ตอนที่แล้วบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 21 สองโลกที่แตกต่าง (Two Different World)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 23 ในที่สุด! กว่าจะมาได้ ( Finally! it's about time )

บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 22 เมืองแตกพ่าย แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่ (City is fallen and I am still alive)


เมืองแตกพ่าย แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่

 ( City is fallen and I am still alive )

ราชอาณาจักรทูเดีย เมืองโฟลิก ภายใต้การปกครองของกองกำลังอาณานิคม

ร่างของผู้เสียชีวิตถูกปล่ยทิ้งไว้ท่ามกลางไฟของสงครามและการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย ทหารภายใต้สนามเพลาะต่างไร้สีหน้าที่มีชีวิตสเหมือนได้ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ดวงตาเหม่อลอยไร้เรี่ยวแรง พวกเขาสู้รบกันมาเท่าไรนั้น คือสิ่งที่เหล่าทหารอาณานิคมในสนามเพลาะเลิกที่จะนับไปเนิ่นนานแล้ว

กระสุนดินปืน คลังเสบียงอาหารต่างร่อยหรอแทบจะไม่มีเหลือใช้ ไม่เพียงแค่แนวหน้าเท่านั้นที่ประสบปัญหา ข้างหลังกำแพงสูงภายในเมืองก็เต็มไปด้วยความตึงเครียด ชาวเมืองบางส่วนเริ่มก่อวินาศกรรม และชาวเมืองบางส่วนที่ให้ความร่วมมือกับทหารอาณานิคมก็กลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มผู้ไม่หวังดี

ภายในเมืองจึงเหมือนกับว่า เกิดสงครามกลางเมืองขนาดเล็กๆอยู่ ความแตกแยกของชาวเมืองนั้นรุ่งแรงจนมีผู้ตายจำนวนมาก อย่างไรก็ตามก็ยังอยู่ในขอบเขตที่ยังสามารถดูแลได้ หาไม่มีการควบคุมแล้วละก็มีหวังเมืองคงเต็มไปด้วยความวุ่นวายโกลาหลทั่วเมืองโฟลิกเป็นแน่

ต่างฝั่งของกองกำลังแฟแลงซ์ก็ไม่ต่างกันมากนัก พวกเขาจู่โจมไม่หยุดไม่หย่อนตลอด แม้ว่าจะมีการสูญเสีย แต่จำนวนนั้นเมื่อเทียบกับทหารอาณานิคมนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่ไม่มีอะไรที่น่าหวัง

“ข้าศึกบุก! ข้าศึกบุก!” เสียงเตือนของผู้เฝ้ายามตะโกนเสียงดัง

เหล่าทหารอาณานิคมต่างพากันหยิบยกอาวุธประจำตัวขึ้นมาเล็งข้าศึก ที่กำลังตั้งแถวบุกอีกครั้ง ตั้งแต่ที่กองกำลังแฟแลงซ์สูญเสียอัศวินไปบางส่วนก็ไม่มีวี่แววว่าจะถูกส่งมาแนวหน้า เหมือนว่าพวกเขาไม่อยากจะสูญเสียกำลังพลที่สำคัญ

“จะไม่ให้พวกข้าพักกันเลยหรือไงกัน” ทหารชาวอาริกาเซียคนหนึ่งกล่าวอย่างหัวเสีย

“อย่าลืมระวังเวทมนตร์โจมตีของพวกมันด้วย!” ผู้หมวดคนหนึ่งพูดเตือนก่อนจะกล่าวออกคำสั่ง “กองกำลัง! ยิง!”

สิ้นเสียงปากกระบอกปืนก็ปลดปล่อยลูกตะกั่วกลมสังหารแถวของกองกำลังแฟแลงซ์ทันที อย่างไรก็ตามด้วยความเหนื่อยล้าแม้ว่าจะสับเปลี่ยนกำลังพลหลายต่อหลายครั้งแล้ว ทำให้การยรรจุกระสุนเต็มไปด้วยความล่าช้า ความเร็วที่ลดลงเริ่มเผยให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทุกฝั่งล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ

ในครั้งนี้ดูเหมือนว่า ชาวแฟแลงซ์จะสามารถทำภารกิจที่ยาวนานสำเร็จ แถวพลปืนของแฟแลงซ์ยิงกดจนสามารถทำให้ทหารอาณานิคมในสนามเพลาะไม่สามารถโผล่ขึ้นมาต่อโต้ได้ ขนาดที่ว่ากองกำลังบนกำแพงเมืองโพลิกก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก

“บุกเข้ายึดแนวป้องกัน!! พระเจ้าอยู่ข้าเรา!”

พระเจ้าทรงโปรด! สังหารพวกนอกรีตให้หมดอย่าให้เหลือรอด!

นายกองแฟแลงซ์ที่เห็นโอกาสก็สั่งบุกประชิดทันที แถวทหารราบแฟแลงซ์แปลทัพ หยุดยิงแล้ววิ่งจู่โจมพุ่งตรงไปยังหลุมเพลาะของกองกำลังอาณานิคมด้วยความรวดเร็ว เสียงการต่อสู้ดังทั่วแนวป้องกันแรก และดูเหมือนว่ามันจะดังยิ่งกว่าครั้งใดๆ กองกำลังแฟแลงซ์เข้าใกล้เมืองยิ่งกว่าเดิม ไม่ช้าพวกเขาก็สามารถเข้ามายังแนวป้องกันแรกได้สำเร็จ

“ถอยกลับไปแนวที่สอง คนที่เดินไม่ได้คุมกันหลังพวกที่ถอย ข้าจะอยู่กับพวกเจ้าเอง!” ผู้กองเบริซาอุสเห็นว่าไม่สามารถป้องกันได้ก็สั่งถอนกำลังไปอีกฝั่งของสนามเพลาะ ผู้บาดเจ็บและหน่วยของเบริซาอุสยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าผู้นำของพวกเขาจะสั่งให้ถอนกำลังทันทีเมื่อใกล้แตกพ่าย

แล้วผู้ใดกันที่จะเป็นคนปกป้องคนที่กำลังถอนกำลังล่ะ? แน่นอนว่าหากไม่มี มีหวังคนที่กำลังถอนไปแนวที่สองมีหวังตายกันมากกว่าเดิม สู้เอาเป็นหน่วยกล้าตายปกป้องสหายอาณานิคมที่เหลือเสียยังดีกว่า พวกเขาหลายคนเลิกคิดที่จะกลับบ้านอันห่างไกลแล้ว ไหนๆก็จะตายเพราะเจ้าอาณานิคมส่งมาตายอยู่แล้ว เมื่อคิดเช่นนี้ทหารหลายคนที่อยู่ไม่ต้องการมีชีวิตอยู่ก็เป็นโล่ให้ผู้ที่ถอยกลับทันที

“อีวาน! ฝากดูแลท่านดักลาสด้วย!” ก่อนที่เขาจะตะโกนไปหาสหายของเขา เสียงดังนั้นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผู้กองอีวานจะได้ยิน

ก่อนที่เขาจะติดดาบปลายปืนแล้วแทงไปยังทหารแฟแลงซ์ที่กำลังจะกระโดดลงมาข้างล่างสนามเพลาะ ดาบปลายปืนเสียบทะลุตัวของทหารผู้น่าสงสารตายเสียชีวิตทัน ก่อนเขาจะหันไปมองด้านขวามือ ทหารแฟแลงซ์เริ่มที่จะเข้ามาอยู่ในสนามเพลาะกัน การต่อสู้ในระยะประชิดจึงเกิดขึ้นทั่วแนวป้องกันแรก

“ย๊าาา ตายเสียเจ้านอกรีต!” เสียงข้าศึกจากข้างหลังของเขาตะโกนได้ยินเต็มสองหู เบริซาอุสหลบดาบปลายปืนที่พุ่งหวังที่จะแทงเขา

ดาบปลายปืนของทหารนายนั้นพลาดไปเพียงนิดเดียว เบริซาอุสใช้ปืนฟาดกระแทกหลังคอด้วยความแรงจนทหารแฟแลงซ์ล้มลงไปนอนกับดินโคลนบนพื้น หากเป็นเรื่องต่อสู้ในระยะประชิดชาวอาริกาเซียที่ผ่านสงครามชนพื้นเมืองนั้นไม่เป็นสองรองใคร

แม้่จะบาดเจ็บทหารอาณานิคมก็สามารถต่อสู้ระยะประชิดได้อย่างดีเยี่ยมเสียยิ่งกว่าชาวแฟแลงซ์ที่พึ่งถูกเกณฑ์เข้ามาเป็นทหารในช่วงสงคราม

การต่อสู้ในแนวป้องกันแรกยังคงยาวนานจน หน่วยสุดท้ายของเบริซาอุสเหลือเพียงแค่สองสามคนซึ่งรวมไปถึงตัวเขาเองที่ยังคงยืนหยัดต่อสู้อยู่ เสียงปืนจากแนวป้องกันที่สองและบนกำแพงยังคงได้ยินชัดเจน

“อย่างกับคลื่นทะเลที่ไม่มีวันหยุดนิ่ง…” ต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าจะสู้กับคนทั้งกองทัพก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ศพของทหารรอบตัวของเขาก็แสดงให้เห็นว่า ชายคนนี้ยังคงแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าผู้ใดในตอนนี้

อย่างไรก็ตามในครั้งนี้กองกำลังแฟแลงซ์ก็ทุ่มสุดตัวทันทีเมื่อแนวป้องกันแรกถูกตีแตก เสียงร่ายเวทมนตร์ของนักบวชจากอีกฝั่งสร้างความกังวลใจให้กับผู้กองคนสุดท้ายในแนวป้องกันแรกอย่างมาก

เปรี้ยง! ตูมม! สายฟ้าขนาดใหญ่พุ่งตรงไปยังแนวป้องกันที่สองก่อนที่มันจะระเบิดออก สังหารทหารทั้งสองฝั่งจำนวนมากทันที การระเบิดนั้นพังแนวดินสูงเปิดเส้นทางขนาดใหญ่ให้กับกองกำลังแฟแลงซ์ทันที

ผู้กองเบริซาอุสกัดฟัน หันไปมองผู้ที่กำให้เกิดความสูญเสียนั้น หญิงสาวงามที่หาที่ไหนไม่ได้ สีผมบลอนด์ประกายทอง อาร่าสีเหลืองทองที่ถูกปลดปล่อยออกมารอบตัวของนางนั้นเหมือนกับผู้ที่ได้พรของพระเจ้าอย่างที่หาที่ไหนมิได้

สตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่งแห่งอาณาจักรแฟแลงซ์อันศักดิ์สิทธิ์ ปรากฏกายในสนามรบอีกครั้ง!

เบริซาอุสยังไม่เชื่อว่าสหายและเพื่อนสนิทของเขาจะตายจากการโจมตีเมื่อครู่ แต่ว่าศัตรูตรงหน้านั้นอันตรายเสียยิ่งกว่าต้นไม้เดินได้อย่างทรีแอ๊นที่เคยเผชิญหน้าอย่างไม่ต่องสงสัย

“งั้นข้าต้องสังหารเจ้าให้ได้เสียก่อน!” พุ่งกระโดดออกจากสนามเพลาะสังหารทุกคนที่อยู่ข้างหน้า ผู้กองเบริซาอุสรู้ว่าจะตายก็ต้องลากสตรีศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย มิเช่นนั้นมีหวังพวกเขาได้สูญเสียทุกอย่างจริงๆ

เบริซาอุสสังหารทหารแฟแลงซ์และสาวกจำนวนมาก ถึงแม้ว่าจะร่างกายจะมีบาดแผลเยอะก็ตาม จนดาบปลายปืนของเขาพังลง ก็ยังหยิบดาบของขุนนางแฟแลงซ์ที่ตายไป และยังคงพุ่งตรงต่อไป สตรีศักดิ์สิทธิ์จ้องมองชายที่เหมือนปีศาจร้ายที่ไม่ยอมตายเข้ามาใกล้เรื่อยๆโดยที่ไม่ได้แสดงสีหน้ากังวลแต่อย่างใด

จนท้ายที่สุดร่างกายของเบริซาอุสก็ถึงจุดขีดสุด ไม่สามารถเคลื่อนไว้ต่อไปได้อีกแล้ว ทหารแฟแลงซ์เข้ามาปกป้องสตรีศักดิ์สิทธิ์ ล้อมรอบตัวผู้กองปีศาจ ปิดหมดทุกหนทาง สายตายังคงจับจ้องกับใบหน้าของหญิงสาว เธอค่อยๆเดินมาหาร่างของเบริซาอุสที่ยังคงยืนถือดาบยาวของขุนนางที่เขาฆ่าไป ร่างกายของผู้กองเบริซาอุสแทบจะมีแต่เลือดและบาดแผลหลากหลาย ทั้งกระสุนปืนหรือคมดาบ แต่ก็ยังสู้ได้สเหมือนว่าไม่ใช่มนุษย์

สตรีศักดิ์สิทธิ์หยุดอยู่ตรงหน้าของผู้กองที่กำลังจะสิ้นใจและเอ่ย “ขอพระองค์ให้อภัยแก่เจ้าผู้กล้าหาญ…” ก่อนที่ดาบของหญิงสาวไปตัดหัวของเบริซาอุส กระเด็นออกหลุดออกจากร่างของเขา

“หัวหน้าของกำลังลีโอเนียสิ้นชีพแล้ว จงเคลื่อนทัพปลดปล่อยเมืองโฟลิก พระเจ้าทรงโปรด!!”

พระเจ้าทรงโปรด!! โอ้ววว!! เสียงสิงหนาทของสาวกแห่งศาสนจักรกู่ร้องทั่งแนวสนามรบหน้าเมืองโฟลิก มันดังเสียงจนกลบเสียงปืนคาบศิลาของทหารอาณานิคมเสียจนหมด

“ปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้!” ดักซ์ผู้มีตำแหน่งเป็นรองดักลาสกล่าวอย่างเจ็บใจ

“ท่านครับ!? พวกเราหลายคนยังติดอยู่ในแนวป้องกันที่สองนะครับ!” นายทหารชาวโดส สเลเลนเอ่ยขัดอย่างตื่นตระหนก โดยเฉพาะพวกเขาเหล่านั้นเป็นชาวอาริกาเซียเกือบตั้งหมด

“เราจะให้มันเข้ามาในเมืองง่ายๆไม่ได้เด็ดขาด นี่คือคำสั่ง!!” ดักซ์กล่าวตัดสินใจด้วยความรวดเร็ว สถานการณ์ในตอนนี้ยํ่าแย่อย่างมาก เขาเชื่อว่าอีกไม่นานกำแพงสูงนี้ก็จะถูกยึดโดยเร็วนี้อย่างแน่นอน หากจะชะลอกองทัพอันกว้่างใหญ่แล้ว ก็คงต้องตัดแขนข้างหนึ่งเพื่อรักษาส่วนที่เหลือเอาไว้

ประตูเมืองถูกปิดตาย ผู้คนที่อยู่ข้างนอกเห็นเช่นนั้นก็สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาหมดหวังที่จะมีชีวิตรอด หากยอมแพ้ก็ตาย หากสู้ต่อก็ตาย ทหารอาณานิคมมากกว่าร้อยชีวิตที่อยู่ในแนวป้องกันที่สองค่อยๆถูกทหารแฟแลงซ์ที่มีจำนวนมากกว่าไล่สังหารไปทีละคน

“จงนำเรื่องราวของข้ากลับไปยังอาริกาเซีย! พวกข้ามิได้ตายเพื่อลีโอเนีย ข้าตายเพื่ออาริกาเซีย!!” หนึ่งในทหารอาณานิคมชาวอาริกาเซียกู่ร้องขณะที่ร่างของเขาถูกดาบปลายปืนเสียบท้องอยู่

ไม่ช้าเสียงตะโกนของชาวอาริกาเซียก็เปลี่ยนจากความสิ้นหวังกลายเป็นแรงสุดท้าย หากตายก็จะลากศัตรูไปลงนรกด้วยกัน ในๆก็จะตายอยู่แล้ว ทำไมพวกเจาไม่ตายไปพร้อมข้าล่ะ? แรงกระตุ้นแปลกๆนี้เกิดจากการที่พวกเขาถูกส่งบังคับมาตายในสงครามที่ตัวเองไม่ได้เป็นคนก่อ มันเป็นแรงเฮือกสุดท้ายของทหารผ่านศึกชาวอาริกาเซียที่เหลืออยู่

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแนวป้องกันที่มีแต่ชาวแฟแลงซ์แทนกองกำลังอาณานิคม ศพยังคงนอนอยู่บนพื้นดิน กองกำลังแฟแลงซ์รุกขึ้นใช้บันไดตีเมือง พยายามยึดกำแพงเมืองโฟลิกอย่างสุดกำลัง ความสูญเสียงเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นทางฝั่งของแฟแลงซ์

อย่างไรก็ตามน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมงเหล่าทหารอาณานิคมบนกำแพงก็เริ่มที่จะไม่สามารถหยุดการขึ้นมาของกองกำลังแฟแลงซ์ได้ เริ่มมีทหารแฟแลงซ์ที่ขึ้นมาตีระยะประชิดตัวของพวกเขาข้างบนกำแพงแล้ว

ซองทูอาผู้ตกตํ่า ดักซ์แห่งกองกำลังนอกอาณานิคมชั่วคราว กล่าวสั่งถอนกำลังไปสกัดกั้นข้างในตัวเมืองโฟลิกแทน คำสั่งถอนทัพออกจากกำแพงถูกใช้ พวกเขาก็รีบวิ่งหนีออกจากแนวกำแพงแน่นอนว่าบางคนก็ต้องกันหลังให้กลับผู้ถอย แต่ไม่ช้ากำแพงเมืองโฟลิกก็ถูกตีแตกเป็นที่เรีบร้อย ธงลีโอเนียถูกหักลงก่อนที่จะแทนที่ด้วยธงของอาณาจักรแฟแลงซ์ ประกาศให้ผู้ที่เห็นได้รับรู้ไว้ว่า

เมืองโฟลิกถูกแตกพ่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ศาลากลางเมืองโฟลิก หรือ คฤหาสน์อดีตเจ้าเมืองโฟลิก เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากเสียงของทหารยาม ไม่กี่นาทีก่อน คนส่งข่าววิ่งมารายงานว่ากำแพงเมืองโฟลิกถูกยึดไปได้แล้ว ขณะนี้กองกำลังเกือบทั้งหมดกำลังปะทะกันอยู่ภายในเมือง แต่อีกช้าพวกเขาก็จะถูกสังหารเรื่อยๆจนหมด กำลังแฟแลงซ์มี่รับเชลยศึกเรื่องนี้พวกเขารู้ดี

“ผู้กองอีกวาน กับ ผู้กองเบริซาอุส เสียชีวิตในแนวป้องกันที่หนึ่งและสองครับ”

รางบางที่เหมือนหญิงสาว หากเป็นชายหนุ่มผู้แทนอาณานิคม จ้องมองไฟสงครามที่ใกล้ตัวเองผ่านหน้าต่างของศาลากลางเมืองโฟลิก ภาพตรงหน้ามันยิ่งกว่าในโลกที่เขาเคยอยู่ เพราะเขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในสงครามจริงๆ ผู้คนที่รู้จักเสียชีวิตโดยสงครามลาสนั้นไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แม้ว่าจะมีใกล้เคียงกัน แต่อย่างน้อยเพื่อนของเขาก็หนีออกจากประเทศที่เกิดสงคราม ไม่เพียงแค่รู้สึกเจ็บที่หน้าอก แต่ร่างกายของร่างก็แทบจะทรุด

‘ ยังไม่อยากตาย ’ คือคำในใจของลาส

“ท่านดักลาส พวกเราต้องย้ายไปแนวป้องกันสุดท้ายแล้วขอรับ” หนึ่งในหน่วยคุ้มกันลาสวิ่งเข้ามาในห้องและกล่่าวด้วยความเร่งรีบ

“เผาเอกสารที่เหลือแล้วหรือยัง?” ชายหนุ่มพยายามเก็บความกดดันของตัวเองเอาไว้ไม่ให้ผู้ใดได้เห็น ก่อนที่ลาสเดินมาสะพายกระเป๋าเอกสาร และเดินไปหยิบปืนคาบศิลาของตนขึ้นมา

“ขอรับ ทุกอย่างถูกเผาหมดแล้ว” เขาชะงัก “พวกเราจะมีชีวิตรอดกลับบ้านเกิดจริงๆหรือไม่ขอรับ?” ทหารตรงหน้าของเขามีสีหน้าที่กลัวตายแลสิ้นหวังอย่างมาก

“ต้องได้กลับสิ… พวกนายไม่อยากเห็นอนาคตที่ตัวเองเป็นคนสร้างหรือไง?” ลาสเดินออกจากห้องโดยที่ไม่หันมามองทหารคุ้มกันของเขา

ชาวเมืองบางส่วนไม่กล้าที่จะออกมาจากบ้านของตัวเอง เสียงปืนยังคงดังไปทั่วเมืองโฟลิก การต่อสู้ตามซอกซอยถนนหนทาง มันดุเดือดเสียยิ่งกว่าตอนที่กองกำลังอาณานิคมเข้าบุกในครั้งแรก อาจเป็นเพราะทหารแฟแลงซ์ไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของชาวทูเดียต่างอาณาจักร พวกเขาจึงเลือกที่จะสังหารทุกอย่างที่ขยับได้ บ้างคนถึงกลับพังบ้านเข้าไปปล้นชาวเมืองที่กำลังหลบการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายอยู่

ไฟไหม้หลายบ้าน กองกำลังแฟแลงซ์ก็หาได้สนใจไม่ อย่างไรก็ตามที่นี่ก็ไม่ใช่แฟแลงซ์เสียหน่อย การปล้นและฆ่าชาวเมืองจึงเกิดขึ้นทั้งแต่ที่ทหารแฟแลงซ์กลุ่มแรกได้วิ่งผ่านประตูเมืองที่ถูกเปิดออก เสียงกรีดร้องของหญิงสาว เด็กและคนแก่ดังไปพร้อมกับเสียงปืนอาวุธสงครามของทหารอาณานิคม ความวุ่นวายนั้นยังคงเต็มไปทั่วตัวเมืองไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายไหนกันแน่

อนิจจาชาวเมืองโฟลิก ไม่เคยเจอความโหดร้ายของทหารเกณฑ์แฟแลงซ์ เพราะว่ากองกำลังลีโอเนีย หรือ พวกเขามารู้ที่หลังว่าเป็นกองกำลังอาณานิคม ไม่ได้กระทำการอันใดที่รุนแรงต่อช้าวเมืองตลอดการยึดครองหลายเดือนมา แต่เพียงแค่วันเดียว วันเดียวเท่านั้นที่เมืองโฟลิกอันสวยงามกลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยการนองเลือด

เหล่าสาวกที่น่าสงสาร ตายโดยคบดาบของกลุ่มคนที่เหมือนผู้ปลดปล่อย เหล่าผู้ศรัทธาแห่งทูเดียต่างไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เหตุใดกัน ทั้งๆที่พวกเขาคือสาวกที่เลือมใส จึงได้ถูกสังหารฆ่าตาย ถูกปล้นสะดม ถูกข่มขืน ถูกเผาบ้านเผาเมือง โดยผู้ที่อ้างว่าจะมาปลดปล่อย ช่างน่าเยาะเย้ยเสียจริง


Bonjour ผู้ติดตาม และ นักอ่านทุกท่านด้วยนะเจ้าค่ะ เนื่องจากมีมิตรสหายบางท่านสงสัยเรื่องของทหารเกณฆ์ของอาณาจักรแฟแลงซ์ว่าทำไม ดูเหมือนไม่ใช่ทหารทั้งๆที่พวกเขาเหล่านี้คือกองกำลังหลักของแฟแลงซ์

ทหารเกณฆ์แฟแลงซ์ไม่ใช่ทหารที่มาจากการระบบเกณฆ์ยุคใหม่ แต่มาจากระบบเลวี่ (Lévy/Feudal levies) หรือก็คือ พวกเขาเป็นทหารอาสาสมัคร " ทหารชาวนา " ที่ถูกเกณฑ์มาเมื่อมีสงคราม

เอาล่ะต่อไปจะเป็นเรื่อง… ประกาศนิยายเรื่องใหม่เจ้าค่ะ!!

Galactic Interview เป็นเรื่องเนื้อหาเบาๆสมอง สามารถติดตามตัวเอกท่องไปทั่วอวกาศ รีวิวดาวเคราะห์ในชุมชนกาแล็กติก

สามารถติดตามอ่านได้บน Dek-D , Fictionlog และ Readawrite เหมือนเดิม! จะเริ่มอัปวันที่ 22 อัปเดตทุกวันอาทิตย์เจ้าค่ะ อย่าลืมไปติดตามกันด้วยนะเจ้าค่ะ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด