานแล้ว ทำไมเขาถึงได้เป็นนักรบกันล่ะครับ?”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของจ้าวผานดูทะมึนขึ้นมา ส่วนสีหน้าของหลัวจี๋เรียบนิ่ง แน่นอนว่าเขาคาดเอาไว้อยู่แล้ว “นายชื่อ”โจวเยว่“ใช่ไหม? กฎสามข้อที่ฉันบอกไปก่อนหน้านี้ ข้อแรกคืออะไรตอบมา”

เมื่อได้ยินคำถามของหลัวจี๋ สีหน้าของโจวเยว่ดูซีดลงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาด้วยเสียงตะกุกตะกัก “เชื่อฟังคำสั่ง”

“ข้อสอง”

“ชะ เชื่อฟังคำสั่ง…”

“อะไรนะ? ติดอ่างรึไง!?”

“เชื่อฟังคำสั่ง!”

“ข้อสาม!”

"เชื่อฟังคำสั่ง!"

“ดีมาก เหมือนว่านายจะยังไม่ลืม” หลัวจี๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงในทันที “เอาล่ะ”

“ยังมีอีกข้อ ทำผิดคนนึงทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน ดันพื้น 100 ทีปฏิบัติ!”

เมื่อหลัวจี๋พูดออกมา จ้าวผานและหลัวหย่งก็ทำตามคำสั่งอย่างเชื่อฟังในทันที

พวกเขาไม่ลังเลและเริ่มทำเป็นคนแรก คนอื่นๆรีบทำตามในทันที แต่ในตอนนั้นมีอยู่คนเดียวที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ นั่นคือโจวเยว่ที่ไม่เชื่อใจจ้าวผานเมื่อกี้นี้

“มีคนนึงไม่เริ่มทำ ทุกคนเพิ่มไปอีกร้อยที!”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นสับสนงุนงง จากนั้นก็มีสายตาไม่พอใจมากมายจับจ้องมายังโจวเยว่ ใจของเขาสั่นสะท้าน ไม่มีเวลาจะมาคิดและรีบทำตามคำสั่งในทันที เขากลัวว่าหากเขายังยืนนิ่งอีก จากการดันพื้นสองร้อยทีนี้จะกลายเป็นสามร้อย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด