ตอนที่แล้วย้อนเวลากลับสู่วันโลกาวินาศ ตอนที่ 7  เห็นกรจักรเป็นดอกบัว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปย้อนเวลากลับสู่วันโลกาวินาศ ตอนที่ 9 อำนาจและความน่ากลัวของตระกูลหลิน

ย้อนเวลากลับสู่วันโลกาวินาศ ตอนที่ 8 ไม่เห็นหัว


ตอนที่ 8 ไม่เห็นหัว

หลินฟานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ขณะมองไปที่ประตูไม้ด้านหน้าที่โดนหลี่หมิงเตะจนกระเด็นออกไปหลายเมตร จากนั้นหลินฟานก็หันไปหาหลี่หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วก็พูดชมว่า

“ทำได้ดีมาก”

“ครับ…”

หลี่หมิงตอบรับด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน

หากเลือกได้หลี่หมิงก็ไม่อยากทำอะไรแบบนี้เพราะการพังประตูครั้งนี้มันอาจจะสร้างปัญหาใหญ่ได้เลย หากประตูที่กระเด็นออกไปไปทำให้คนสำคัญในตระกูลข้ารับใช้บาดเจ็บเข้า แต่เมื่อมันเป็นคำสั่งของหลินฟาน หลี่หมิงจึงไม่มีทางเลือก

ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ หลินฟานได้เดินมาถึงที่หน้าประตูด้วยใบหน้าจริงจังเพราะอยากกำจัดพวกเนื้อเน่าที่เป็นภัยร้ายต่อตัวเอง แต่เมื่อเขามาถึงที่หน้าประตู เขาก็ได้ยินเสียงผู้คนด้านในคุยกันอย่างสนุกสนามราวกับว่ากำลังมางานเลี้ยงสังสรรค์

มีทั้งคุยเรื่องธุรกิจ มีทั้งคุยเรื่องโอ้อวดตัวเอง และบางคนก็กำลังจีบกัน

หลินฟานเรียกมาประชุมครั้งนี้เขาไม่ได้เรียกพวกตระกูลข้ารับใช้มาคุยเรื่องไร้สาระพวกนี้ เขาไม่ได้เรียกมาเพื่อให้คุยธุรกิจ เขาไม่ได้เรียกมาเพื่อให้โอ้อวดตัวเอง แต่หลินฟานเรียกประชุมครั้งนี้ก็เพื่อคุยเรื่องอนาคตของตระกูลหลิน คุยเรื่องอนาคตของมวลมนุษย์

หลินฟานเลยจำเป็นต้องการทำให้บรรยากาศเป็นแบบที่มันควรจะเป็นตั้งแต่แรก เพราะแบบนั้นหลินฟานเลยเลือกการดึงความสนใจโดยการทำลายประตูอย่างที่เห็น

และสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าหลินฟานเลือกถูก หลังจากประตูโดนเปิดออกด้วยวิธีรุนแรงนิดหน่อย ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงต่างก็เงียบลงแล้วจ้องมาไปทางหลินฟานเป็นตาเดียวกัน

บรรยากาศผ่อนคลายเมื่อครู่หายไปจนหมด บรรยากาศตอนนี้เริ่มตกสู่ความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ ภายในห้องโถงตกสู่ความเงียบสงัดและด้วยความเงียบสงัดที่เกิดขึ้นมันจึงไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

หลินฟานเริ่มออกเดิน เขาเดินเข้าห้องโถงโดยไม่พูดอะไรและไม่สนใจสายตาหลายร้อยคู่ที่กำลังจ้องมองตัวเองอยู่

หลินฟานเดินผ่านฝูงชนด้วยใบหน้าเย็นชา ตอนนี้หลายคนที่ไหวพริบดีเริ่มรู้สึกบ้างแล้วว่าตอนนี้หลินฟานมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะพวกทหารที่เคยผ่านสนามรบมาก่อน ทหารเหล่านั้นต่างก็รู้สึกถึงอันตรายที่แพร่ออกมาจากร่างกายของหลินฟาน

เมื่อหลินฟานเดินถึงจุดที่พวกผู้นำตระกูลนั่งอยู่ พวกผู้นำตระกูลทั้ง 4 ต่างก็ลุกขึ้นพร้อมกันเพื่อแสดงความเคารพต่อเขา แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นหลินฟานก็ยังไม่ได้ให้ความสนใจต่อผู้นำตระกูลทั้ง 4 เขายังคงเดินตรงต่อไปเรื่อยๆ

ไม่กี่วินาทีต่อมาหลินฟานก็ยืนอยู่ด้านหน้าของห้องโถง จากนั้นเขาก็หันไปทางหลี่หมิงที่กำลังเดินตามมาจากทางด้านหลัง

หลินฟานออกคำสั่งว่า

“ไปเอาเก้าอี้มา”

“ครับ”

หลี่หมิงทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาไม่นานเก้าอี้หรูขนาดใหญ่ตัวหนึ่งก็โดนยกมาที่หน้าห้องโถง

หลินฟานนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยท่าไขว่ห้าง จากนั้นหลินฟานก็เอาแขนขวาวางลงตรงที่พักแขนของเก้าอี้แล้วเอามือมาสัมผัสกับส่วนหัวของตัวเอง พร้อมกันนั้นเขาก็หลับตาทั้งสองข้างลงไป

สิ่งนี้ทำให้ภายในห้องโถงสงสัยมากขึ้นไปอีก แต่ถึงจะสงสัยพวกเขาก็ยังไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา แม้กระทั่งผู้นำตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 4 พวกเขาก็ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคน และพวกเขาก็ยังไม่มีใครนั่งลงด้วย

ตามกฎของตระกูลหลิน เมื่ออยู่ภายในห้องประชุมหากผู้นำตระกูลหลินไม่สั่งให้ใครนั่ง ก็จะไม่มีใครได้นั่ง หากผู้นำตระกูลหลินไม่สั่งให้ใครพูด ก็จะไม่มีใครได้พูด ทุกคนล้วนเข้าใจกฎข้อนี้ดี

1 นาที!

3 นาที!

5 นาที!

ความเงียบสงัดยังคงปกคลุมไปทั่วห้องโถงถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมา 5 นาที แล้วก็ตาม ตอนนี้มีหลายคนเริ่มพยักหน้าให้กันไปมาเพื่อสงสัญญาณให้คนอื่นๆ เริ่มเคลื่อนไหวกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครที่กล้าเป็นหน่วยการตายทำลายความเงียบ

ทุกสายตาต่างก็มองไปทางผู้นำตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 4 ทุกคนต่างก็หวังให้พวกผู้นำตระกูลเริ่มเคลื่อนไหว แต่ทุกคนก็ต้องผิดหวังเพราะพวกผู้นำตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 4 พวกเขาต่างก็ยืนนิ่งสงบ พวกเขาสงบมากกว่าหลินฟานที่นั่งอยู่ซะอีก

เมื่อรู้ว่าเวลาผ่านไปได้สักพัก หลินฟานก็ขยับเปลือกตาทั้งสองของเขาขึ้น จากนั้นเขาก็กวาดสายตามองผู้คนที่อยู่ในห้องโถง ทันใดนั้น หลินฟานก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น

หลินฟานพูดขึ้นว่า

“ผู้นำตระกูลโอหยาง”

“ครับ!”

โอหยางห่าวตอบรับคำเรียก

หลินฟานพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจต่อทันทีว่า

“ช่วยบอกผมได้ไหมว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พื้นที่ตระกูลหลินเป็นพื้นที่ที่ใครก็สามารถเข้ามาได้ ไม่ใช่ว่าพวกที่เข้ามาได้ต้องเป็นคนของตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 10 หรือไม่คนคนนั้นก็ต้องได้รับอนุญาตจากผมก่อนงั้นเหรอ…”

“คุณหลินเข้าใจถูกต้องแล้วครับ พวกที่เข้า-”

“แล้วสถานการณ์ตอนนี้มันอะไร! ทำไมถึงได้มีคนอื่นที่ไม่ใช่คนของตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 10 มาปรากฏตัวต่อหน้าของผมแบบนี้!!”

ก่อนที่โอหยางห่าวจะได้ตอบคำถาม หลินฟานก็เค้นเสียงตะคอกด้วยน้ำเสียงไม่พอใจออกมาก่อน

โอหยางห่าวเริ่มหันหน้ามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่ามีคนที่ไม่ใช่พวกคนตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 10 อยู่จริงๆ เขาก็เริ่มแสดงใบหน้าไม่พอใจออกมาเช่นกัน

เมื่อครู่โอหยางห่าวไม่สนใจรอบตัวเท่าไหร่นักเพราะต้องคิดเรื่องตระกูลทรยศ หากเขารู้ก่อนหน้านี้เขาก็คงสั่งให้ไล่พวกที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปนานแล้ว

ส่วนพวกที่ไม่ใช่สมาชิกของตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 10 แต่เสนอหน้ามางานประชุมแห่งนี้ คนพวกนี้ก็ไม่ใช่กลุ่มคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาเหล่านี้บ้างก็เป็นนักธุรกิจ บ้างก็เป็นดารา บ้างก็เป็นคนมีหน้ามีตาทางสังคม

ส่วนเหตุผลที่คนเหล่านี้เข้ามาได้ก็เป็นเพราะติดสร้อยหอยตามพวกคนจากตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 10 เข้ามา เพราะแบบนั้นพวกบอดี้การ์ดเลยปล่อยพวกเขาเข้ามาในห้องโถงประชุม

ส่วนเหตุผลที่คนพวกนี้เข้ามานะเหรอ เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้ว ตระกูลหลินเรียกประชุมทั้งทีก็แปลว่าต้องมีคนสำคัญในฝ่ายงานต่างๆ มากมายเข้าร่วมงานประชุม แถมยังมีคนจากตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 10 จำนวนมากมาร่วมงานอีก งานแบบนี้มันเป็นงานที่เหมาะสมกับการสร้างเส้นสายอย่างมาก พวกคนที่ทำธุรกิจ พวกดารา คนพวกนี้ต่างก็อยากเข้ารวมจนตัวสั่น

ขณะเดียวกัน พวกสมาชิกของตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 10 ที่พาคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในงาน พวกเขาต่างก็รู้สึกเย็นวาบที่สันหลังของพวกเขา พวกเขาคิดว่าการประชุมครั้งนี้คงไม่มีอะไรสำคัญหรือเป็นเพียงการประชุมเพื่อคุยเรื่องอะไรเล็กๆ น้อยๆ พวกเขาเลยตกลงพาพวกที่ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 10 เข้ารวมงานประชุมด้วย

พวกเขาไม่คิดเลยว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ พวกเขาไม่คิดเลยว่าหลินฟานผู้ที่เป็นเหมือนกับขยะไม่สนใจทำงานหรือบริหารงานในตระกูล อยู่ๆ จะกลายเป็นคนจริงจังและกลายเป็นคนน่ากลัวแบบนี้ไปได้

“ไสหัวออกไปให้หมด!!!”

โอหยางห่าวตะโกนสุดเสียงไปยังผู้คนภายในงาน

พวกผู้คนที่ไม่ใช่สมาชิกของตระกูลข้ารับใช้ต่างก็ทำตามอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างเดินตรงไปทางยังประตูทางออก พวกเขาได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลหลินคนปัจจุบันเป็นคนไม่ได้เรื่อง เป็นคนไม่ทันคน เป็นคนที่ไม่มีออร่าของการเป็นผู้นำ

แต่เมื่อมาเจอกับตาของตัวเอง พวกเขาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองได้ยินมาผิดแค่พังประตูเข้างานและบรรยากาศที่เขากำลังปล่อยออกมา ต่อให้เป็นคนที่โง่ที่สุดในห้องโถงแห่งนี้ คนคนนั้นก็สามารถเข้าใจได้ว่าหลินฟานเป็นคนที่น่ากลัวขนาดไหน

อีกอย่าง ถึงพวกเขาจะเป็นนักธุรกิจ ถึงพวกเขาจะเป็นดาราดัง แต่หากพวกเขาอยู่ในหลินหนานและโดนตระกูลหลินฆ่าตาย ต่อให้เป็นคนที่รวยหรือดังขนาดไหนข่าวเรื่องการตายของพวกเขาก็จะเงียบหายไปง่ายๆ รู้แบบนี้แล้วใครมันจะไปอยากอยู่อีก

เมื่อโดนไล่ออกจากห้องโดยโอหยางห่าว พวกเขาจึงไม่รอช้า ทว่า ก่อนที่พวกตัวเสือกจะออกจากห้องไป เสียงไม่พอใจของหลินฟานก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ หยุด!

“ พวกคุณคิดว่าตระกูลหลินของผมเป็นสวนสาธารณะหรือไงที่อยากจะเข้าก็เข้า อยากจะออกก็ออก นี่พวกคุณ… ไม่สิ! พวกแกไม่เห็นหัวของตระกูลหลินอยู่ในสายตาของพวกแกเลยหรือไง

“วันนี้จะไม่มีใครได้ออกไปไหนทั้งนั้น หากไม่ได้รับการอนุญาตจากฉันคนนี้”

หลินฟานเว้นช่วงสักพัก จากนั้นเขาก็หันไปทางหลี่หมิงที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วก็ออกคำสั่งว่า

“ใครที่มันไม่มีสายเลือดของตระกูลข้ารับใช้ทั้ง 10 ไปเอาตัวพวกมันมาคุกเข่าต่อหน้าของฉันให้หมด ไม่ต้องสนใจชื่อเสียงหรือสถานะของพวกมัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็เอาตัวพวกมาคุกเข่าให้หมด”

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินฟาน ผู้คนที่อยู่ในห้องโถงก็เริ่มระเบิดเสียงของตัวเอง

“มันจะมากเกินไปแล้ว คุณไม่ให้เกียรติพวกเราเลยหรือไง!!”

“ใช่! คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหนฉันคือดาราดังของประเทศ หากตระกูลหลินกล้าแตะตัวของฉัน ฉันจะประกาศออกไปให้คนทั้งประเทศรู้ว่าตระกูลหลินเป็นพวกป่าเถื่อน”

“ต่อไปนี้ฉันจะไม่ร่วมมือทางธุรกิจกับตระกูลหลินและคนของตระกูลหลินอีก ใครเป็นคนของตระกูลหลินก็รู้เรื่องนี้เอาไว้ด้วย”

“ใช้แล้ว ooกรุ๊ป ก็จะยกเลิกการร่วมมือเหมือนกัน”

“xxกรุ๊ป ก็จะยกเลิกด้วย”

“zzกรุ๊ป ก็จะยกเลิกด้วยเหมือนกัน”

ทั้งชายและหญิงเริ่มระเบิดเสียงไม่พอใจออกมา จากบรรยากาศเงียบสงัดเมื่อครู่ ตอนนี้กลายเป็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงโมโหอัดแน่นเต็มห้องโถง

และในตอนนี้เองพวกสมาชิกตระกูลข้ารับใช้ที่ทรยศต่างก็พากันแสดงใบหน้ายิ้มออกมาด้วยความสะใจ ความจริงแล้ว พวกสมาชิกตระกูลข้ารับใช้ที่ทรยศมางานวันนี้ก็เพื่อจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือการมาป่วนงานประชุมครั้งนี้ให้เกิดปัญหา

แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขาคงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว เพราะตอนนี้หลินฟานได้ขุดหลุมฝังตัวเองไปแล้ว

เมื่อได้ยินเสียงที่กำลังโมโหตะโกนมาทางตัวเอง บ้างก็ข่มขู่เรื่องจะทำลายชื่อเสียง บ้างก็ข่มขู่เรื่องธุรกิจ หลินฟานก็แสยะยิ้มมุมปากมองไปทางคนเหล่านั้น จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“คุกเข่า… หรือตาย”

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด