ตอนที่แล้วบทที่ 28 ไอ้บื้อร่างโต (ฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป(ฟรี) บทที่ 30 เริ่มฝึกซ้อม

(ฟรี) บทที่ 29 หน่วยพัฒนาอาวุธ


เช้าวันถัดมา หลังจากที่หลัวจี๋เคยสั่งงานไว้แล้วก่อนหน้า เขาจึงไม่จำเป็นต้องออกคำสั่งทุกเช้าอีก ทุกคนทำหน้าที่ของตน พวกเขาจุดไฟและเริ่มหยิบอวนขึ้้นมาเตรียม ทุกอย่างเป็นไปอย่างมีระเบียบ ทุกคนเปี่ยมไปด้วยพลังงาน นั่นทำให้สมาชิกใหม่อย่างอดีตเผ่าจิ้งจอกแดงรู้สึกราวกับหลุดเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่ง ผู้คนในเผ่านี้ใช้ชีวิตต่างจากพวกเขาแต่เดิมโดยสิ้นเชิง

หลัวจี๋ที่เดินออกมาจากเต็นท์พร้อมกับบิดขี้เกียจก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่ว่าความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์นั้นสุดยอดจริงๆ แม้จะต้องเผชิญหน้ากับลมหนาวที่หนาวขึ้นทุกๆเช้า แต่เขาก็ยังคงทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาวไว้ได้ เขาเริ่มจะเคยชินกับสภาพแวดล้อมในยุคสมัยนี้มากขึ้นเรื่อยๆแล้ว

เขาเรียกจ้าวผานและถามขึ้นมาขณะบ้วนปาก “พวกนั้นเป็นยังไงบ้าง?”

“พวกเขาดูซื่อๆครับ”

หลัวจี่พยักหน้า “เอาเป็นว่าช่วงนี้ให้นายจัดการดูแลพวกนั้นไปก่อนนะ ส่วนเรื่องงาน หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จให้นายพาพวกผู้ชายไปช่วยทีมตัดไม้ขนไม้มา ส่วนผู้หญิงกับเด็กๆก็ให้ทำความสะอาดค่ายแล้วก็ขุดหาเหยื่อ จะว่าไปแล้ว ถ้าจะให้สะดวกในการเรียกชื่อ นายช่วยอธิบายเรื่องชื่อให้พวกเขาฟังด้วยสิ”

หลัวจี๋คิดถึงงานที่จะให้คนพวกนี้ไว้อยู่แล้ว เพราะค่่าความภักดีของพวกเขายังต่ำอยู่ คงจะดีกว่าถ้าไม่ให้พวกเขาแตะอาวุธ แต่โชคยังดีที่มีอีกหลายงานที่ไม่ต้องใช้อาวุธ และทีมตัดไม้ก็กำลังขาดคนอยู่พอดี

“เข้าใจแล้วครับ” จ้าวผานพยักหน้ารับคำ

หลังอาหารเช้า สมาชิกเผ่าหมิงจิ่งเริ่มวันใหม่เช่นทุกวัน พวกเขาต่างยุ่งกับงานของตน และทำให้เหล่าสมาชิกใหม่ได้แต่ยืนอยู่เฉยๆโง่ๆไม่รู้จะทำอะไร นั่นทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจขึ้นมา

เมื่อจ้าวผานมาถึงก็เหมือนกับเป็นความโล่งใจของพวกเขา ในฐานะอดีตหัวหน้าเผ่าจิ้งจอกแดง เขารู้ดีว่าในยุคนี้คนที่มีสิทธิ์จะกินและนอนตีพุงอย่างเดียวเฝ้ารอความตาย ก็มีแต่คนใกล้ตายเท่านั้นที่จะทำได้ ดังนั้นพวกเขาต้องแสดงคุณค่าของตัวเองออกมา เมื่อเห็นจ้าวผานที่เดินเข้ามา เขาก็รีบทักทายในทันที “เจ้า…”

“ข้าชื่อจ้าวผาน เรียกชื่อข้าเถอะ”

"ชื่อ?"

"ชื่อคือ..." จ้าวผานอธิบายคอนเซปต์ของชื่อออกมาคร่าวๆ

อีกฝ่ายเองก็เรียกได้ว่าฉลาดพอสมควร ดังนั้นเขาจึงสามาถเข้าใจพื้นฐานได้อย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้นเขาก็ตั้งชื่อให้ตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นแล้วข้าจะชื่อว่า”โจวเทา””

“เชิญ” จ้าวผานพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองคนอื่นๆที่กำลังกระซิบกระซาบกันถึงเรื่อง “ชื่อ” ดังนั้นเขาจึงเร่งเสียงขึ้นมา “เอาล่ะ เรื่องชื่อนั่นพวกเจ้าค่อยกลับไปคิดทีหลังได้ หรือเจ้าจะไปขอให้เจาเหอช่วยเจ้าคิดก็ได้ ตอนนี้มากับข้า ข้าจะบอกพวกเจ้าว่าวันนี้จะต้องทำอะไร”

การเปลี่ยนไปของจ้าวผานทำให้โจวเทาประหลาดใจขึ้นมา เพราะที่เขาพึ่งจะแสดงให้เห็นเมื่อครู่นั้นมันต่างจากที่เขาเคยคิดเอาไว้เมื่อก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ไม่คิดอะไรมากและพาคนอื่นๆตามจ้าวผานไปอย่างว่าง่าย

ขณะที่เดินผ่านค่าย จ้าวผานก็หยุดและชี้ไปที่พวกผู้หญิงที่ทำงานอยู่ข้างๆ “เด็กๆกับผู้หญิงให้มาอยู่นี่ เดี๋ยวพวกเขาจะบอกเองว่าให้พวกเจ้าทำอะไร พวกผู้ชายตามข้ามา”

จ้าวผานอยากจะกลับไปฝึกซ้อมให้ไว จึงไม่ได้เอ้อระเหยและเดินพาโจวเทาและคนอื่นๆผ่านค่ายและเข้าไปในป่าข้างนอกเผ่า

เมื่อเห็นดังนี้ ทุกคนรวมไปถึงโจวเทาแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย พวกเขาคาดเดาว่าจะได้ทำอะไรต่อไป พวกเขาเดินออกมาจากค่ายกันแล้ว พวกเขาคงจะไม่ได้ไปล่าสัตว์แน่ๆใช่ไหม? พวกเขาไม่มีอาวุธเลยด้วยซ้ำ และเมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ทุกคนต่างรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงทุบดังมาแต่ไกล หลังจากเดินเข้าไปอีกพักหนึ่ง พวกเขาก็เห็นว่าในป่านั้นมีสมาชิกของเผ่าหมิงจิ่งจำนวนมากที่กำลังถือขวานหินและตัดต้นไม้อยู่ตรงหน้

“นี่คือทีมตัดไม้” เสียงของจ้าวผานดังขึ้นพร้อมกับต้นไม้ที่โค่นลงมา จ้าวผานเดินไปที่ต้นไม้และอธิบายพร้อมยกตัวอย่างให้คนอื่นๆดู “สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำมีอยู่อย่างเดียวนั่นก็คือลากไม้พวกนี้ไปที่ที่หนึ่งข้างนอกค่าย แล้วก็หักกิ่งก้านของต้นไม้พวกนี้ไปด้วย กิ่งก้านพวกนี้เอาไว้ใช้ทำฟืน ส่วนขอนไม้เอาไว้ใช้ประโยชน์อย่างอื่น ถ้าหากว่ามีปัญหาอะไรก็ถามทีมตัดไม้ได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้ามีงานที่ต้องทำอยู่ ขอตัวก่อนล่ะ”

เมื่อมองไปที่จ้าวผานที่กำลังจะเดินจากไปหลังพูดจบ โจวเถาก็ทำหน้างุนงงและยกมือไปรั้งเขาไว้โดยอัตโนมัติ “เจ้าจะไปเลยรึ?”

“ข้าอธิบายทุกอย่างให้ฟังแล้วไม่ใช่รึไง?”

“เจ้าไม่กลัวพวกข้าจะหนีไปรึ?” เมื่อเห็นจ้าวผานที่ทำหน้าเฉยๆ โจวเทาก็รู้สึกมวนท้องขึ้นมา

“แล้วเจ้าจะหนีทำไมล่ะ?”

เมื่อได้ยินจ้าวผานที่ถามกลับมา โจวเทาที่กำลังจะพูดตอบกลับพบว่าตนพูดอะไรไม่ออกสักคำ…

“เผ่าของเราปลอดภัยและมีอาหาร แล้วเจ้าจะหนีทำไมล่ะ?”

แค่ประโยคเดียวแต่แทงลึกเข้าไปในใจ ใช่แล้ว ทำไมถึงคิดจะหนีล่ะ? ที่นี่ทั้งปลอดภัยและมีอาหาร ตราบใดที่ทำงานก็จะมีที่นอนและมีอาหารกิน การที่ต้องระหกระเหินร่อนเร่ไม่มีอาหารกินเช่นเมืื่อวานก็จะไม่มีอีกแล้ว ทำไมจะต้องหนีด้วยล่ะ? มันอาจฟังดูเหมือนคำถามโง่ๆ แต่ทุกคนรวมไปถึงโจวเทาต่างนิ่งไปพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เมื่อเห็นดังนั้น จ้าวผานก็รู้ว่างานของเขาใกล้จะสำเร็จแล้ว ที่เหลือก็แค่รายงานให้ท่านผู้นำและบอกให้คนในทีมตัดไม้ช่วยดูแลให้นิดหน่อย จากนั้นเขาก็จะได้ไปทำอะไรที่เขาต้องการได้

ในขณะเดียวกัน หลัวจี๋ที่กำลังนั่งผิงไฟอยู่ก็ยุ่งอยู่กับการคัดคนในเผ่า เขาคิดจะสร้างหน่วยที่จะรับผิดชอบการลับอาวุธและทำอุปกรณ์โดยเฉพาะ

ตอนแรกนั้นหน้าที่ทั้งสองอย่างนี้เป็นของนักรบในเผ่า แต่ว่าเรื่องของจ้าวผานเมื่อก่อนหน้าก็เหมือนกับเป็นการตบหน้าเขาให้ตื่น อาชีพต้องทำให้มันเฉพาะตัว อย่าทำให้สกิลทรีมีสกิลอะไรเยอะแยะรกไปหมด! เขาไม่ต้องการให้นักรบของเขาเรียนรู้ทักษะลับอาวุธหรือสร้างอาวุธขึ้นมา เพราะถึงมันจะมีประโยชน์แต่ในเมื่อพวกเขาคือนักรบ ให้เน้นไปที่การต่อสู้และทำสงครามจะดีกว่า!

ดังนั้นแล้ว เขาจึงต้องสร้างหน่วยนี้ขึ้นมาให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาาม สมาชิกเองก็สำคัญ อย่างแรกคือค่าความภักดีต้องสูง 85 คะแนนก็คงจะได้มั้ง? และการลับอาวุธเองก็ต้องใช้ทั้งความอดทนและเอาใจใส่ ดังนั้นต้องเป็นคนที่มีขีดจำกัดค่าความอดทนและจิตวิญญาณสูง

หลัวจี๋คัดเลือกคนโดยใช้มาตรฐานเช่นนี้ เขาเดินไปทั่ว และในที่สุดก็เลือกมาได้ห้าคนและตั้งหน่วยพัฒนาอาวุธหน่วยแรกขึ้นมาสำหรับยุคนี้

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด