ตอนที่แล้วบทที่ 14 ประกาศชัยชนะ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 16 รักษาระดับความภักดี

บทที่ 15 ทักษะใหม่ที่ไม่คาดคิด


ก่อนที่เขาจะผ่านดงป่าไม้ไป เสียงร้องยินดีของชาวเผ่าหมิงจิ่งก็ดังลอดออกมาก่อนเสียอีก เพื่อให้ทุกคนได้เตรียมตัวให้พร้อม เขาได้สั่งให้หลัวจินรีบรุดกลับไปเพื่อแจ้งข่าวให้แก่ทุกคน ในขณะเดียวกันก็ให้เตรียมสมุนไพรและน้ำสะอาดเพื่อเตรียมรักษาพยาบาล ในการต่อสู้ครั้งนี้มีคนบาดเจ็บมากมาย และเพื่อจะรักษากำลังรบให้สูง เขาจึงไม่อยากจะให้ใครติดเชื้อจากแผลจนตาย

หลังจากที่เขาโบกมือตอบรับเสียงเชียร์ของคนในเผ่าเป็นพิธี หลัวจี๋ก็เริ่มบอกให้ทหารที่บาดเจ็บต่อแถวกันเพื่อเตรียมล้างแผลของตน

ส่วนผู้หญิงและเด็กที่ไม่ได้บาดเจ็บก็ถูกบอกให้หาที่ว่างเพื่อตั้งเต็นท์สำหรับคืนนี้ และให้คนในเผ่าของเขาที่ยังว่างอยู่ช่วยนำทางไป ซึ่งนั่นก็จะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในเผ่าอีกด้วย โดยที่เขาหวังว่าเหล่าสมาชิกใหม่นี้จะสามารถปรับตัวให้อยู่ร่วมกับเผ่าเขาได้อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่อธิบายทุกอย่างที่ต้องอธิบายจนหมด หลัวจี๋ที่ตอนนี้ได้มีเวลาพักหายใจในที่สุดก็ออกไปหาน้ำดื่มและพักผ่อน ระหว่างนั้นเขาก็เปิดหน้าต่างสถานะขึ้นมาดูอีกครั้ง ถ้าหากว่าจำไม่ผิด ก่อนหน้านี้ตอนระหว่างสู้เขาได้รับทักษะใหม่มา

เขากดไปที่หน้าต่างสถานะและกวาดสายตาดู ก่อนจะเจอทักษะใหม่อย่างรวดเร็ว…

หาจุดอ่อน (ติดตัว): เมื่อโจมตีใส่จุดอ่อนของศัตรู มีโอกาส 30% ที่จะโจมตีได้อีกครั้ง (ทักษะนี้อยู่ในหมวดหมู่ “ความกล้าหาญ”)

เมื่อเห็นทักษะนี้และนึกถึงการต่อสู้เมื่อก่อนหน้า ตาของหลัวจี๋ก็เป็นประกายในทันที “ก็คิดอยู่ว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่หลังจากเขาแทงหมาป่าเข้าไปที่ระหว่างเอวและท้องของมัน เขาก็รู้สึกราวกับมีอะไรชักนำการโจมตีต่อ เขาไม่คิดว่าตนนั้นมีทักษะหรือความสามารถในการต่อสู้ที่มากพอจะทำเช่นนั้นได้ แต่กลับกลายเป็นว่ามันเป็นเพราะทักษะหาจุดอ่อนนี่เอง

ขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มบอกได้ว่าค่าดาวในแต่ละค่าสถานะนั้นมีผลอย่างไรบ้าง หนึ่งดาวก็คือไก่อ่อน สองดาวคือธรรมดา สามดาวคือดี สี่ดาวคือดีเยี่ยม ห้าดาวคือจุดสูงสุดของสิ่งนั้นๆ!

หากคิดดูตามนี้แล้ว ค่าความกล้าหาญของเขาที่อยู่สูงสุดในระดับสามดาวก็ไม่ได้ดูแย่เกินไป หากค่าความกล้าหาญเพิ่มขึ้นเป็นสามดาว พร้อมด้วยทักษะหาจุดอ่อน ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็คงจะน่าประทับใจพอสมควร แม้ว่าเขาจะไม่ต้องลงไปต่อสู้ก็ตามที แต่การปกป้องตัวเองได้ก็เป็นเรื่องดี

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลัวจี๋ก็ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางการพัฒนาสถานะของเขาในทันที แน่นอนว่าเขาจะทิ้งค่าความกล้าหาญในช่วงแรกๆนี้ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วเขาควรจะฝึกฝน

นอกเหนือจากนี้ หน้าต่างสถานะของเขาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากเท่าไรนัก แม้ว่าจะได้แต้มการทหารมา 5 แต้ม ซึ่งรวมกันแล้วได้ 6 แต้ม ก็ยังต้องใช้อีก 4 แต้มเพื่อจะวิจัย “การลับอาวุธ” ขึ้นเป็นระดับ 1 ซึ่งเขาคาดว่าคงจะต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งเลยทีเดียว

“จะว่าไปแล้ว ถ้าหากเราได้ทักษะมาจากการต่อสู้ คนในเผ่าคนอื่นๆจะมีโอกาสได้รับทักษะพวกนี้ด้วยหรือเปล่านะ?” เมื่อคิดได้เช่นนั้น คนที่หลัวจี๋นึกถึงเป็นคนแรกก็คือหลัวหย่ง เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว หลัวหย่งนั้นก็ดูจะเป็นคนที่มีประสบการณ์มาก ในขณะที่เขากำลังจะหาหลัวหย่งเพื่อจะดูหน้าต่างสถานะ หัวหน้าเผ่าคนเถื่อนที่ล้างแผลเสร็จก็เดินเข้ามาหาเขา

“มีอะไรเหรอ?”

“เอ่อ ท่านผู้นำ….” ไม่ว่าอย่างไรแล้วก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายก็เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน การที่จู่ๆจะให้อีกฝ่ายเปลี่ยนมาเรียกเขาว่า “ท่านผู้นำ” มันก็ดูน่ากระอักกระอ่วนพอสมควร เขากระอักกระอ่วนอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ข้าได้ยินมาจากคนอื่นๆว่าในเผ่านี้มีสิ่งที่เรียกว่า”ชื่อ“อยู่…”

“อ๋อ เรื่องนั้นเอง” หลัวจี๋รู้อยู่แก่ใจ เขาพึ่งจะริเริ่มแนวคิดเรื่องชื่อขึ้นเพียงเมื่อวานนี้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นที่นิยมสำหรับคนในเผ่ามาก และแน่นอนว่าต้องทำประโยชน์บางอย่างถึงจะได้รับชื่อ และมีเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่มี

ในตอนนี้คนที่ได้รับชื่อมานั้นก็เหมือนกับเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ พวกเขาเอาแต่พูดชื่อตัวเองตลอด แล้วก็เตือนให้คนอื่นพูดชื่อของตนตอนคุยกันด้วยเช่นกัน เหล่าคนที่มาใหม่ต่างรู้สึกถึงเรื่องนี้ได้ในทันที สิ่งนี้ทำให้หลัวจี๋รู้สึกอยากจะร้องไห้และหัวเราะออกมาในเวลาเดียวกัน แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำอะไร เพราะหลังจากช่วงคนเห่อของหมดไป เดี๋ยวทุกอย่างก็จะกลับเป็นปกติเอง

“หลัวจิน มานี่ซิ!”

เมื่อได้ยินเสียงเรียกของท่านผู้นำ หลัวจินที่กำลังโม้เกี่ยวกับวีรกรรมอันกล้าหาญของเขาให้เด็กสาวในเผ่าฟังอยู่ก็รีบวิ่งแจ้นเข้ามาในทันใด

หลังจากนั้น หลัวจี๋ก็ตบไหล่หัวหน้าคนเถื่อนและกล่าว “จากนี้ไปพวกเจ้าก็จะกลายเป็นพวกเดียวกันแล้ว ฉันยังมีอะไรที่ต้องทำอยู่ เพราะงั้นช่วยอธิบายเรื่อง”ชื่อ“ให้เขาฟังที”

“ครับผม” หลัวจินรับคำอย่างว่าง่าย

ก่อนจะไป หลัวจี๋ไม่ลืมที่จะเปิดหน้าต่างสถานะของหลัวจินขึ้นมาดู ค่าสถานะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรไปจากเดิม แต่ในหน้าต่างสถานะนั้นมี “กำลังใจสูง” โผล่ขึ้นมา นั่นทำให้หลัวจี๋นึกขึ้นได้ว่าต้องหาเวลาศึกษาเกี่ยวกับ “กำลังใจ” ด้วย

การต่อสู้เมื่อก่อนหน้านี้ตึงเครียดเกินไปจนทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปจนหมด แต่พอนึกขึ้นมาได้แล้ว หลัวจี๋ก็อดกุมขมับด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยไม่ได้ มีอะไรมากมายที่เขาต้องศึกษาและดูแล แต่เรื่องนี้ไม่ได้เร่งด่วนอะไร ไว้ค่อยทดลองพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ก็คงได้

ขณะที่หลัวจี๋กำลังคิดอยู่ เขาก็พบกับหลัวหย่งที่กำลังลับขวานหินทั้งสองอยู่ เขากดเปิดหน้าต่างสถานะขึ้นมาโดยไม่ไปรบกวน และก็พบว่าค่าความกล้าหาญของหลัวหย่งได้กลับมาอยู่ที่สามดาวเหมือนเดิมแล้ว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือทักษะต่างหาก!

เขากวาดสายตาลงไป และเมื่อเขาอ่านแถบทักษะจนหมด สีหน้าของหลัวจี๋ก็แสดงให้เห็นถึงความยินดียิ่ง หลัวหย่งได้ทักษะใหม่!

หมาป่าเดียวดาย (ติดตัว): ระหว่างการต่อสู้ หากไม่มีกองกำลังฝ่ายพันธมิตรในรัศมี 100 เมตรโดยยึดตนเป็นศูนย์กลาง ความสามารถในการต่อสู้โดยรวมจะเพิ่มขึ้น 60% (ทักษะนี้ได้โบนัสจาก “ความกล้าหาญ”)

เมื่ออ่านชื่อและคำอธิบายของทักษะ สีหน้าของหลัวจี๋ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป ก่อนจะกลายเป็นสีหน้าปั้นยากในที่สุด เอาจริงๆแล้ว ทักษะใหม่นี้ดูไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก

การต่อสู้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ทำให้หลัวจี๋เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าโลกใบนี้ไม่ใช่ที่ๆจะมาทำตัวเป็น “นักรบไร้เทียมทาน” ได้

เหตุผลหลักที่หลัวหย่งสามารถทะลวงผ่านฝูงหมาป่าที่ล้อมไว้และฆ่าจ่าฝูงไปได้นั้นก็เพราะหมาป่านั้นรีบร้อนที่จะเข้าล้อมเขา จึงทำให้รูปขบวนไม่แน่นหนา นั่นทำให้หลัวหย่งมีโอกาสที่จะทะลวงผ่านออกไปได้ ที่หลัวจี๋สั่งการไปเช่นนั้นก็เพราะเขาเห็นถึงเรื่องนั้น แต่การกระทำเช่นนี้นั้นเสี่ยงเป็นอย่างมาก แต่ในเวลานั้นไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

แต่นั่นเป็นกรณีพิเศษ ถ้าหากว่าในอนาคตต้องออกรบกับเผ่าอื่น หากอีกฝ่ายมีแค่ไม่กี่สิบคนก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าอีกฝ่ายมีเป็นร้อยเป็นพันล่ะ? หากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูมากเช่นนั้น ถึงความกล้าหาญของหลัวหย่งจะพุ่งทะยานขึ้นเป็นระดับสี่ แต่เขาก็คงจะไม่ได้กลับมาอีกเลย และหลัวจี๋ไม่คิดจะเสี่ยงกับนักรบมือหนึ่งของเขา เพราะฉะนั้นแล้ว ทักษะนี้จึงดูไม่ค่อยจะดีเท่าไรนัก

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด