ตอนที่แล้วราชินีอารัคเน่ ตอนที่ 5 : ตระกูลปีเตอร์เลอร์
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปราชินีอารัคเน่ ตอนที่ 7 : สี่มหาวิทยาลัยที่ยิ่งใหญ่

ราชินีอารัคเน่ ตอนที่ 6 : ดยุคคลั่ง


ตอนที่ 6 : ดยุคคลั่ง

เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ผู้บังคับบัญชาการปีเตอร์เลอร์ ได้ฝึกฝนจนเข้าสู่ในระดับสภาวะขั้นเทพและเกียรติยศของเขาในกองทัพนั้นไม่มีใครเทียบได้เลยในหมู่เพื่อนฝูงของเขา เขาเป็นผู้นำกองเรือ ' ลำดับที่หนึ่ง ' ของกองทัพจักรวรรดิและทำการรบอยู่ในแนวหน้าของการทำสงครามกับเผ่าพันธุ์อินเซคทอยด์ (เผ่าพันธุ์แมลง)

เผ่าพันธุ์อินเซคทอยด์ถือเป็นโรคระบาดของจักรวาลและประกอบด้วยสัตว์ประหลาดจำนวนหลายพันเผ่าพันธุ์ บางตัวมีรูปร่างเหมือนมนุษย์และมีสติปัญญาเทียบเท่ามนุษย์ในขณะที่บางตัวก็เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น

มนุษยชาติมีส่วนร่วมในการต่อสู้อันขมขื่นกับกลุ่มอินเซคทอยด์เป็นเวลาหลายร้อยปีในการครอบครองดาวเคราะห์และระบบดาวบางดวง ทั้งสองฝ่ายได้กระทำความโหดร้ายทารุณต่อกันมากเกินไป ดังนั้นการจะผลักดันให้มีการเจรจาต่อรองจึงไม่เคยถูกพิจารณาว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสม

ในขณะที่อาณาจักรทางช้างเผือกอื่นๆ ของยูโนวา และ เฟเดอร์รีน ยังสามารถเจรจากันได้....ในระดับหนึ่ง

ความบาดหมางระหว่างมนุษยชาติกับเผ่าพันธุ์อินเซคทอยด์หมายความว่าจะไม่มีใครพอใจทั้งนั้น จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะถูกกำจัด มนุษย์มีความได้เปรียบในแง่ของพลังตามธรรมชาติและความแข็งแกร่งด้วยพลังจากการฝึกฝนเพิ่มเติมพร้อมกับเทคโนโลยี แต่พลังการสืบพันธุ์อย่างเต็มที่ของเผ่าพันธุ์อินเซคทอยด์นั้น ทำให้ชัยชนะแทบไม่มีความหมาย

สถานะของสงครามคงอยู่กับที่และไม่มีฝ่ายใดสามารถได้เปรียบเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง

ณ ช่วงเวลานั้น ดยุคถูกวางกำลังบนชายแดนดาวเนปจูนเพื่อเสริมกำลังและปกป้องรูหนอนทางการค้าที่ตั้งอยู่ใกล้ดาวเคราะห์

นับเป็นเวลาสองสามปีที่ไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น จนกระทั่งในคืนหนึ่งที่มีการลอบโจมตีในช่วงเทศกาลลูโมนิซ่า ผู้บังคับบัญชาการปีเตอร์เลอร์นำกองกำลังของเขาปกป้องรูหนอนด้วยชีวิตของเขาและพยายามที่จะทำมันให้ประสบความสำเร็จในทุกวิถีทาง

มันมีราคาที่ต้องจ่ายจำนวนมหาศาลและชีวิตของทหารหลายแสนนายต้องสูญเสียไป ในการต่อสู้ของดยุคกับผู้บัญชาการของฝั่งศัตรูได้ลากทั้งสองคนเข้าไปในรูหนอนเพื่อเปลี่ยนกระแสการต่อสู้

จู่ๆ ก็มีข้อความด่วนส่งมาจากฐานบัญชาการ และกองกำลังท้องถิ่นหลายร้อยคนได้เดินทางมาถึงที่ปลายทางของรูหนอนเพื่อสนับสนุนท่านดยุค

แต่กลับไม่มีใครออกมาจากอีกด้านหนึ่งเลย

รูหนอนได้ส่งทั้งดยุคหนุ่มและผู้บัญชาการศัตรูไปยังที่ที่ไม่ทราบตำแหน่งในจักรวาล และเครื่องติดตามที่ฝังอยู่ในเครื่องแบบของเขาไม่สามารถระบุตำแหน่งได้

ตามที่คาดไว้ ดยุคถูกสันนิษฐานว่าเสียชีวิต และมีการถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมาหลายครั้งจากตระกูลผู้สูงศักดิ์อื่นๆ ในรัฐสภา

ความสามารถในการฝึกฝนของเขานั้นอันตรายเกินไป

การโจมตีครั้งนี้เป็นที่น่าสงสัยเป็นอย่างมาก เนื่องจากไม่มีข้อบ่งชี้หรือคำเตือนถึงการบุกรุกของกองกำลังชายแดน แล้วอินเซคทอยด์จะทราบได้อย่างไรว่ามีการจัดงานเทศกาลขึ้นโดยไม่ได้รับการประกาศ ซึ่งมันยังคงเป็นปริศนาอยู่

มีการร้องเรียนเล็กน้อยจากเจ้าหน้าที่ในกองลำดับที่หนึ่ง ว่าควรมีการตรวจสอบการโจมตีเพื่อหาสายลับที่ซ่อนอยู่ภายในกลุ่มของพวกเขา แต่มันก็ไม่ได้มีการสอบสวนอย่างเป็นทางการใดๆเกิดขึ้น

หากดยุคไปถึงขั้นสภาวะขั้นขึ้นสวรรค์ เขาจะสามารถท้าทายอำนาจของราชวงศ์ได้โดยลำพัง

สิบปีต่อมา ดยุคได้กลับมายังดาวไกอาพร้อมกับลูก

เขาดูแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจนถึงขั้นที่ผู้คุมชายแดนคิดว่าเขาเป็นดยุคตัวปลอม ดยุคสามารถฟื้นวัยหนุ่มของเขาได้ด้วยเทคนิคการฝึกตนชั้นสูง แต่เมื่อเขากลับมาดูเหมือนจะมีอายุหลายสิบปี

ตอนนี้เขาดูเหมือนชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาที่มีผมหงอกซึ่งมันกลับเพิ่มเสน่ห์ให้กับเขาเสียอย่างนั้น สิ่งนี้นำไปสู่ข่าวลือที่ว่า ระดับการฝึกตนของเขานั้นถดถอยลง แต่ผู้ฝึกตนระดับสูงนั้นรู้สึกได้ว่ารัศมีของเขายังคงไม่สามารถหยั่งถึงได้

ในขณะที่ดยุคก่อนเปล่งความคมของดาบที่ไม่มีฝัก ชายที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ก็สงบนิ่งราวกับทะเลสาบที่ลึกเสียจนไม่มีใครสามารถจะมองเห็นได้ถึงระดับความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาเลย

การมาถึงของเขาทำให้เกิดคลื่นในรัฐสภา และเขาก็ถูกเรียกตัวในทันทีเพื่ออธิบายการหายตัวไปของเขาต่อหน้าราชวงศ์ เรื่องราวที่เขาเล่ามาคือรูหนอนได้พาตัวเขาและผู้บัญชาการฝั่งศัตรูไปยังดาวเคราะห์น้ำแข็งที่เขาไม่รู้จักใน‘ ระบบเทร่า ’ ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบที่ควบคุมโดยอินเซคทอยด์

เขาฆ่าผู้บัญชาการของศัตรูและใช้เวลานับสิบปีที่ผ่านในการมาเดินทางเข้าไปในดินแดนของศัตรูและพยายามหาทางกลับมายังสหพันธ์

มีคำถามเข้ามามากมาย เช่น

“มันเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะรอดชีวิต ?” “ทำไมเขาใช้เวลานานจังกว่าจะได้กลับมา ?”

“ใครคือเด็กที่เขาพากลับมากับเขาด้วย ?”

ดยุคนิ่งเงียบและให้คำอธิบายที่คลุมเครือเกี่ยวกับการเดินทางของเขาโดยที่ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลมากจนเกินไป ทำให้พระราชารู้สึกไม่พอใจกับคำตอบที่ได้รับ แต่ที่ปรึกษาของเขาเตือนไม่ให้เขาเป็นศัตรูของดยุค เขาจึงทำได้เพียงกลืนความโกรธของเขากลับเข้าไปในใจ

เด็กที่ถูกนำกลับมามีชื่อว่า โซฟี ปีเตอร์เลอร์ และใบหน้าของเธอเทียบได้กับดยุคในมุมของความน่าดึงดูดใจ ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าใครคือพ่อของเธอ

พ่อของเธอปกป้องลูกสาวของเขามาก(เกินไป) และเธอมักจะถูกให้อยู่แต่ในบริเวณที่ดินของครอบครัว มีความอยากรู้อยากเห็นเกิดขึ้นมากมายเกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนนั้น และจนกระทั่งสาวใช้คนหนึ่งถูกเครือข่ายข่าวติดสินบน และเปิดเผยให้โลกรู้ว่าความจริงแล้วเด็กสาวนั้นเป็นลูกผสม

ข่าวนี้คงจะไม่ใช่ข่าวที่น่าตกใจด้วยตัวมันเอง แต่ดยุคประกาศว่าเขาไม่มีความตั้งใจที่จะแต่งงานใหม่ และโซฟีจะเป็นทายาทของตระกูลปีเตอร์เลอร์

เขาถูกตราหน้าว่าเป็นคนบ้า

มีอยู่สองสามตระกูลในหมู่ขุนนางชั้นต่ำที่ไม่ได้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์แบบ แต่ก็มีน้อยมากและอยู่ห่างไกลกัน

ไม่มีขุนนางระดับสูงคนใดเคยแต่งตั้งลูกผสมให้เป็นทายาทของตระกูลมาก่อน

แม้จะมีคำแนะนำและการต่อต้านจากคนรอบข้าง แต่ดยุคยังคงแน่วแน่ในการประกาศของเขาและออกจากกองเรือลำดับที่หนึ่งเพื่อเลี้ยงดูลูกสาวของเขาเป็นการส่วนตัว

เมื่อถูกถามคำถามเกี่ยวกับชาติกำเนิดของมารดาของเด็ก ดยุคจะอ้างว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็คิดไม่ออกเหมือนกัน เบาะแสเดียวเกี่ยวกับมรดกทางเชื้อชาติของมารดาคือ ดวงตาสีทองและใบหูเล็กแหลมที่ลูกสาวของเธอได้รับ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด