ตอนที่แล้ว794 ความใจกว้าง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป796 หมัดมวย

795 นายมีพรสวรรค์


795 นายมีพรสวรรค์

“พูด ใครส่งแกมา?” ชายใบหน้าซีดเซียวถาม

“ฉัน...ฉันมาขโมยของจริงๆ ไม่มีใครสั่งฉันทั้งนั้น” หัวขโมยพูดด้วยความทุกข์ระทม

เขาไม่คิดว่าตัวเองจะโชคร้ายแบบนี้ในตอนที่ตัดสินใจเข้าไปขโมยของในนั้น ตอนนี้ เขาถูกใครบางคนจับตัวเอาไว้ และดูเหมือนไม่ใช่คนดีอะไรด้วย

ชายใบหน้าซีดไม่พูดอะไรอีก เขาหยิบมีดพับออกมาและโบกไปมาตรงหน้าหัวขโมย มันเปล่งประกายภายใต้แสงไฟ

วูช! ใบมีดตรงเข้าสู่ท่อนขาของหัวขโมย “อ้าก!”

“นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น” ชายใบหน้าซีดพูด “ร้องเบากว่านี้หน่อย ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดสิ้นแกซะ”

“ฮือออ” หัวขโมยกัดฟันและบิดไปมาด้วยความเจ็บปวด

“บอกฉัน ใครเป็นคนส่งแกมา” ชายใบหน้าซีดถาม

“ไม่มีเลยจริงๆนะ” หัวขโมยพูด “ฉันแค่ได้ยินมาว่า ในห้องผู้จัดการมีเงินสดเก็บเอาไว้เยอะมาก ฉันก็เลยมาที่นี่ก็เท่านั้น”

“ใครเป็นคนพูด?” ชายใบหน้าซีดถาม

“ฉันไม่รู้ว่าเป็นใคร” หัวขโมยตอบ

“เขาเป็นคนบอกกับแกเองเหรอ?” ชายใบหน้าซีดถาม

“เปล่า ฉันบังเอิญได้ยินพวกเขาพูดกันตอนที่ฉันไปกินข้าวที่นั่นพอดี” หัวขโมยตอบ “ฉันเป็นแค่หัวขโมยจริงๆ จะไปเช็คข้อมูลที่สถานีตำรวจก็ได้ มันมีชื่อฉันอยู่ที่นั่น”

เมื่อเห็นเลือดไหลออกมาจากบริเวณต้นขา เขาก็รู้สึกหน้ามืด แต่ก่อนที่เขาเคยถูกจับได้ อย่างมากก็แค่โดนซ้อมและถูกส่งไปที่สถานีตำรวจเท่านั้น สถานการณ์แบบตอนนี้ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง เขาทั้งถูกกักขังและถูกแทง

ชายใบหน้าซีดไม่พูดอะไร ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าของหัวขโมย จนหัวใจแทบกระเด็นกระดอน

วูช! มีดถูกแทงไปที่ขาอีกข้างหนึ่ง

“บอกความจริงมา” ชายใบหน้าซีดพูด

“ฉันพูดความจริง! สาบานได้!” หัวขโมยตะโกนออกมาด้วยความทรมาน

“หัวขโมยอย่างแกสาบานเป็นด้วยเหรอ?” ชายใบหน้าซีดถาม “มีแค่คนตายเท่านั้นที่เชื่อได้!”

“ฉันไม่ได้โกหก” หัวขโมยพูด “ฉันไม่ได้โกหกจริงๆ”

“เดิมทีฉันคิดจะปล่อยให้แกมีชีวิตรอดกลับออกไป แต่ช่างเถอะ” ชายใบหน้าซีดพูด

หัวขโมยตกตะลึง กลิ่นฉี่ลอยอวลไปทั่วห้อง เขาหวาดกลัวจนฉี่ใส่ตัวเอง

อยู่ๆแสงไฟในห้องใต้ดินก็ดับลง เกิดเสียงดังตุบ แล้วทุกอย่างก็เงียบงัน

เมื่อแสงไปส่องสว่างอีกครั้ง ก็มีเจ้าหน้าตำรวจหลายนายและชายสองคนที่อยู่ในห้องตั้งแต่ทีแรก หัวขโมยที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้ยังคงมีมีดปักอยู่ที่ขา ส่วนชายใบหน้าซีดก็นอนไม่สติอยู่ที่พื้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” เจ้าหน้าที่นายหนึ่งถาม

“เรียกหมอมา แล้วตรวจดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” เจ้าหน้าที่อีกนายหนึ่งพูด

แพทย์พยาบาลมาถึงในเวลาไม่นาน ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ แต่พวกเขาอยู่ในอาการโคม่า คนที่ถูกมัดเสียเลือดจำนวนมาก แต่ไม่ถึงกับร้ายแรง

“อะไรที่ทำให้พวกเขาอยู่ในอาการโคม่าแบบนี้ได้?” ตำรวจนายหนึ่งถาม

“ผมว่า น่าจะเป็นพวกยาสลบ” แพทย์ในทีมพูด

“แสดงว่าต้องมีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย” ตำรวจพูด

“ใช่” แพทย์คนหนึ่งพูด

“รักษาสถานที่ให้เหมือนเดิมที่สุด แล้วหาหลักฐานให้เจอ” หัวหน้าตำรวจพูด “คนที่ได้รับบาดเจ็บก็ส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล ส่วนอีกคนให้ใส่กุญแจมือเอาไว้”

“หืม นี่มันหัวขโมยที่จับได้หลายครั้งแล้วไม่ใช่เหรอ?” ตำรวจนายหนึ่งชี้ไปที่ชายที่ถูกมัดไว้กับเก้าอี้

“นายรู้จักเขาเหรอ?” หัวหน้าของเขาถาม

“ครับ เขาเป็นหัวขโมยตัวเป้งเลย” ตำรวจอีกนายพูด “เขาถูกจับมาหลายครั้งแล้ว ดูเหมือนเขาจะชื่อว่า ลู่ชิวเฉิง”

ชายทั้งสองที่เดิมอยู่ภายในห้องนั้น หนึ่งถูกพาส่งโรงพยาบาล ส่วนอีกหนึ่งถูกพาไปที่สถานีตำรวจ

สถานที่แห่งหนึ่งในเมืองเต๋า เจี๋ยจื้อจายพ่นควันบุหรี่และพูดว่า “ไม่คิดว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปซะได้ คิดว่าเป็นเขารึเปล่า?”

“ไม่มีใครเห็นตอนนายลงมือใช่ไหม?” หูเหมยถาม

“ไม่มีหรอก ฉันใส่หน้ากากอยู่” เจี๋ยจื้อจายพูด “ถึงจะมีคนเห็น พวกเขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นฉัน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” หูเหมยพูด

ภายในสถานีตำรวจ ชายที่ถูกใส่กุญแจมือได้สติขึ้นมาโดยไม่มีอาการตกใจแม้แต่น้อย หลังจากมองไปรอบๆและมั่นใจแล้วว่าเขาอยู่ที่สถานีตำรวจ เขาก็เริ่มคิดหาวิธีการรับมือกับการถูกสอบสวน

“พวกมือเก๋า” หลังจากที่ได้เห็นท่าทางของเขาผ่านทางหน้าจอ ตำรวจนายหนึ่งก็พูดขึ้นมา

“ใช่ ฉันเอาบัตรของเขาไปค้นข้อมูลมาแล้ว มันเป็นบัตรปลอม” ตำรวจอีกนายพูด

“บัตรปลอม?” ตำรวจนายแรกถาม

“ใช่ ฉันรายงานหัวหน้าไปแล้ว และส่งเรื่องไปทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ขยายขอบเขตของการสืบสวนให้กว้างขึ้น” ตำรวจอีกคนพูด “หรือคนคนนี้จะเป็นอาชญากรเอ้?”

“ลองสอบเขาดูก่อนเถอะ” ตำรวจนายแรกพูด

“ได้” ตำรวจอีกนายพูด

“ชื่อ” ตำรวจนายแรกถาม

ชายที่ถูกใส่กุญแจมือมองหน้าตำรวจทั้งสองนายและไม่ยอมพูดอะไรออกมา

“นายชื่ออะไร?” ตำรวจถามอีกครั้ง

ยังคงไม่มีคำตอบ

“คิดว่าถ้าไม่ยอมตอบแล้วเราจะหาไม่ได้เหรอว่านายเป็นใคร?” ตำรวจถาม “นายกลายเป็นผู้ต้องสงสัยลักพาตัวและทำร้ายร่างกายโดยเจตนา ถ้าคิดว่าจะรอด ก็อย่าได้หวังเลย สารภาพมาซะ!”

เขายังคงเงียบ ท่าทางของเขาดูสงบอย่างมาก เขากำลังคิดถึงคนที่สามารถลอบโจมตีเขาได้อย่างเงียบเชียบ ทั้งที่เขาติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณเอาไว้ที่ด้านนอกของห้องใต้ดิน แสดงว่าอีกฝ่ายต้องเป็นมืออาชีพ

การสอบสวนครั้งแรกของตำรวจทั้งสองนายล้มเหลว

“จับตาเขาเอาไว้ให้ดี” หัวหน้าของพวกเขาพูด “คืนนี้ อย่าปล่อยให้เขาได้หลับตา”

“รับทราบครับ” ตำรวจอีกนายพูด

แสงจากโคมไฟส่องไปที่ดวงตาของเขา เขานั่งนิ่งราวกับรูปปั้น ผ่านไปหลายชั่วโมง เขาก็ยังคงอยู่ในท่าเดิม

“อืม เขามีความอดทนสูงจริงๆ” หัวหน้าพูด

“เป็นพวกมือเก๋าแน่ๆครับ” ตำรวจอีกนายพูด

“แล้วได้เอาเลือดของเขาไปตรวจรึยัง?” หัวหน้าถาม

“ยังครับ” ตำรวจอีกนายตอบ

“ให้คนไปจัดการซะ” หัวหน้าพูด “วิเคราะห์ดีเอ็นเอ แล้วเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลที่มีอยู่”

“ได้ครับ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” ตำรวจอีกนายพูด

เมื่อมีคนเข้ามาเพื่อเจาะเลือดของเขา สีหน้าของชายใบหน้าซีดเซียวก็เปลี่ยนไปในทันที

“ดูสิ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป” หัวหน้าพูด “เขาอาจจะทำอะไรบางอย่าง เราต้องรีบแล้ว!”

ภายในโรงพยาบาล ชายที่ถูกแทงถูกตำรวจส่งไปอยู่ในห้องแยกเพียงลำพัง

“บอกมา ว่าเกิดอะไรขึ้น?” ตำรวจนายหนึ่งถาม

“เอ่อ ผมแค่เข้าไปเอาของบางอย่างจากบริษัทนั้น” เขาตอบ

“นั่นเป็นบริษัทของนายเหรอ?” ตำรวจถาม

“ไม่...ผม” ชายที่ได้รับบาดเจ็บลังเล

“หรือจะบอกว่า นายเข้าไปเอาของที่ไม่ใช่ของนายมา” ตำรวจถาม

“เอ่อ ใช่ ผมเข้าไปขโมยของในนั้น” เขาพูด

“นายขโมยอะไรมา?” ตำรวจถาม

“ถุงใส่เพชรใบหนึ่ง กับเงินอีกหนึ่งแสนหยวน” เขาพูด “ผมคิดว่ามีเท่านี้”

“แล้วนายถูกจับตัวไว้ได้ยังไง?” ตำรวจถาม

“ผมไม่รู้” เขาพูด “ผมกำลังขโมยของอยู่ แต่อยู่ๆไฟในห้องก็สว่างขึ้นมา แล้วผมก็เห็นผู้ชายคนหนึ่ง เขาทำผมหมดสติ พอได้สติขึ้นมา ผมก็เห็นตัวเองโดนมัดไว้กับเก้าอี้อยู่ในห้องมืด แล้วเขาก็เอามีดแทงผมและถามว่าใครส่งผมมา”

“แล้วใครส่งนายไปที่นั่น?” ตำรวจถาม

“ผม...ไม่มีใครส่งผมไปที่นั่น” เขาพูด “ผมไปที่นั่นเพราะเงินเท่านั้น”

“แล้วนายรู้ได้ยังไง ว่าที่นั่นมีเงินอยู่?” ตำรวจถาม

“ก็ที่นั่นเป็นบริษัทที่ทำการค้าระหว่างประเทศ” เขาพูด “แล้วห้องนั้นก็เป็นห้องของผู้จัดการบริษัท ผมจับตามองมาได้หลายวันแล้ว พอดีคืนนั้นไม่มีคนอยู่ มีแค่คนแก่เฝ้าอยู่หน้าประตู ขนาดยามสักคนยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ”

“พูดต่อ” ตำรวจพูด

“เขาเอามีดแทงที่ขาของผม แล้วอยู่ๆไฟก็ดับลง” เขาพูด “ผมหมดสติไป แล้วฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ตอนเห็นหน้าคุณตำรวจนี่แหละ พวกคุณมาทันเวลาพอดี!”

นี่เป็นครั้งแรก ที่เขารู้สึกว่าตำรวจไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น

“นายจะบอกว่า มีมือที่สามทำให้นายสลบไปสินะ?” ตำรวจถาม

“ผมคิดว่าเป็นแบบนั้น” เขาตอบอย่างลังเล

“ลองคิดดูอีกที ยังมีอะไรอีกไหม?” ตำรวจถาม

“ไม่มีแล้วล่ะ” เขาพูด

“เอาล่ะ รักษาแผลของนายให้ดี แล้วถ้าคิดอะไรได้ขึ้นมาก็ให้บอกฉัน” ตำรวจพูด

“ครับ เข้าใจแล้ว” เขาพูด

หัวขโมยไม่มีความคิดที่จะพูดอะไรออกไปอีก ถ้าเขาพูดมากกว่านี้ก็มีแต่ขาดทุน โดยเฉพาะกับพวกเจ้าหน้าที่สอบสวนสืบสวน เพียงหนึ่งประโยคก็อาจกลายเป็นข้อผิดพลาดใหญ่หลวงได้

ค่ำคืนผ่ายพ้นไป เช้าวันต่อมา ตำรวจนายหนึ่งได้รับข่าวที่น่าสนใจมา เขาได้บอกข่าวนี้กับหัวหน้าของเขา

“หัวหน้า นี่เป็นการค้นพบครั้งใหญ่เลยนะครับ” เขาพูด “จากผลตรวจดีเอ็นเอ ผู้ชายคนนี้เป็นนักฆ่าในการสังหารหมู่ที่เมืองหลานเมือปีก่อน”

“อะไรนะ?” หัวหน้าตกตะลึง “เหตุการณ์สังหารหมู่ที่เมืองหลานน่ะเหรอ?”

“ใช่ครับ” ตำรวจอีกนายตอบ

เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ครอบครัวหนึ่งในเมืองหลานถูกสังหารหมู่ สมาชิกครอบครัวทั้งห้าถูกฆ่า หนึ่งในสองบอดี้การ์ดเสียชีวิต และอีกคนได้รับบาดเจ็บสาหัส ภายในสถานที่เกิดเหตุไม่มีหลักฐานที่เป็นประโยชน์กับรูปคดี มีเพียงเลือดของคนคนหนึ่งเท่านั้น และมันก็ได้กลายเป็นคดีความใหญ่โตในตอนนั้น

เพราะเหตุนี้ ทางเมืองหลานจึงได้ขอความช่วยเหลือจากทางกระทรวงความมั่นคง พวกเขาได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญนานกว่าสามเดือน แต่กลับไร้วี่แววของอาชญากร และไม่สามารถหาข้อสันนิษฐานได้ มันจึงกลายเป็นคดีที่ไม่สามารถคลี่คลายได้

หัวหน้าตำรวจคาดไม่ถึงว่าในเมืองเต๋าที่ห่างออกมาหลายพันไมล์ พวกเขาจะจับตัวผู้ต้องสงสัยในคดีสังหารหมู่ได้

“ติดต่อทางเมืองหลานทันที” เขาพูด

“รับทราบครับ ผมจะติดต่อไปเดี๋ยวนี้” ตำรวจอีกนายพูด

คนที่เมืองหลานต่างตกใจกับข่าวที่พวกเขาได้รับ พวกเขารีบส่งคนมาเพื่อยืนยันเรื่องนี้ในทันที

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด