ตอนที่แล้วบทที่ 20 โปรแกรมฝึกฝน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 22 หน้ากากกระโหลกหมาป่า

บทที่ 21 หลัวจี๋พึงพอใจ


ฟรีทุกตอนที่ลงท้ายด้วยเลข 0 และ 5 ครับ

ท่าทางแปลกประหลาดของหลัวหย่งและจ้าวผานได้ดึงดูดความสนใจของใครหลายๆคน อันที่จริงแล้ว นับตั้งแต่ที่หลัวจี๋สอนการออกำกำลังกายให้ทั้งคู่ ก็มีสายตาหลายคู่จับจ้องมายังทางนี้แล้ว แต่เพราะท่านผู้นำ จึงไม่มีผู้ใดกล้าวางมือทำงานที่ตนทำอยู่และไปมุงดู แต่ในตอนนี้เมื่อหลัวจี๋เดินหายไปจึงมีกลุ่มคนจำนวนมากเข้ามารายล้อมหลัวหย่งและจ้าวผานในทันที

และในตอนนี้ความต่างของนิสัยทั้งคู่ก็ถูกแสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง จ้าวผานที่ถูกรายล้อมด้วยคนจำนวนมากรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนิดหน่อยแต่ก็ยังคงความเยือกเย็นเอาไว้ได้ กระทั่งจังหวะในการดันพื้นก็ไม่ได้ต่างออกไปจากเดิมมากนัก กลับกัน เมื่อหลัวหย่งรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่เขา ความเร็วที่ลดลงไปเมื่อก่อนหน้าก็พุ่งทะยานกลับขึ้นมาใหม่…

“เร็วไปแล้ว” เมื่อเหลือบไปเห็นความเร็วของหลัวหย่ง จ้าวผานก็พูดออกมาเรียบๆ

“ข้ารู้น่า!” เมื่อพูดจบหลัวหย่งก็หยุดมือและดีดตัวลุกขึ้นยืนก่อนจะหันไปมองชาวเผ่ามุงที่อยู่รอบๆตาขวาง “ยืนดูอะไรกัน? ไม่มีงานทำกันรึไง!?”

เหล่าคนที่กล้ามามุงดูหลัวหย่งที่เป็นนักรบอันดับหนึ่งของเผ่านั้นต่างก็เป็นสมาชิกดั้งเดิมของเผ่า ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่ได้หวาดกลัวอะไรกับท่าทางของหลัวหย่ง กลับกัน บางคนถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังเลยด้วยซ้ำ แต่คำพูดของหลัวหย่งนั้นก็เป็นการเตือนพวกเขาถึงงานที่ยังต้องทำให้เสร็จอยู่ดี

หลังจากที่ชาวเผ่ามุงค่อยๆหายกันไปทีละคนเมื่อรู้สึกตัวว่ามีงานที่ต้องทำให้เสร็จ หลัวหย่งก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกและเหลือบไปมองจ้าวผานที่อยู่ข้างๆเป็นครั้งคราว การเคลื่อนไหวของชายคนนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยด้วยซ้ำ เขายังคงจังหวะเดิมเช่นก่อนหน้า ผลักร่างของตนขึ้นลางอย่างต่อเนื่อง

และในตอนนี้เขาก็มองไปที่จ้าวผานด้วยสีหน้าที่เยือกเย็นและเด็ดเดี่ยว ในใจของหลัวหย่งมีความรู้สึกชื่นชมปรากฏขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จากนั้นเขาก็เหยียดแขนตรงและพร้อมจะแข่งขันกันอีกครั้ง

ในขณะเดียวกัน ภายในเต็นท์ของหลัวจี๋ หลัวจี๋ที่ได้พักผ่อนอีกครั้งก็เปิดหน้าต่างสถานะขึ้นมา ตั้งใจว่าจะตรวจสอบความสามารถของโปรเจ็คต์ “การฝึกทหาร” ถึงจะไม่มีแต้มการทหารเพื่อเพิ่มระดับก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ไปอ่านให้เข้าใจไว้ก่อน

การฝึกทหาร (ระดับ0): ผลจากการฝึกฝนทหารของอารยธรรมนี้เพิ่มขึ้น 10% ประสิทธิภาพในการฝึกฝนเพิ่มขึ้น 15%

กระชับและชัดเจน หากจะบอกว่าทั้งสามโปรเจ็คต์ของการทหารนั้นใช้งานได้จริงก็ไม่เป็นการพูดเกินเลยไปนัก และเขาอยากจะเพิ่มระดับให้พวกมันทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าเสียดายที่มีแต้มการทหารไม่เพียงพอ

เขานวดขมับ คิดหาวิธีหาแต้มการทหาร แน่นอนว่าก็มีการออกไปรบ หากชนะ ไม่เพียงแต่จะได้ประชากร แต่ยังได้แต้มการทหารมาด้วย

แต่การออกไปรบก็มีความเสี่ยง โดยเฉพาะในยุคสมัยนี้ที่ระดับการรักษายังล้าหลังมากๆ แม้ว่าเขาจะเพิ่มระดับของ “ดูแลรักษา” ขึ้นเป็นระดับหนึ่งซึ่งลดโอกาสแผลติดเชื้อและอักเสบลง 10% แต่เพียงแค่นั้นก็ไม่มั่นใจพอ

ยิ่งไปกว่านั้น เขาพึ่งจะต่อสู้มาและรับประชากรของอีกฝ่ายมาทั้งหมด หลัวจี๋ไม่คิดจะทำอะไรเสี่ยงอยู่แล้ว ในฐานะผู้เล่นเกมวางแผนที่ชอบฟาร์มและเก็บตัวพัฒนาในช่วงแรกๆ เขาชอบให้ได้ผลประโยชน์อย่างต่อเนื่องดีกว่ามารวดเดียว

และเมื่อเป็นเช่นนี้ หากไม่สามารถใช้วิธีนั้นได้ ก็ต้องลองคิดย้อนกลับไป นั่นก็คือการทำอาวุธและชุดเกราะนั่นเอง!

“จะว่าไปแล้ว ถึงในยุคนี้จะมีอาวุธ แต่เหมือนว่าจะไม่มีชุดเกราะนี่นา?” “จะมีวิธีไหนช่วยลดการบาดเจ็บในการต่อสู้กันได้ล่ะ? ใส่ชุดเกราะไง! ถ้าใส่ชุดเกราะไปซักชิ้น โอกาสบาดเจ็บก็น่าจะลดลงเยอะเลย!”

ด้วยเหตุนี้ หลัวจี๋จึงหันไปมองหัวหมาป่าขนาดใหญ่ที่วางไว้อยู่ในเต็นท์ของเขา แน่นอนว่านี่คือหัวของจ่าฝูงหมาป่า หลังจากที่หลัวหย่งฆ่ามันได้ เขาก็มอบร่างของมันให้กับหลัวจี๋

และในฐานะที่เป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีของนักรบอันดับหนึ่งเขาเผ่า ผู้นำหลัวจี๋จึงปฏิเสธไม่ได้ แต่ว่าในยุคนี้นั้นไม่มีการคงสภาพศพหรืออะไรพวกนี้ นั่นจึงสตัฟเก็บเอาไว้ไม่ได้แน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้ามีหัวหมาป่าโชกเลือดวางไว้ในเต็นท์มันก็คงจะเหม็นคาวเลือดมาก ดังนั้นแล้วเขาจึงขอให้คนอื่นช่วยถลกหนังหมาป่าและเลาะเนื้อออกมาจนหมด ก่อนจะล้างกระโหลกของมันและนำมาวางเป็นเครื่องประดับ

และต้องบอกเลยว่า กระโหลกหมาป่าที่กลายเป็นสีขาวนวลหลังที่ล้างมา นั้นดูยิ่งใหญ่มาก และหลัวจี๋ก็ดันชอบมันเข้าเสียได้

กระโหลกหมาป่าในโลกนี้ใหญ่กว่าในโลกเดิมของเขามาก หากลองคิดดูดีๆแล้ว ก็อาจจะเรียกได้ว่านี่คือบรรพบุรุษของหมาป่า แต่มันก็เป็นแค่คำเปรียบเทียบ เขาก็ไม่กังวลอะไรเกี่ยวกับมันแม้แต่น้อย

เขาถือกระโหลกหมาป่าไว้ในมือและลูบไล้มัน ทันใดนั้น ความคิดของหลัวจี๋ก็โลดพล่าน เขาควานหาขวานหินและกำลังจะเริ่มลงมือ แต่เหมือนว่านึกถึงอะไรขึ้นมาได้ เขาตบหัวตัวเองเบาๆ “อย่ารีบร้อนๆ เราจะมีสกิลการเขียนแผนที่ไว้ทำไมล่ะ? ก็ไว้สำหรับตอนนี้ยังไงล่ะ!”

เพราะเขาเคยเรียนการวาดแผนที่มาก่อน และในเต็นท์นี้ก็มีหนังสัตว์และสีจากพืชพร้อมกิ่งไม้ที่ใช้แทนปากกา หลังจากขยี้สีย้อมจากพืชออกมาแล้ว หลัวจี๋ก็หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาและจุ่มลงไป จากนั้นก็หันไปมองกระโหลกหมาป่าและวาดภาพมันลงไป

ในขณะที่เขากำลังวาดอยู่นั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าก่อนหน้านี้เขาคิดตื้นไป หากลงมือไปล่ะก็ กระโหลกหมาป่าดีๆก็คงจะเละเป็นแน่แท้

และในยุคสมัยนี้ การสู้กับหมาป่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้พวกเขาจะเอาชนะมาได้ แต่หลัวจี๋ก็ไม่คิดอยากจะหาเรื่องกับสัตว์ร้ายพวกนั้นอีก ดังนั้นเขาต้องประหยัดทรัพยากรที่มีจำกัดนี้

ผ่านไปพักหนึ่ง หลังจากขีดเส้นสุดท้ายลงไป เสียงจากระบบก็ดังขึ้น…

คำเตือนจากระบบ: ขอแสดงความยินดีกับผู้เล่น 'หลัวจี๋' ในการสร้างพิมพ์เขียวเป็นครั้งแรก ได้รับแต้มอารยธรรม 50 แต้ม แต้มวัฒนธรรม 1 แต้ม แต้มการผลิต 1 แต้ม และได้ความคืบหน้า +1 ในโปรเจ็คต์ “การสร้างแผนที่”

คำเตือนจากระบบนั้นค่อนข้างจะเกินคาดไปหน่อย จึงทำให้เขาอดเลิกคิ้วขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็ยังคงมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและถูมือที่เริ่มจะเย็น จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงบนหนังสัตว์ในเต็นท์และหยิบกระโหลกขึ้นมาตะแคงพร้อมกับใช้เท้าหนีบมันเอาไว้ เขายกขวานหินในมือขึ้น จากนั้นก็เล็งไปยังกระดูกขากรรไกรของกระโหลกหมาป่าก่อนจะทุบลงไป

หลังจากเสียงแตกดังขึ้น เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะดึงกรามออกมา ก่อนจะหยิบหินขึ้นมาและขูดลับกระดูกส่วนที่คมออกไปให้เรียบ จากนั้นก็หยิบเอ็นสัตว์ที่เตรียมมาไว้นานแล้วรอดผ่านเบ้าตาทั้งสองข้างและผูกเงื่อน

“เสร็จ!” เขาถือผลงานที่เสร็จสมบูรณ์เอาไว้ในมือและชื่นชมมัน หลัวจี๋ยิ้มที่มุมปาก เผยให้เห็นถึงความพึงพอใจ “อ่า นี่แหละ นี่แหละความรู้สึกที่ทำอะไรได้สำเร็จ! รู้ดีจริงๆ!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด