บทที่ 5 ลูกค้าสาวของผมกำลังตกอยู่ในอันตราย
บทที่ 5 ลูกค้าสาวของผมกำลังตกอยู่ในอันตราย
“ลูกค้ากำลังตกอยู่ในอันตราย!”
หลังจากที่จ้าวซือคิดได้ดังนั้น เขาก็รีบถีบประตูให้เปิดออกและเข้าไปในบ้าน
มีผู้ชายมีกล้ามสามคนอยู่ภายในห้องโถงนั้นกำลังล้อมผู้หญิงคนนั้นที่กำลังถือมีดปอกผลไม้เอาไว้ในมือ และพวกเขาก็กำลังเผชิญหน้ากันอยู่
ในตอนนี้พวกเขาทุกคนต่างก็พากันหันมามองจ้าวซือ
ผู้หญิงที่มีลักษณะและอารมณ์ที่โดดเด่น มีแววตาหวาดกลัวเล็กน้อยน่าจะเป็นฮันไป่เสวี่ย
ชายมีกล้ามทั้งสามคนได้สบตากัน โดยปล่อยให้คนหนึ่งจับตาดูฮันไป่เสวี่ยเอาไว้ ในขณะที่อีกสองคนขยับเข้ามาใกล้จ้าวซือ
“ไม่ว่าแกจะเป็นใคร อย่าเข้ามายุ่งจะดีกว่า ไม่งั้นล่ะก็...”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับภาวะคุกคาม ซึ่งจ้าวซือได้ขัดจังหวะพวกเขาเข้าอย่างจัง
“ผมไม่สนหรอกว่าพวกคุณเป็นใคร แต่ตอนนี้ลูกค้าของผมมีปัญหา ผมคงจะทนดูเฉยๆ ไม่ได้!”
ดวงตาของฮันไป่เสวี่ยเป็นประกายเมื่อเธอได้ยินดังนั้น
เธอนึกขึ้นได้ว่าเธอสั่งอาหารเดลิเวอรี่ไปและดูเหมือนว่าเขาจะมาถึงแล้ว!
แต่... ในฐานะพนักงานส่งของ เขาจะสามารถช่วยเธอแก้ปัญหาได้จริงหรือ?
เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของฮันไป่เสวี่ยก็เผยให้เห็นถึงความกังวล
เมื่อเห็นท่าทางที่แข็งกร้าวของจ้าวซือ ชายมีกล้ามทํ้งสองคนก็มองหน้ากัน แต่เพียงอึดใจต่อมาพวกเขาก็ยิ้มเหยียดและเข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
คนหนึ่งโจมตีที่จุดหนึ่งและอีกคนโจมตีอีกจุดหนึ่ง เป้าหมายของพวกเขาก็คือที่ใบหน้าและหน้าท้องของจ้าวซือซึ่งเป็นจุดสำคัญทั้งสองที่
ฝ่ายตรงข้ามมีอาวุธ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ให้ความร่วมมือแต่พวกเขายังเข้าจู่โจมอย่างโหดเหี้ยมอีกด้วย
ถ้าจ้าวซือเป็นเพียงคนธรรมดา การจู่โจมครั้งนี้อาจทำให้เขาต้องถึงกับได้แผลหรืออาจจะตายเลยก็เป็นได้
แต่น่าเสียดายที่จ้าวซือไม่ใช่แบบนั้น!
จ้าวซือยกมือขึ้นเพื่อป้องไม้พลองที่เล็งมาที่ใบหน้าของเขา ในขณะที่อีกคนที่จู่โจมหน้าท้องของเขา เขากลับไม่ได้สนใจมันเลย!
ลมปราณภูติอุดร!
ปัง!
เสียงกระแทกหนักๆ ดังขึ้นสองครั้ง จากนั้นชายมีกล้ามทั้งสองคนก็ลอยหวือออกไป
ไม้พลองในมือของพวกเขาถูกทำลายในทันที และเนื้อระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของพวกเขาดูเหมือนจะถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ เนื่องจากแรงกระแทกอันมหาศาล
ทั้งสองคนรีบลุกขึ้นจากพื้นด้วยความกลัว และใบหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลงทันทีเหมือนหนูที่เห็นแมว
จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น
“หรือว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้หรือผู้มีความสามารถพิเศษหรือเปล่านะ?!”
รวมถึงชายร่างกำยำที่กำลังจับตาดูฮันไป่เสวี่ย หัวใจของเขาก็กำลังสับสนวุ่นวาย
ดวงตาของฮันไป่เสวี่ยเป็นประกายเมื่อเธอมองไปที่จ้าวซือด้วยความชื่นชม
ถ้าเธอยังคงคิดว่าจ้าวซือเป็นแค่พนักงานส่งอาหารธรรมดาๆ อีกก็คงจะคิดช้าไปหน่อย!
“ผมจะให้เวลาคุณห้าวินาที ให้ออกจากบ้านลูกค้าของผมซะ”
จ้าวซือกล่าวด้วยเสียงทุ้ม
"ไปกันเถอะ..."
ชายมีกล้ามทั้งสามคนเดินไปที่ประตู
แต่ไม่ว่าพนักงานส่งอาหารคนนี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจที่จะใช้ร่างกายของเขาเพื่อป้องกันตัวจากมีดพับถึงสามอันที่เข้าจู่โจมเขาพร้อมกันได้!
"ระวัง!"
ฮันไป่เสวี่ยอุทาน
แต่ในเวลาต่อมาดวงตาของฮันไป่เสวี่ยก็แทบจะเหมือนคนบ้า
มีดถูกฟันเข้าใส่จ้าวซือจากทุกทิศทุกทาง ร่างกายของจ้าวซือแกว่งไปมาและจู่ ๆ ก็กลายเป็นเหมือนผี มีดที่กระหน่ำฟันเข้าใส่ตัวเขาได้ทะลุผ่านร่างกายของเขาไปหลายต่อหลายครั้ง แต่มันไม่โดนแม้กระทั่งผมของเขาด้วยซ้ำ
ฝ่ามือไร้กังวล!
ในตอนนี้จ้าวซือกำลังใช้วิชาฝ่ามือไร้กังวลที่ได้มาจากการชำระเงินอนันตภพ
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! เคล็ดวิชาฝ่ามือไร้กังวลนี้มีเทคนิคการเคลื่อนไหวเป็นของตัวเอง ทันทีที่ใช้เคล็ดวิชานี้แม้แต่กระสุนปืนก็ไม่อาจที่จะยิงโดนเขาได้ แล้วนับประสาอะไรกับมีดเพียงไม่กี่เล่ม!
ปัง! ปัง!
เสียงกระแทกหนักๆ ดังขึ้นอีกสามครั้ง ในขณะที่ชายมีกล้ามทั้งสามคนถูกซัดจนลอยหวือไปไกลเหมือนว่าวที่เชือกขาด
สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดนั่นก็คือ มีดพับที่เคยอยู่ในมือของพวกเขาตอนนี้ได้ตกไปอยู่ในมือของจ้าวซือแล้ว
นี่เป็นการกำหราบขั้นเด็ดขาด!
ในตอนนี้ทั้งสามคนนอนอยู่บนพื้น ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัวที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
นี่ขนาดว่าใช้ฝ่ามือเพียงข้างเดียวเท่านั้นก็ยังไม่รู้ว่ากระดูกของคนพวกนั้นหักไปกี่ชิ้นแล้ว ถ้าเขาอยากจะฆ่าพวกนั้นจริงๆ ล่ะก็มันจะไม่ง่ายเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้นหรอกหรือ?
“ไอ้พวกสารเลว!”
จ้าวซือตะโกน
ทั้งสามคนรีบหนีไปด้วยความกลัวจนขนหัวลุก
“ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว” ฮันไป่เสวี่ยเดินมาที่ด้านข้างของจ้าวซืออย่างเขินอาย
เขาได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ อายุยังน้อยเพียงนี้ไม่เพียงแต่เขาจะแข็งแกร่งเท่านั้น แต่รูปลักษณ์และอารมณ์ของเขาก็ไม่เลวเสียด้วย ผู้หญิงคนไหนก็ต้องอยากเป็นของเขา
จ้าวซือยิ้มและหยิบของที่เขาวางไว้บนพื้น "ทานตอนร้อนๆ นะครับ"
ฮันไป่เสวี่ยมองดูจ้าวซือด้วยแววตามที่หลากหลาย
ในเวลานี้จ้าวซือเพิ่งจะมีโอกาสได้เห็นใบหน้าของฮันไป่เสวี่ยชัดๆ ดูเหมือนเธอจะอายุประมาณ 20 ปี ใบหน้าของเธองดงามและผิวของเธอก็ขาวราวกับหิมะ เธอเป็นผู้หญิงประเภทที่ดูแลตัวเองดีและมีอารมณ์แปรปรวน
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะ” จ้าวซือวางแผนที่จะจากไป
ฮันไป่เสวี่ยกล่าวว่า "ถ้าคุณไม่รังเกียจ นั่งลงและดื่มชาสักถ้วยก่อนสิคะ"
จ้าวซือตกตะลึงและไม่ปฏิเสธ
ประการแรก เนื่องจากนี่ก็ยังหัววันอยู่และน้องสาวของเขาอาจจะยังไม่กลับบ้าน เขาจึงไม่มีอะไรทำเมื่อเขากลับบ้านไป
ประการที่สองก็คือ จ้าวซือเองก็สนใจฮันไป่เสวี่ยด้วยเหมือนกัน
ครึ่งชั่วโมงต่อมาฮันไป่เสวี่ยเช็ดปากของเธอด้วยความพึงพอใจ “ปลาย่างนี้อร่อยเหลือเกิน แต่ทำไมเมื่อก่อนที่ฉันเคยสั่งไม่เห็นจะอร่อยแบบนี้เลย?”
จ้าวซืออดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ก็เพราะว่าผมเป็นคนลงมือทำปลาย่างนี้เองน่ะสิ”
"จริงเหรอ?" ฮันไป่เสวี่ยมองดูจ้าวซือด้วยแววตาที่ต่างออกไป
อายุยังน้อยแต่ยังแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ แถมยังมีฝีมือการทำอาหารอีก...
ผู้ชายแบบนี้เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร!
เมื่อคิดได้ดังนั้นฮันไป่เสวี่ยก็หน้าแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมีความคิดแบบนั้น
หลังจากนั้น... ทั้งสองคนก็คุยกันอย่างมีความสุขและแลกไลน์กัน
“ไม่คิดเลยว่าเธอจะเป็นคนเขียนวิทยานิพนธ์ทางการแพทย์ไม่กี่ฉบับที่เพิ่งจะสร้างความฮือฮาเมื่อนานมานี้ จริงๆ แล้วเธอต้องการให้ฉันอยู่ที่บ้านของเธอ ทำงานเป็นบอดี้การ์ดและพาร์ทไทม์เชฟให้เธอด้วย...”
ระหว่างทางกลับบ้านจ้าวซือรู้สึกร่าเริง
เงื่อนไขของฮันไป่เสวี่ยน่าสนใจไม่น้อย ไม่เพียงแต่เขาจะได้กินและอาศัยอยู่กับสาวสวยในคฤหาสน์แห่งนั้นแล้ว แต่เขาจะยังได้รับเงินเดือนที่สูงมากอีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่เตรียมจะเข้าโรงเรียนแพทย์ เขาก็สามารถขอคำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาทางวิชาการจากฮันไป่เสวี่ยได้อีกด้วย นี่มันเป็นธุรกิจที่ได้กำไรจริงๆ
แค่ก แค่ก แต่เมื่อจ้าวซือคิดว่าเขายังมีน้องสาวที่ต้องดูแล และในอนาคตเขาต้องไปส่งออเดอร์แห่งอนันตภพ ดังนั้นเขาจึงต้องปฏิเสธงานนี้ไป
เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เขาจึงฉวยโอกาสในช่วงที่น้องสาวของเขายังไม่กลับมาทำอาหารจานใหญ่จนเต็มโต๊ะ
...
“ว้าว กลิ่นหอมมากเลยพี่ชาย!”
ช่วงเวลาที่จ้าวเมิ่งผลักประตูเข้ามา เธอรู้สึกว่ามีกลิ่นตลบอบอวนจนน่าตกใจกระทบใบหน้าของเธอ
เธอหิวมากจนน้ำลายแทบไหล ดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นสีเขียวจากนั้นเธอก็สลัดคราบการเป็นสาวสวยออกไป
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน พี่กำลังรอเธอกลับบ้านมากินข้าวด้วยกัน” จ้าวซือยิ้มและตักข้าวให้กับจ้าวเมิ่ง
ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน ซุปไข่มะเขือเทศ ซี่โครงหมูสมุนไพร...
ทั้งโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารประจำบ้านที่คุ้นเคย อาหารแต่ละจานก็มีเสน่ห์ด้วยสีสันและกลิ่นหอม
"ว้าว อร่อยจังเลย!"
"นี่ก็อร่อยเหมือนกัน!"
“ฝีมือของพี่นี่ยอดเยี่ยมแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่!”
“พี่ชาย พี่สุดยอดไปเลย ฉันชอบมาก!”
จ้าวเมิ่งเคี้ยวข้าวจนเต็มปาก เฉพาะในบ้านหลังนี้เท่านั้น ที่เธอจะได้เป็นตัวของตัวเองที่สุด
“ฮ่าฮ่า อย่าพูดเหลวไหลน่า รีบกินเถอะ” จ้าวซืออารมณ์ดี
หลังอาหาร ดูเหมือนว่าจ้าวเมิ่งต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ห้ามปากเอาไว้
“เป็นอะไรไป? มีอะไรในใจหรือเปล่า?” จ้าวซือสังเกตเห็นถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของน้องสาวของเขา
จ้าวเมิ่งถอนหายใจและพูดอย่างลังเลว่า “ระบบที่โรงเรียนได้รับการปรับโครงสร้างใหม่ พวกเราจะต้องจ่ายค่าข้อมูลประจำปีและค่าเทอมในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว...”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหัวใจของจ้าวซือก็รู้สึกเหมือนถูกบีบ “เธอต้องการสักเท่าไหร่?”
"สองพันสำหรับค่าข้อมูลและแปดพันสำหรับค่าเทอม" จ้าวเมิ่งกล่าวอ้อมแอ้มและรู้สึกผิด "ตอนนี้ฉันเก็บเงินได้ยังไม่ถึงพันเลย"
จ้าวซือพยักหน้า เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโอนเงินในบัญชีของเขาที่เหลืออยู่กว่าหนึ่งพันหยวนให้กับจ้าวเมิ่ง ซึ่งเขาเหลือเงินติดบัญชีไว้ใช้จ่ายส่วนตัวเพียงแค่หนึ่งร้อยเหรียญ
“เธอเอาไปจ่ายค่าข้อมูลก่อนก็แล้วกัน ที่เหลือก็เอาติดตัวไว้ แล้วอีกสองวันพี่จะหาค่าเทอมมาให้”
จ้าวเมิ่งรีบกล่าวว่า “พี่ชาย พี่ไม่ต้องให้เงินฉันเอาไว้ใช้จ่ายส่วนตัวหรอกนะ ถ้าค่าเทอมไม่พอ เดี๋ยวฉันจะทำงานพาร์ทไทม์เพิ่มอีกสักสองสามที่…”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอกนะ พวกเราจะต้องมีเงินเร็วๆ นี้แหละ” เมื่อเห็นท่าทางที่น่าสงสารและน่ารักของจ้าวเมิ่ง เขาก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เธอตั้งใจเรียนไปเถอะ ถ้าอยากจะเป็นครูสอนพิเศษตามบ้านเธอก็ทำต่อไปได้ เอาไว้พี่มีเงินพี่จะช่วยเธอจ่ายค่าคลาสเรียนเต้นรำที่เธออยากจะเรียนมาตลอดแล้วกันนะ”
“โอเคค่ะ!” เมื่อเห็นว่าจ้าวซือมีท่าทางมั่นใจ จ้าวเมิ่งจึงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง