ตอนที่แล้วบทที่ 1 ลูกสาวจอมปลอมของตระกูลเฉียว
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3 ที่แท้ก็เป็นเจ้านายที่ถูกซ่อนอยู่

บทที่ 2 เธอเป็นคู่หมั้นของฉันด้วย


ในสายตาของเฉียวเว่ยหมินมีบางอย่างที่เขารู้สึกทนไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงยัดบัตรลงในมือของเฉียวเนี่ยน แล้วปล่อยให้เธอถือเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของคนตรงหน้า และถามว่า “เก็บของเสร็จแล้วเหรอ? อ่า...ใช่ เมื่อวันเกิดครบรอบ 10 ปี สร้อยคอที่ฉันซื้อมาให้ เธอสามารถเอามันไปได้นะ เพราะมันเป็นของขวัญที่ฉันซื้อมาให้เธอ และมันก็เป็นของเธอ!”

เหออวี้เจวียนขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และเธอก็เหลือบมองไปยังเฉียวเนี่ยนที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่พอใจ แต่เพราะตัวเองมีศักดิ์ศรีมากพอ ในที่สุด เธอก็อายที่จะเปิดปากขอสร้อยคอมูลค่าสามพันหยวนเส้นนั้น

เฉียวเชินยืนอยู่ข้างๆ เฉียวเนี่ยนด้วยความรังเกียจ และเธอก็ทวนคําพูดของเฉียวเว่ยหมินอย่างนุ่มนวล “ใช่แล้ว พี่สาว พ่อให้ของขวัญชิ้นนี้กับพี่ไปแล้ว พี่สามารถนำมันไปได้ แล้วบางทีมันอาจจะมีประโยชน์กับพี่ในภายหลัง…”

คําพูดท้ายประโยคของเฉียวเชินไม่ได้พูดออกมาอย่างชัดเจน แต่เฉียวเนี่ยนก็สามารถเข้าใจความหมายของคําพูดนั้นได้เป็นอย่างดี เธอจึงยกเปลือกตาขึ้น และมองไปที่เฉียวเชินด้วยดวงตาที่ดุร้ายราวกับสัตว์ป่า!

เฉียวเชินส่งรอยยิ้มที่เย่อหยิ่งให้กับคนตรงหน้าเป็นการตอบแทน ด้วยท่าทางราวกับพระสงฆ์ที่ทำตัวสูงส่ง* ที่ถูกแกะสลักออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันกับทุกคนที่อยู่ในตระกูลเฉียว

*(高高在上 ทำตัวสูงส่ง สำนวนจีน ไม่ยึดติดกับความเป็นจริง ทำตัวห่างออกไป นิยมใช้กับ ผู้นำที่ทำตัวเหินห่างและไม่ยอมรับความเป็นจริง มาจากหนังสือ 《诗经·周颂·敬之》)

เฉียวเนี่ยนยกกระเป๋าเป้ขึ้น เธอก็คืนบัตรให้กับเฉียวเว่ยหมิน แล้วพูดเบาๆ ว่า “สร้อยคอเส้นนั้น ฉันใส่ไว้ที่ลิ้นชักในห้อง คุณไม่ต้องกังวลว่าจะหามันไม่เจอ และฉันก็ไม่ได้เอาอะไรของตระกูลเฉียวไปทั้งนั้น ยกเว้นโน้ตบุ๊คที่ฉันซื้อมาด้วยตัวเอง”

ทันทีที่คําพูดเหล่านี้ออกมาปากของอีกฝ่าย พวกคนในตระกูลเฉียวก็แสดงอาการอับอายอยู่บ้างเล็กน้อย

โดยเฉพาะเหออวี้เจวียนที่ไม่สนใจจะพูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย และตอนนี้ สีหน้าของทุกคนในตระกูลเฉียวก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เฉียวเนี่ยนคนนี้ไม่เคยรู้จักวิธีประพฤติตัวดีๆ และมักจะทำให้คนอื่นตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอับอายเสมอ

เฉียวเชินเหลือบมองกระเป๋าเป้สะพายหลังที่เฉียวเนี่ยนถืออยู่ ทันใดนั้นดวงตาของเธอก็เป็นประกาย และมีร่องรอยของการดูถูกเหยียดหยามราวกับว่าไม่ได้ตั้งใจ “พี่สาว คุณพ่อ คุณแม่ คุณย่า ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะ พี่อย่าอ่อนไหวมากนักเลย พวกเราอยู่ด้วยกันมานานกว่าสิบปี ถึงแม้พี่จะได้พบกับพ่อแม่แท้ๆ แล้วก็ตาม แต่พี่ก็ยังเป็นพี่สาวของฉันเหมือนเดิม และพวกเราทุกคนอยากให้พี่มีความสุข ถึงพี่จะไม่ต้องการสร้อยคอเส้นนั้น แต่ก็เอาเงิน 10,000 หยวนที่คุณพ่อให้ไปก็ยังดี เมืองลั่วเหอแตกต่างจากตัวเมืองมาก แถมยังเป็นสถานที่ที่ต้องใช้เงินอีกมากเลยทีเดียว”

เฉียวเว่ยหมินกลับมามีสติอีกครั้ง แต่สีหน้าของเขากลับดูแย่ลงมาก จากนั้นเขาก็พูดออกไปอย่างไม่เต็มใจว่า “ใช่ เธอรับเงินนี่ไปเถอะ”

“ไม่จำเป็น” เรื่องเงินเธอพอมีอยู่บ้างนิดหน่อย

เฉียวเนี่ยนไม่มีความคิดที่จะเกี่ยวข้องกับตระกูลเฉียวอีกต่อไป ในขณะที่โทรศัพท์ของตัวเองดังขึ้น เธอก็วางบัตรธนาคารที่เฉียวเว่ยหมินบังคับให้ลงบนโต๊ะ และมองลงไปที่เบอร์โทรนั้น แล้วพูดกับตระกูลเฉียวว่า “ครอบครัวของฉันมาถึงแล้ว ฉันขอตัวก่อน”

เมื่อเหออวี้เจวียนมองตามหลังคนที่เดินออกไปแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่พ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชา และเยาะเย้ยขึ้นมาทันที “ฮึ❗️เป็นแค่หมาป่าตาขาวที่เลี้ยงไม่เชื่องเลยจริงๆ แกเลี้ยงเธอมาอย่างไร้ประโยชน์ตั้งสิบกว่าปี แต่ก่อนที่เธอจะจากไป ยังไม่คิดที่จะเรียกหาแกด้วยซ้ำ”

“คุณย่า พี่สาวอาจจะอยากเจอพ่อแม่แท้ๆ มากเกินไปก็เท่านั้น” เสียงของหลานสาวยังคงดังก้องอยู่ในหูของผู้เป็นย่า

แต่น่าเสียดายที่พ่อแม่แท้ๆ ของเฉียวเนี่ยนเป็นคนยากจนที่ไม่สามารถแม้แต่จะเข้าประตูวิลล่าได้ และมันช่างตลกสิ้นดี!

“พี่สาวบอกว่าเธอเอาแค่โน้ตบุ๊คของตัวเองไป แต่หนูเห็นกระเป๋าเป้ปูดๆ นั่น ดูแล้วไม่น่าจะมีแค่โน๊ตบุ๊คนะ…”

เฉียวเว่ยหมินส่ายหน้า และถอนหายใจออกมาอย่างเสแสร้ง “ช่างมันเถอะ เราเลี้ยงดูเธอมานานกว่าสิบปีแล้ว เธอสามารถเอามันไปได้ถ้าเจ้าตัวต้องการ อย่างไรก็ตาม ตระกูลของเราก็ไม่ได้ขาดแคลนเงินขนาดนั้น”

เหออวี้เจวียนถือไม้ค้ำยันไว้ และมองไปยังร่างของคนที่เพิ่งจะจากไป เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า “ถึงแม้ว่าหล่อนจะหายไป แต่หล่อนก็ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลเฉียวของเราอยู่ดี”

“เชินเชิน ต่อไปนี้อย่าเรียกผู้หญิงคนนั้นว่าพี่สาวอีก คนประเภทนั้นไม่คู่ควรเป็นพี่สาวของเธอ! ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ อีกสักพักเราจะไปทานอาหารเย็นที่สุ่ยเซี่ยซวน และเธอต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้…”

มีคนนอกโลก ก็มีสวรรค์นอกโลก*

*(人外有人,天外有天 เป็นคำอุปมาสำหรับผู้แข็งแกร่ง หมายถึง ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็มีคนในโลกนี้ที่เก่งกว่าคุณ ไม่ว่าคุณจะยืนอยู่สูงแค่ไหน ก็ยังมีคนที่ดีกว่าคุณในแง่ของขอบเขตและความสามารถ)

ถึงแม้ว่าตระกูลเฉียวจะไม่ได้แย่นักในเมืองหลวง แต่เมื่อเทียบกับตระกูลเจียง ตระกูลถัง และตระกูลอื่นๆ ก็ยังถือว่าแย่กว่าเล็กน้อย

เฉียวเนี่ยนไม่ได้ยินคําพูดถัดไปอย่างชัดเจน แต่เธอกลับได้ยินเพียงเสียงตอบรับที่มีความสุขของเฉียวเชิน และเสียงที่มีความสุขของตระกูลเฉียวเท่านั้น

****

ดวงอาทิตย์ที่กำลังส่องแสงร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ ทำให้ข้างนอกร้อนราวกับไฟที่กำลังลุกโชน บนพื้นถนนก็เต็มไปด้วยคลื่นความร้อนที่แทบจะไม่มีใครอยู่บนท้องถนนเลย ยกเว้นชายชราบางคนที่ชอบยืนอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้เท่านั้น

ด้านนอกสวนกุหลาบ พบรถคันสีดําจอดอยู่ข้างถนนอย่างเงียบๆ

เจียงหลียกนาฬิกาขึ้นและเหลือบมองดูเวลา เข็มนาทีได้หมุนเป็นครึ่งวงกลมแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครออกมาจากคฤหาสน์

เขาเลื่อนกระจกลงอย่างหมดความอดทน และมองออกไปข้างนอก

เมื่อกระจกรถถูกลดลง ความร้อนจากภายนอกก็พวยพุ่งเข้ามาทันที เครื่องปรับอากาศภายในรถก็ถูกลมร้อนพัดเข้ามา และเขาก็ได้ยินคําสั่งเสียงต่ำของชายคนหนึ่งที่ดังออกมาจากเบาะหลัง “ปิดหน้าต่าง!”

น้ำเสียงนั้นถึงแม้จะแผ่วเบา แต่มันก็สามารถสร้างความกดดันได้เป็นอย่างมาก เขาจึงไม่มีความกล้าหาญมากพอที่จะละเลยคำสั่งนั้น

เจียงหลีส่ายหน้าไปมาอย่างกังวลใจ เมื่อเขาได้ยินเสียงของคนที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถก็รีบเลื่อนกระจกรถขึ้น และอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา

“นายก็พูดได้สิ เธอไม่ใช่น้องสาวของนายนี่ นายถึงไม่ต้องรีบร้อนแบบฉัน! และเดิมทีฉันควรจะมาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่นายก็ยืนยันว่าจะให้ฉันไปรับนายให้ได้ แต่นายกลับล่าช้าจนมาถึงวันนี้! และที่สำคัญ คุณปู่เพิ่งโทรมาถามหาความผิดกับฉัน และให้คําสั่งตายกับฉันมา ถ้าฉันไม่สามารถพาคนกลับไปได้ภายในคืนนี้ เขาจะไม่ให้ฉันกลับไปอีกในอนาคต และตัวเขาจะมารับเธอเอง…”

เย่วั่งชวนไม่ได้นอนมาสามวันแล้ว เพราะเขามีอาการปวดหัว และรําคาญเสียงในหูของตัวเองที่ดังราวกับสว่านไฟฟ้า เขาจึงระงับความกระหายเลือดที่ใต้ตาของตัวเอง แล้วเอนหลังลงกับเบาะรถ พร้อมกับยกเปลือกตาขึ้นมองไปยังชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เธอเป็นคู่หมั้นของฉันด้วย”

เธอเป็นคู่หมั้นของฉันด้วย เป็นเพียงประโยคสั้นๆ ที่สามารถทําให้ภายในรถเงียบลงได้อย่างง่ายดาย

หลังจากสามชั่วอายุคน ตระกูลเจียงถือว่าไม่เลวเลยจริงๆ

แต่เมื่อเทียบกับตระกูลเย่แล้ว ยังมีความแตกต่างระหว่างเมฆและโคลนอยู่ เจียงหลีและเย่วั่งชวนเติบโตมาด้วยกัน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น เจียงหลีจึงค่อยๆ เข้าใจว่าเย่วั่งชวนแตกต่างจากเขามาก และตระกูลเย่กับตระกูลเจียงก็แตกต่างเช่นเดียวกัน

ในรุ่นนี้ สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในตระกูลเย่ก็คือชายหนุ่มที่นั่งหน้าซีดอยู่ในรถของเขา ซึ่งเป็นคนที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในแวดวงของเมืองปักกิ่ง

ถ้าไม่ใช่เพราะมิตรภาพอันลึกซึ้งของท่านผู้เฒ่าในตระกูลเขากับคนที่พวกเขารู้สึกว่าเป็นหนี้ชีวิต การกระทําที่ดีต่อคู่หมั้นของเย่วั่งชวน จะไม่มีวันมาถึงตระกูลของพวกเขาอย่างแน่นอน…

ร่องรอยความกังวลเกิดขึ้นในแววตาของเจียงหลี

ญาติตัวน้อยของเขาหายไปนานกว่าสิบกว่าปีเมื่อทำการตรวจสอบแล้วพบว่าเธอไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย เขาจึงกลัวว่าเธอจะไม่เหมาะสมกับผู้ชายที่หยิ่งผยองคนนี้

“เธอออกมาแล้ว!”

เจียงหลีที่กำลังรู้สึกเป็นกังวลอยู่นั้น จู่ๆ หางตาของเขาก็เหลือบมองไปที่หน้าต่างรถ บนถนนลาดยางที่บริเวณประตูคฤหาสน์ก็ปรากฏร่างหนึ่ง ที่ค่อยๆ ก้าวออกมาอย่างช้าๆ

“ดูเหมือนว่าจะเป็นน้องสาวของฉัน ฉันจะลงไปดูหน่อย”

เจียงหลีอธิบายอย่างรวดเร็วให้คนด้านหลังได้ยิน จากนั้นเขาก็ปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วเปิดประตูรถเดินออกไปทันที

ภายใต้แสงแดดอันร้อนแรงของดวงอาทิตย์ ร่างเพรียวบางก็เดินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ

และสิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของเขาก็คือ ขาเรียวเล็กสีขาวสมมาตรและตั้งตรง

ขาวมาก

เจียงหลีคุ้นเคยกับการเที่ยวเตร่ข้างนอก เขาพบเห็นสาวงามมามากมายนับไม่ถ้วนในวงการบันเทิง แต่หญิงสาวตรงหน้าทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง

หญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามานั้นมีอายุแค่สิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเท่านั้น ผิวของเธอขาวจนน่าประหลาด ท่ามกลางแสงของดวงอาทิตย์ เขาเกือบจะเห็นเส้นเลือดฝอยสีม่วงแดงที่อยู่ภายใต้ผิวหนังของเธอ ใบหน้าสีขาวพอร์ซเลน ดวงตาสีเข้ม ขนตายาวราวกับแปรงขนาดเล็กๆ สามจุดของความเงียบเย็น สามจุดของความบริสุทธิ์ และร่องรอยของความป่าเถื่อนที่เผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นสาวงามมานับไม่ถ้วน แต่ในเวลานี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนออกมาอย่างแน่นอน!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด