ตอนที่แล้วบทที่ 18 หลัวจี๋น้ำตาตกใน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 20 โปรแกรมฝึกฝน

บทที่ 19 ค่าสถานะแบบนี้ขี้โกงจนน่าจะถูกรายงาน


“ฉันเป็นผู้นำ ทำไมจะต้องหาข้ออ้างเพื่อย้ายตำแหน่งของคนในเผ่าด้วยล่ะ?” เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลัวจี๋ก็รู้สึกผ่อนคลายลง จากนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยความจริงจัง “นายไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ฉันรู้สึกว่านายเหมาะกับการเป็นนักรบเพื่อปกป้องเผ่าของเรามากกว่า”

“ข้า? นักรบเหรอครับ?” มีประกายความเหลือเชื่อปรากฏขึ้นมาบนแววตาของชายวัยกลางคน “แต่ท่านผู้นำ ข้าไม่ได้สู้เก่งอย่างใครเขา ไม่ต้องพูดถึงหลัวหย่งเลยด้วยซ้ำ จะนักรบในเผ่าคนไหนก็เอาชนะข้าได้ง่ายๆ”

เมื่อพูดเช่นนั้น กระทั่งชายวัยกลางคนผู้นี้ที่มีความเยือกเย็นและเคร่งขรึมก็ยังอดเผยแววตาที่มีประกายความเศร้าหมองขึ้นมาไม่ได้ ในยุคนี้ พละกำลังคือที่สุด เขานั้นอ่อนแอในการต่อสู้ และนั่นทำให้ความเชื่อมั่นในตนเองของชายคนนี้ลดลงอย่างมาก

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลัวจี๋ก็โบกมือ “นายน่ะต่างจากหลัวหย่ง ความสามารถของนายไม่ใช่การบุกเข้าไปต่อสู้ แต่นายเหมาะสมกับการชี้นำทุกคนมากกว่า”

ความกล้าหาญระดับสองดาว และในขณะเดียวกันก็ไม่มีทักษะการต่อสู้ใดๆ หากเขาต้องต่อสู้ขึ้นมา หลัวจี๋รู้สึกว่ากระทั่งเขาก็ยังสามารถเอาชนะได้ แต่ปัญหาคือความเก่งกาจของชายคนนี้ไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น เขาเหมาะกับการอยู่แนวหลังและออกคำสั่งมากกว่า!

ในอดีต ในเผ่านี้มีนักรบเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีใครต้องใช้กลยุทธ์ใดๆในการต่อสู้ ไม่ต้องพูดถึงคนออกคำสั่งด้วยซ้ำ เพราะว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องออกคำสั่ง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นั้นเปลี่ยนไปนับตั้งแต่ที่หลัวจี๋เข้ามายังโลกนี้และเป็นผู้นำ!

ค่าความฉลาด จิตวิญญาณ ความอดทน และการสั่งการที่มีลิมิตอยู่ที่ 4 ดาวก็เรียกได้ว่าเป็นค่าสถานะที่สุดยอดเกินจริงมาก หากเพิ่มความกล้าหาญขึ้นไปอีกอันนึงด้วย หลัวจี๋คิดว่าศัตรูคงหัวร้อนจนกดรายงานเขาเลยล่ะมั้ง

และในฐานะคนที่มีค่าความฉลาดสูงสุดถึง 4 ดาว แม้ตอนนี้จะมีอยู่แค่ 2 ดาว นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนโง่ เมื่อได้ยินสิ่งที่หลัวจี๋พูด ในแววตาของชายวัยกลางคนก็เผยประกายความหวังขึ้นมานิดๆในน้ำเสียงของเขา “ข้า… ทำได้จริงๆหรือครับ?”

“ใช่ นายทำได้แน่!” น้ำเสียงของหลัวจี๋ที่เห็นหน้าต่างสถานะของเขามาแล้วก็เรียกได้ว่าหนักแน่นมากๆ เขาเองก็เป็นคนที่มีค่าการสั่งการสูงสุดอยู่ที่ 5 ดาว บางครั้ง แค่การกระทำเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลต่อคนในเผ่าอย่างมากมาย และในตอนนี้ การยืนยันอย่างหนักแน่นของเขานั้นช่วยเพิ่มกำลังใจให้ชายวัยกลางคนคนนี้อย่างมหาศาล เรียกได้ว่ากำลังใจที่จะต่อสู้ได้กลับมาลุกโชนราวกับดวงอาทิตย์

“แต่รวมๆแล้วแรกๆนายต้องฝึกกับหลัวหย่งแล้วก็คนอื่นๆ ถึงนายจะเก่งในการสั่งการ แต่นายเองก็ต้องฝึกฝนร่างกายด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวฉันจะจัดการแผนฝึกซ้อมให้ทีหลัง” หลังจากพูดจบ หลัวจี๋ก็อยู่พักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาอีกครั้ง “จะว่าไปแล้ว นายยังไม่มีชื่อนี่ ใช่ไหม?”

“เอ่อ ข้ายังไม่มีเลยขอรับ” มีประกายความตื่นเต้นปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขาราวกับรู้สึกได้ถึงบางอย่าง แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจอยู่

“งั้นฉันตั้งชื่อให้ไหมล่ะ?”

เมื่อได้ยินคำนั้นออกมาจากปากของหลัวจี๋ หัวใจของเขากเต้นไม่เป็นจังหวะ “แต่ว่าชื่อ…”

แม้ยังพูดไม่ทันจะจบคำ แต่เขาก็เข้าใจความหมายนั้นดี ชื่อที่หลัวจี๋ตั้งให้นั้นคือเกียรติยศสูงสุดในเผ่า และเขาทำไรไปบ้างเล่า? เขาแค่จับปลาได้ไม่กี่ตัวเท่านั้นเอง ทำไมถึงได้ชื่อแล้วล่ะ?

เมื่อเห็นความกังวลใจของชายวัยกลางคน หลัวจี๋ก็ยิ้มและตบไหล่เขา “เดี๋ยวนายก็มีโอกาสจะได้พิสูจน์ตัวเอง ฉันจะตั้งชื่อให้นาย แต่ก็แล้วแต่นะว่านายจะเปิดเผยให้คนอื่นเมื่อไหร่”

ราวกับหลัวจี๋เข้าใจในความกังวลของเขา เขาเองก็เข้าใจในสิ่งที่หลัวจี๋พูด ลมหายใจที่เยือกเย็นก็เริ่มเร็วขึ้น เขารู้สึกดีมาก เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความเชื่อใจของหลัวจี๋ในตัวเขา ชายที่อยู่ตรงหน้าเขาที่เขาเคารพสุดหัวใจ ได้ให้โอกาสในการพิสูจน์ตนเองและตอบสนองต่อความคาดหวังของเขา!

เมื่อมองไปที่ชายวัยกลางคนที่สูญเสียความเยือกเย็นไปแล้ว มุมปากของหลัวจี๋ก็เผยอขึ้นเล็กน้อย เมื่อครู่นี้ เขาหันไปมองที่หน้าต่างสถานะของเขาอีกครั้ง และพบว่าค่าความภักดีได้เพิ่มขึ้นจาก 96 เป็น 100 ในทันที!

ในขณะเดียวกัน หลัวจี๋ก็พูดชื่อที่คิดเอาไว้อยู่แล้วออกมา “จ้าวผาน! ตั้งแต่นี้ไปชื่อของนายคือจ้าวผาน”

“จ้าวผาน?”

“ใช่แล้ว จ้าวผาน” หลัวจี๋พยักหน้า เขาไม่ได้ให้จ้าวผานใช้นามสกุลเดียวกับเขา เพราะเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่านามสกุลเขานั้นพิเศษอะไร ในโลกปัจจุบันนั้น นามสกุล “หลัว” เรียกได้ว่าเป็นนามสกุลโคตรโหล ดังนั้นจึงไม่มีอะไรพิเศษ แล้วอีกอย่าง ถ้าใช้นามสกุลเขา เดี๋ยวก็ได้กลายเป็นหลัวผานแทนน่ะสิ? หลัวผาน เข็มทิศ? ถ้าตั้งชื่อนี้ในโลกปัจจุบันขึ้นมาจริงๆก็ได้โดนล้อกันหมดน่ะสิ! (หลัวผานออกเสียงเหมือนกับคำว่าเข็มทิศ 罗盘)

เขาไม่ปล่อยให้จ้าวผานพูดอะไรต่อ หลัวจี๋อธิบายขึ้นมา “คำว่าจ้าวนั้นแปลว่าหิน ฉันหวังว่าเจตจำนงของนายจะหนักแน่นและแข็งแกร่งราวกับหินนะ! อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ”

“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่ครับ!” เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังเพราะความตื่นเต้น ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และความรู้สึกที่อยากจะพิสูจน์ตัวเองก็พุ่งทะยาน ใช่แล้ว เขาต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ตามความคาดหวังของท่านผู้นำ จะต้องพิสูจน์ว่าท่านผู้นำคิดไม่ผิด!

“ดี ฉันจะรอดูผลงานนะ” หลังจากพูดให้กำลังใจจ้าวผานอีกนิดหน่อย หลัวจี๋ก็รีบกลับไปยังเต็นท์ของตัวเอง จากนั้นก็เปิดรายชื่อเพื่อนขึ้นมาและกดที่หน้าต่างแชทกับเกาซู่ เขาคิดว่าจะส่งข้อความไปถามเก่าซู่เกี่ยวกับเรื่องทักษะ

อย่างที่เขาได้ฟังมาก่อนหน้านี้ การส่งข้อความจะต้องใช้แต้มอารยธรรมสิบแต้ม และยังมีการจำกัดจำนวนคำสูงสุดอีก แต่ตอนนี้เขาก็มีแต้มอารยธรรมเยอะพอสมควรแล้ว และนี่ยังเป็นช่วงคุ้มกันมือใหม่ แล้วนี่ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องนายพลของเขาอีก จะให้ใช้แต้มอารยธรรมเป็นสิบหรือร้อย หรือจะพันแต้มเขาก็ไม่หวั่น!

หลังจากเรียบเรียงคำพูด เขาก็รีบอธิบายสถานการณ์ทางฝั่งเขาอย่างรวบรัดและชัดเจน จากนั้นก็กด “ส่งข้อความ” หลัวจี๋คิดว่าคงจะต้องรอคำตอบจากเกาซู่พักหนึ่ง ระหว่างนั้น แม้ว่าเขาจะรู้สึกเป็นกังวลแต่ก็ได้แต่ระงับความร้อนใจเอาไว้และหาอะไรทำเพื่อเบนความสนใจไปก่อน

อย่างไรก็็ตาม เขาไม่คิดว่าเกาซู่จะตอบกลับไวขนาดนี้ หลังจากที่เขาส่งข้อความไป ก็ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีอีกฝ่ายก็ตอบกลับมา หลัวจี๋กดอ่านข้อความอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเห็นเนื้อความแล้ว คิ้วของเขากระตุกขึ้นมาเล็กน้อย

“...”

ใช่ เกาซู่นั่นส่งมาแค่ “...” สามจุดโง่ๆที่บ่งบอกถึงอาการพูดไม่ออกกับใครบางคนที่ทิ้งขว้างคนมีพรสวรรค์ที่จะเป็นนายพลไปตกปลา และยังได้ทักษะชีวิตอย่างตกปลามาด้วย ราวกับกำลังจะถามว่าล้อกันเล่นอยู่หรือเปล่า

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด