บทที่ 31 ไอ้ขยะจ้าวซืองั้นเหรอ?
บทที่ 31 ไอ้ขยะจ้าวซืองั้นเหรอ?
“จ้าวซือ นี่นายรู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่?” ใบหน้าของหลิวฉินหยางแดงเถือกไปจนถึงลำคอ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจ้าวซือจะหน้าหนาได้ขนาดนี้
ในตอนนี้เขาคิดที่จะสั่งสอนฮวงเฟิงให้รู้สำนึกเสียบ้างแต่เมื่อเขานึกถึงการตบหน้าอย่างประหลาดของฮวงเฟิงและข่าวลือที่ว่าเขาเอาชนะรุ่นพี่ทีมบาสของโรงเรียนได้ เขาจึงไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรจ้าวซือ
“หลิวฉินหยาง กรุณาสำรวมด้วยนะ” ฮันไป่เสวี่ยรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยที่เธอเห็นหลิวฉินหยางทำกับคนที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้เช่นนี้
จากนั้นเธอก็กล่าวกับจ้าวซือว่า “ในเมื่อนายตัดสินใจแล้ว งั้นก็มากับฉันพวกเราไปพบศาสตราจารย์หูตอนนี้เลย”
หลังจากที่พูดจบฮันไป่เสวี่ยก็พาจ้าวซือออกไปอย่างสงบ
“แม่งเอ้ย! แม้แต่อาจารย์ฮันก็ยังโครตรจะลำเอียงเลย!” เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนลับตาไปแล้ว หลิวฉินหยางก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ
ในขณะเดียวกันก็มีมือๆ หนึ่งวางลงบนไหล่ของเขา นั่นคือเฉียนเฟิงนั่นเอง “หลิวฉินหยาง ฉันเองก็คิดว่าทั้งศาสตราจารย์หูและอาจารย์ฮันทำกับนายมากเกินไปหน่อยนะ นายเป็นถึงที่หนึ่งของโรงเรียนและนายก็ยังเป็นหน้าเป็นตาของห้องเราด้วย แล้วจ้าวซือมีสิทธิ์อะไรที่จะมาเสวยสุขแทนนาย!?”
หลิวฉินหยางมองไปที่เฉียนเฟิง แววตาของเขาไหวระริ นอกจากจะจี้ใจดำเขาแล้ว ความโกรธในหัวใจของเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นพ้องกันแล้ว เพื่อนร่วมชั้นที่อยู่ข้างๆ เฉียนเฟิงต่างก็ชูกำปั้นขึ้นและตะโกนว่า "นักศึกษาทั้งหลาย ฉันทนดูต่อไปไม่ได้แล้ว พวกเราควรจะไปหาศาสตราจารย์หูด้วยกันและแสวงหาความยุติธรรมให้หลิวฉินหยางจริงไหม!?"
“ใช่ วันนี้พวกเราจะไม่ยอมนั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย ไม่งั้นความอยุติธรรมก็จะตกอยู่ที่เราไม่ช้าก็เร็ว!”
“ใช่แล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ทุนการศึกษาและที่นั่งสำหรับการเข้าแข่งขันทั้งหมดก็จะถูกจ้าวซือยึดครองไป!”
“ที่บ้านเขามีตำราทางการแพทย์ของบรรพบุรุษอยู่ไม่ใช่เหรอ!? เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนักศึกษาของศาสตราจารย์หูหรอกนะ!”
เมื่อมองดูบรรดานักศึกษาที่อยู่ข้างเขาซึ่งเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองหลิวฉินหยางก็รู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้เขายังชูกำปั้นขึ้นและกล่าวว่า "นักศึกษาทั้งหลาย พวกเราไปตามหาศาสตราจารย์หูกันเถอะ!"
เพียงเท่านั้นนักศึกษากลุ่มนั้นจึงมาที่ห้องทำงานของศาสตราจารย์หูด้วยท่าทีที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาตะโกนสโลแกนเสียงดังว่า:
“ไอ้ขยะจ้าวซือ ยกเลิกที่ปรึกษาซะแล้วแสวงหาความยุติธรรมให้หลิวฉินหยาง! ไอ้ขยะจ้าวซือ ยกเลิกที่ปรึกษาซะแล้วแสวงหาความยุติธรรมให้หลิวฉินหยาง!” นักศึกษาที่มาชุมนุมเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนนักศึกษาในชั้นเรียนและก็มีบางส่วนจากชั้นเรียนอื่นๆ ซึ่งผลการเรียนส่วนใหญ่ของนักศึกษาเหล่านี้อยู่เหนือจ้าวซือ
เมื่อเห็นใบหน้าของคนเหล่านี้ จ้าวซือก็ส่ายหัวอย่างสนุกสนาน เป็นไปตามที่คาดไว้ ตราบใดที่มันเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของตนเอง ใครจะกระทำโดยไม่ลังเล ในช่วงเวลานี้มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมชั้นไม่น่าพูดถึงเลยแม้แต่น้อย
นักศึกษาโดยรอบที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็มารวมตัวกัน
"นี่มันเกิดอะไรขึ้น!?"
“จ้าวซือ เขาเป็นน้องใหม่ที่แสดงความคิดเห็นในการบรรยายสาธารณะไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันได้ยินมาว่าศาสตราจารย์หูรับเป็นที่ปรึกษาให้เขา แต่เด็กคนนี้ไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นไปตามความคาดหวังของนักศึกษาพวกนั้น...”
ในเวลานี้อาจารย์ทั้งหลายในสำนักงานต่างก็ออกมารักษาความเรียบร้อย
“นักศึกษา นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ศาสตราจารย์หูซึ่งมีส่วนร่วมในเรื่องนี้จึงออกมา ทำให้ผู้ฟังทั้งหมดเงียบเสียงลง
ฮันไป่เสวี่ยซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ศาสตราจารย์หูเห็นดังนี้และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอมองหลิวฉินหยางอย่างตำหนิเล็กน้อยซึ่งทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
“ศาสตราจารย์หู ผมขอคัดค้านเรื่องนี้ครับ!” หลิวฉินหยางกล่าวอย่างตรงประเด็น “ผมไม่มีข้อโต้แย้งแม้ว่าคุณจะไม่ยอมรับผมเป็นนักศึกษาของคุณ แต่จ้าวซือมีสิทธิ์อะไรอาจารย์ถึงได้ยอมรับเป็นที่ปรึกษาให้เขา? เขาคู่ควรอย่างนั้นหรือครับ?”
“พูดได้ดี จ้าวซือไม่คู่ควรเลย!” มีใครบางคนตอบ
เมื่อศาสตราจารย์หูได้ยินดังนั้น เขาก็ขมวดคิ้ว “จ้าวซือตอบคำถามของฉันในการบรรยายสาธารณะได้อย่างดีเยี่ยม เขาให้คำแนะนำที่สร้างสรรค์สำหรับแนวทางการรักษาของท่านซุนฝาง แล้วทำไมเขาถึงจะไม่คู่ควรล่ะ?”
“แต่ผลการทดสอบของของจ้าวซืออยู่แค่ในระดับกลางค่อนข้างต่ำเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลยแม้แต่น้อย! คะแนนการสอบเข้าของเขาก็แค่โชคดี เขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ด้วยคะแนนที่คาบเส้น! เหตุผลที่เขาสามารถตอบคำถามของศาสตราจารย์หูได้ก็เป็นเพราะเขาแค่โชคดีที่มีตำราการรักษาของบรรพบุรุษอยู่ที่บ้าน!” หลิวฉินหยางคัดค้านจ้าวซืออย่างบ้าคลั่ง ข้างหลังเขาก็มีเสียงเชียร์จากเพื่อน
“นี่…” ศาสตราจารย์หูต้องการที่จะหักล้าง แต่ครูข้างๆ พยายามห้ามปรามเขา “ศาสตราจารย์หู ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ควรทำให้นักศึกษาลุกฮือจะดีกว่านะคะ...”
ในตอนนี้ต่างก็เกิดความโกลาหล “อธิการบดีหลิวมาแล้ว!”
เมื่อได้ยินว่าอธิการบดีหลิวมาถึงที่นี่ หลิวฉินหยางและคนอื่นๆ ก็มี จินตนาการในใจอย่างไม่รู้ตัว แต่เมื่อพวกเขาคิดว่าพวกเขามาแสวงหาความยุติธรรม พวกเขาก็ต้องจุกที่อกอีกครั้ง
จ้าวซือเคยเห็นอธิการบดีหลิวมาแล้วครั้งหนึ่งในระหว่างพิธีเปิดการศึกษา เขาเป็นชายวัยกลางคนพุงโตที่ดูจริงจังและเข้มงวด
หลังจากที่สอบถามเรื่องราวแล้ว อธิการบดีหลิวก็เปิดปากพูดและกล่าวว่า "เรื่องที่ศาสตราจารย์หูต้องการที่จะรับเป็นที่ปรึกษาให้กับจ้าวซือ เหตุผลที่ท่านต้องเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวให้จ้าวซือนั้นถูกต้องแล้ว"
เมื่อคำพูดเหล่านี้ถูกกล่าวออกมาก็ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
หลิวฉินหยางกัดฟัน ถ้าแม้แต่อธิการบดีหลิวก็ยังยืนอยู่ข้างจ้าวซือ มันก็คงจะไร้ประโยชน์ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร
“แต่ว่า…” อธิการบดีหลิวหยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อวา “สิ่งที่พวกคุณพูดนั้นไม่มันสมเหตุสมผล ผลการทดสอบของจ้าวซือนั้นยังขาดอยู่เล็กน้อยจริงๆ”
“ไม่ใช่แค่เล็กน้อยนะครับ มีนักศึกษากี่คนที่อยากเป็นนักศึกษาของศาสตราจารย์หู ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยมีไม่ต่ำกว่าร้อยคนที่มีผลการทดสอบสูงกว่าของจ้าวซือเสียอีก!” มีคนเตือน
อธิการบดีหลิวพยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ นั่นแหละศาสตราจารย์หู ผมคิดว่าพวกเราควรจะพิจารณาเรื่องนี้กันใหม่ คุณมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะรับใครเป็นนักศึกษา แต่ก็ยังต้องพิจารณาถึงผลกระทบด้วย...”
เมื่อศาสตราจารย์หูได้ยินดังนั้น เขาก็ตกอยู่ในห้วงความคิดลึกๆ แต่ทว่าเขาก็เปิดปากพูดทันทีว่า "ในเมื่อปัญหาของจ้าวซืออยู่ที่ผลการเรียนของเขา ถ้าผลการเรียนของเขาดีขึ้น ผมก็จะรับเขามาเป็นนักศึกษาในที่ปรึกษาได้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
“ไม่ครับ การปรับปรุงในผลการเรียนของใครสักคนก็คือการปรับปรุง ต้องมีคำอธิบายเฉพาะใช่ไหมครับ?” นักศึกษาอีกคนกระโดดออกมาพูด ขณะที่เขาพูดเขาก็จ้องมองไปที่จ้าวซือด้วย
อัลปาก้านับหมื่นตัวพุ่งเข้าใส่หัวใจของจ้าวซือ ถ้าเขาไม่ได้เป็นนักศึกษาในที่ปรึกษาของศาสตราจารย์หู คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้เป็น
แต่คำถามนี้อันตรายจริง ๆ ความก้าวหน้ามากน้อยเพียงใดจึงจะถือว่าดีขึ้น?
“ผมคิดว่า อย่างน้อยก็ไม่น่าจะอยู่ห่างจากผลการทดสอบของหลิวฉินหยางมากเกินไปนัก ไม่ว่ายังไงต้องอยู่ในสิบอันดับแรกของมหาวิทยาลัยให้ได้!
”
“ฮ่าฮ่า ฉันคิดว่าพวกเราทำได้นะ ไม่อย่างนั้นฉันก็จะเป็นคนแรกที่ไม่มั่นใจ!”
“เอ่อ... ถ้าผลการทดสอบของจ้าวซืออยู่ในสิบอันดับแรกของทั้งมหาวิทยาลัย คงจะไม่มีใครพูดอะไรแล้วสินะ…”
ภายใต้การนำของนักศึกษาคนหนึ่งที่ได้สร้างความกดดันอย่างมากต่อความคิดเห็นของนักศึกษาคนอื่นๆ
ไม่ว่าอาจารย์หูจะอารมณ์ดีแค่ไหนแต่ตอนนี้เขาก็ชักจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจเสียแล้ว เพราะผลการทดสอบในปัจจุบันของจ้าวซือนั้นอยู่ในลำดับหลักร้อย แล้วอยู่ๆ จะให้ผลการทดสอบของเขาพุ่งขึ้นมาสู่สิบอันดับแรก มันจะไม่เป็นการสร้างปัญหาให้กับเขาอย่างนั้นหรือ?
อธิการบดีหลิวก็ยังรู้สึกว่าค่อนข้างไม่เหมาะสมและอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“นี่มันเรื่องไร้สาระ...” ฮันไป่เสวี่ยกัดฟันแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ศาสตราจารย์หูและอธิการบดีหลิวต่างก็อยู่ที่นี่ด้วย เธอจึงพูดอะไรไม่ได้
เมื่อเห็นว่าศาสตราจารย์หูและคนอื่นๆ ตกที่นั่งลำบาก จ้าวซือก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและก้าวไปข้างหน้า “ขอโทษนะ ถ้าฉันสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ พวกนายจะสังสัยอะไรในตัวฉันอีกไหม?”
หลิวฉินหยางที่ไม่อยากจะตกเป็นรอง ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว "สำหรับคนอื่นฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้านายสามารถติดหนึ่งในสิบของมหาวิทยาลัยได้ ฉัน หลิวฉินหยาง จะขอโทษนายต่อหน้าทุกคนในมหาวิทยาลัย!"
“แค่นั้นเองเหรอ?” จ้าวซือหาว “นายจะขอโทษฉันต่อหน้าทุกคนในมหาวิทยาลัย แล้วฉันล่ะได้อะไร?”
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหลิวฉินหยางเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเป็นอย่างมาก การทำให้เขาต้องขอโทษต่อหน้าทุกคนในมหาวิทยาลัยเท่ากับการฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็นในที่สาธารณะ
จ้าวซือยังคงไม่พอใจกับเรื่องนี้ เพราะว่าถึงแม้ว่าเขาจะเห็นด้วย แต่เขาก็ยังต้องแบกรับความเสี่ยง
“แล้วนายยังจะต้องการอะไรอีก” หลิวฉินหยางกัดฟัน
จ้าวซือพยักหน้า "เอาแบบนี้เป็นไง ถ้าฉันทำได้ต่อไปนายต้องคอยรับคำสั่งของฉัน!"
แต่จ้าวซือก็ไม่ได้พูดประโยคสุดท้าย ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะได้ไปส่งอาหารเดลิเวอรี่ก่อนเวลาเลิกเรียนก็ได้!