ตอนที่แล้วบทที่ 642 ตกลง(ตอนฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 644 เก่งมากเจ้าลิงน้อย

บทที่ 643 จี้เฟิงน่ารัก?(ตอนฟรี)


กำลังโหลดไฟล์

บทที่ 643 จี้เฟิงน่ารัก?

“นายได้ข้อตกลงกับเซียงหยงซานแล้วเหรอ?!”

เสียงตกตะลึงของจี้เจิ้นผิงดังมาจากโทรศัพท์ “แล้วข้อตกลงนี้นายเป็นคนเสนอเองหรือว่าเซียงหยงซานเป็นคนเสนอ?”

จี้เฟิงยิ้มแล้วพูดว่า “ผมเป็นคนพูดขึ้นมาเองครับ ทำไมเหรอฮะ? มีอะไรผิดปกติรึเปล่า?”

“มันไม่ใช่ว่ามีอะไรผิดปกติหรอก แต่การตัดสินใจของนายทำให้ฉันเซอร์ไพรส์นิดหน่อยน่ะ...” จี้เจิ้นผิงกล่าว

เซอร์ไพรส์?!

จี้เฟิงอดไม่ได้ที่จะแปลกใจเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าอาสามรู้อยู่แล้วหรือว่าเขาจะตัดสินใจแบบนี้?

จี้เจิ้นผิงเหมือนรู้ว่าจี้เฟิงคิดอะไรอยู่ เขาจึงพูดขึ้นว่า “ตอนแรก ฉันคิดว่าอย่างมากนายก็คงจะยอมตกลงสอนชุดยิมนาสติกให้กับคนของเซียงหยงซาน แต่ฉันไม่ได้คาดหวังว่านายจะขอให้เรดแอร์โรว์ทีมเข้าร่วมกองกำลังของเซียงหยงซานด้วย... เสี่ยวเฟิง นายอาจจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันมีความหมายยังไงบ้างในตอนนี้ เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อน ตระกูลเซียงจะไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน!”

จี้เฟิงอดสงสัยไม่ได้ เพราะตัวเขาเองไม่ได้คิดอะไรลึกลับซับซ้อนขนาดนั้น เขาแค่คิดว่า ประโยชน์ของเรื่องนี้คืออะไร มีข้อเสียอยู่ตรงไหนบ้าง แต่ตราบใดที่มันเป็นการกระทำร่วมกันด้วยความเต็มใจและได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเซียงและตระกูลจี้จะเพิ่มขึ้นมากอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า เกณฑ์การตัดสินใจของเขายังคงเบสิกเกินไป!

“อาสาม นอกจากผมจะขอเซียงหยงซานว่าให้เรดแอร์โรว์ทีมเข้าร่วมกับปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ด้วยแล้ว....” จี้เฟิงลังเลเล็กน้อยและพูดว่า “ผมเองก็ขอเข้าร่วมการปฏิบัติภารกิจนี้ด้วยเหมือนกัน!”

“นายว่าไงนะ?!” จี้เจิ้นผิงตกใจ “นายจะเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ด้วย?! ล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย?!”

จี้เฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “ผมไม่ได้ล้อเล่นครับอาสาม ตอนที่ผมคุยกับเซียงหยงซานเมื่อวานนี้ ผมก็บอกเขาแบบนี้แหละ เขาไม่เห็นด้วยนะ แต่เขาบอกว่า ให้อาสามโทรคุยกับพ่อของเขา!”

“แน่ล่ะ! เขาจะพูดว่าเห็นด้วยออกมาตรงๆได้ยังไงล่ะ!” จี้เจิ้นผิงส่งเสียงฮึ่มอย่างไม่พอใจ “นายเป็นหลานชายคนโตที่เป็นทายาทสืบทอดตำแหน่งผู้นำของตระกูลจี้รุ่นที่สาม! เขาจะกล้าเสี่ยงกล้าตัดสินใจเรื่องที่จะให้นายร่วมปฏิบัติภารกิจได้ยังไง! มันเป็นความรับผิดชอบที่หนักมากนะ!”

จี้เฟิงยิ้มและพยักหน้า “จริงอย่างที่อาสามพูด!”

“แล้วนายรู้จุดประสงค์การปฏิบัติการครั้งนี้ของเซียงหยงซานแล้วเหรอ?”  จี้เจิ้นผิงถามอย่างช่วยไม่ได้

“ยังเลยครับ!” จี้เฟิงหัวเราะแห้งๆ

“เจ้าเด็กน้อย...” จี้เจิ้นผิงส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “นายไม่รู้จุดประสงค์ของการปฏิบัติการในครั้งนี้ด้วยซ้ำ แต่นายกลับเสนอขอเข้าร่วมเนี่ยนะ ไม่ประมาทไปหน่อยเหรอ?!”

จี้เฟิงยิ้มและกล่าวว่า “อาสามครับ แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเป้าหมายของการปฏิบัติการในครั้งนี้คืออะไร แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือถ้าเซียงหยงซานสามารถเข้าร่วมได้ ผมก็ทำได้ เว้นเสียแต่ว่าเขาอยากจะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ แต่คิดดูดีๆแล้ว ถ้าเขาอยากทำแบบนั้นจริงๆ อาสามคงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน...”

“เจ้าเด็กตัวแสบ...” จี้เจิ้นผิงรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ดูเหมือนว่าจี้เฟิงจะหาเอาเรื่องใหญ่มาหาเขาเสียแล้ว “แต่ยังไงนายก็ต้องรอไปก่อน เรื่องนี้ใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะตัดสินใจด้วยตัวเอง ฉันจะไปปรึกษาพ่อและปู่ของนายก่อน!”

หลังจากพูดแบบนั้น จี้เจิ้นผิงก็วางสายโทรศัพท์ทันที และเขาก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวและบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะโตขึ้นแล้วจริงๆ!”

อันที่จริง จี้เจิ้นผิงก็รู้สึกไม่มั่นใจในการตัดสินใจของจี้เฟิงอยู่เหมือนกัน และไม่เคยคิดว่าจี้เฟิงจะตัดสินใจแบบนั้นจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดสำหรับเขาอย่างมาก

ในความเป็นจริง เหตุผลที่เขาต้องการให้จี้เฟิงไปพูดคุยกับเซียงหยงซาน เพราะเขาต้องการเห็นความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าและความสามารถในการตัดสินใจของจี้เฟิง แต่จี้เจิ้นผิงไม่ได้คาดหวังว่าจี้เฟิงจะเสนอเงื่อนไขกับเซียงหยงซานโดยการขอให้กองพลเรดแอร์โรว์เข้าร่วมปฏิบัติการ และยิ่งคาดไม่ถึงไปใหญ่ว่า จี้เฟิงจะขอเข้าร่วมปฏิบัติการด้วยตัวเองด้วย!

นี่มันเกินความคาดหมายของจี้เจิ้นผิงไปมาก และเกินกว่าที่จี้เจิ้นหัวคาดการณ์เอาไว้ด้วยเช่นกัน

รู้หรือไม่ แม้ว่าในอดีตจี้เฟิงจะเคยแสดงความสามารถพิเศษทางด้านการต่อสู้มาบ้างแล้ว แต่การปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการต่อสู้เล็กๆ เพียงแค่ว่าความพ่ายแพ้อาจหมายถึงความตาย!

และมีความจริงอีกอย่างหนึ่งก็คือ จี้เฟิงนั้นไม่เคยเข้าร่วมในการปฏิบัติการใดมาก่อนเลย แต่ตอนนี้เขากลับต้องการเข้าร่วมในปฏิบัติการที่นำโดยเซียงหยงซานอย่างกะทันหัน และจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นบ้างก็ยากที่จะจินตนาการได้

คนอื่นๆอาจไม่รู้แต่ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายทหารของกองพลเรดแอร์โรว์อย่างจี้เจิ้นผิงนั้นรู้ดี เกี่ยวกับการปฏิบัติการที่นำโดยเซียงหยงซาน การปฏิบัติการของทีมเล็กๆ แท้จริงแล้วน่าสลดใจกว่าการปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่บางแห่งเสียอีก

แม้แต่ในสงครามขนาดใหญ่ส่วนมาก มันเป็นเพียงการต่อสู้เพราะอยากทดลองใช้อาวุธไฮเทค หรือแบ่งรับแบ่งสู้สลับกันไปมา สุดท้ายก็เป็นแค่การลองเชิง สุดท้ายแล้วในยุคสมัยใหม่เช่นนี้ มันเป็นเรื่องยากที่จะมีสงครามขนาดใหญ่

แต่การปฏิบัติการของหน่วยเล็กๆนั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง!

ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น แค่ว่าเมื่อทหารกลุ่มเล็กๆดังกล่าวมีการออกปฏิบัติหน้าที่ ทางรัฐบาลไม่สามารถสนับสนุนได้อย่างเต็มที่ และถ้าภารกิจล้มเหลว ก็อยากที่จะบอกว่ารัฐบาลจะยอมรับผลของการกระทำดังกล่าวหรือไม่

นอกจากนี้ยังหมายความว่า ในหลายๆกรณี แม้ว่าผู้ที่มีส่วนร่วมในการปฏิบัติภารกิจนี้จะตาย พวกเขาจะไม่ได้ถูกจารึกชื่อว่าเป็นผู้ที่สละชีพเพื่อชาติ อย่างน้อยก็อย่างเป็นทางการ รัฐบาลไม่สามารถยกย่องคนเหล่านี้ต่อสาธารณชนได้

นี่เป็นข้อจำกัดของการปฏิบัติการทำสงครามในท้องถิ่น และในขณะเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นถึงวาระที่น่าเศร้าของปฏิบัติการเล็กๆเหล่านี้ว่ามันน่าสลดใจเสียยิ่งกว่าการปฏิบัติการทางทหารขนาดใหญ่บางแห่ง

หากปราศจากการสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศนั้นๆ และผู้ที่เข้าร่วมการปฏิบัติภารกิจต้องการจะปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง พวกเขาจะต้องต่อสู้โดยการเดิมพันด้วยชีวิต! และจะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขมากมาย ตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขาจะไปต่างประเทศเพื่อปฏิบัติภารกิจ พวกเขาจะต้องหาวิธีเอาตัวรอดด้วยตัวเอง และต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่อีกฝ่ายรู้ว่ามีข้อมูลรั่วไหล พวกเขาจะปิดกั้นทุกทาง และทุกย่างก้าวจะเต็มไปด้วยอันตราย!

นอกจากนี้ในการปฏิบัติภารกิจจะมีปัญหาที่ไม่คาดคิดมากมาย ไม่ง่ายเหมือนกับการไปเที่ยว!

แม้ว่าจี้เฟิงจะเคยเผชิญกับการต่อสู้มาหลายครั้ง แต่เขาไม่เคยต้องเผชิญกับภาวะที่กดดันขนาดนี้มาก่อน!

จี้เจิ้นผิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดหัว ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะต้องปรึกษาและได้รับความยินยอมจากผู้อาวุโสเฒ่า แม้ว่าจะเป็นพี่ใหญ่จี้เจิ้นหัว ก็คงไม่กล้าตัดสินใจง่ายๆ เพราะจี้เฟิงไม่ได้เป็นเพียงลูกชายของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นหลานชายคนโตในสายหลักที่อยู่ในฐานะทายาทผู้นำตระกูลจี้รุ่นที่สามด้วย!

“เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้สร้างปัญหาให้ฉันปวดหัวอีกแล้ว!” ในอาคารสำนักงานของกองพลเรดแอร์โรว์ จี้เจิ้นผิงอดไม่ได้ที่จะเกาหัวของตัวเอง เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกไปพร้อมกับยาม ตรงไปที่ลานที่ผู้อาวุโสเฒ่าตระกูลจี้อยู่

จี้เฟิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ ก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ ตัวตนของเขาแม้ว่าจะช่วยเหลือเขามาได้หลายต่อหลายครั้ง แต่บางครั้งมันก็กลายเป็นการผูกมัดความต้องการของเขาให้ขาดอิสระไปมากเช่นกัน เรื่องบางเรื่องเขาไม่สามารถตัดสินใจและลงมือทำในทันทีได้เลย

ตัวอย่างเช่นครั้งนี้ ถ้าเขาไม่ใช่หลานชายคนโตของตระกูลจี้ แต่เป็นเพียงลูกหลานในสายรอง หากเขาเอ่ยว่าต้องการจะเข้าร่วมการปฏิบัติภารกิจทางทหารร่วมกับเซียงหยงซาน อาสามก็คงจะไม่พูดอะไร อย่างมากก็แค่เป็นห่วง แต่จะไม่ห้าม

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าอาสามหรือผู้อาวุโสเฒ่าไม่ได้สนใจตระกูลจี้สายรอง ความจริงแล้วจี้เฟิงเห็นว่าพวกสายรองก็มีความสำคัญมากในหัวใจของผู้อาวุโสจี้ด้วย ไม่อย่างนั้น กับสิ่งที่พวกสายรองทำมาก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสจี้จะปล่อยไปง่ายๆได้อย่างไร?

ตามความเข้าใจของจี้เฟิง สิ่งนี้น่าจะเกิดจากการที่ทรัพยากรของครอบครัวมีจำกัด และต้องจัดลำดับความสำคัญให้กับทายาทสายตรงก่อน!

แต่ถ้าจี้เฟิงเป็นเพียงลูกหลานตระกูลจี้สายรองจริงๆ คงไม่ต้องถูกจับตามองและได้รับความสนใจมากขนาดนี้ แต่ในขณะเดียวกัน พลังอำนาจของเขาก็อาจจะไม่แข็งแกร่งพอในหลายๆเรื่อง...

ดังนั้น ตัวตนของหลานชายคนโตและเป็นทายาทสายตรงของตระกูล จึงมีทั้งดีและไม่ดี เป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก!

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการขอเข้าร่วมการปฏิบัติทางทหารของเซียงหยงซาน ตัวตนของทายาทสายตรงของตระกูลได้กลายเป็นสิ่งผูกมัดจี้เฟิงอย่างเห็นได้ชัด

ที่จริงแล้วจี้เฟิงไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ก็ได้ แต่เนื่องจากเขาได้ทำการยื่นข้อเสนอไปแล้ว เขาก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้มันมา และเขาก็คาดหวังไว้สูงมากว่าการได้ไปเห็นความโหดร้ายของสนามรบด้วยตาของตัวเองจะทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว!

“ฉันหวังว่าคุณปู่จะไม่ปฏิเสธข้อเสนอนี้ของฉัน!” จี้เฟิงส่ายหัวเล็กน้อย แต่ในใจเขาก็ไม่อยากหวังมากนัก ด้วยลักษณะที่คาดเดาไม่ได้ของคุณปู่ เขาก็ไม่รู้ว่าคุณปู่ของเขาจะยอมปล่อยให้เขามีส่วนร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้หรือไม่!

หลังจากวางโทรศัพท์ในมือลงเขาก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อที่จะได้สงบสติอารมณ์และหยุดคิดถึงเรื่องเหล่านี้และก้าวออกจากห้องหนังสือ

เขาเดินลงไปที่ห้องนั่งเล่นข้างล่างและพบว่าเซียวหยูซวนและถงเล่ยกำลังพูดคุยกับจี้เสี่ยวหยูอยู่ ใบหน้าของพวกเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แสดงให้เห็นว่าพวกเธอกำลังมีความสุขกันมาก

“พี่สาม พี่เคยน่ารักมาก!” ทันทีที่เธอเห็นจี้เฟิงเดินลงมาข้างล่าง จี้เสี่ยวหยูก็เอ่ยขึ้นพลางหัวเราะคิกคัก

จี้เฟิงขมวดคิ้วทันทีและพูดขึ้นว่า “ที่เห็นหัวเราะกันอย่างมีความสุขนี่คือกำลังนินทาฉันกันอยู่งั้นเหรอ?!”

“ใช่!” จี้เสี่ยวหยูหัวเราะ “พี่หยูซวนกับพี่เล่ยเล่ยกำลังเล่าตอนที่พี่สามยังอยู่มัธยมปลาย! พี่สามน่ารักมากเลย!”

หน้าผากของจี้เฟิงเต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาทันที ทำไมพอตัวเขาเองไปอยู่ในคำพูดของสาวๆ มันถึงได้กลายเป็นน่ารักไปได้ล่ะ?

ฉันเนี่ยนะน่ารัก?

เซียวหยูซวนและถงเล่ยต่างก็มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าของพวกเธอเช่นกัน พอออกมาจากปากเสี่ยวหยูแล้ว บางทีก็เป็นอะไรที่คิดไม่ถึงจริงๆ มันกลายเป็นอีกมุมมองนึงได้อย่างเหลือเชื่อ เพราะไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน จี้เฟิงก็ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับคำว่าน่ารักได้เลย!

“สาวน้อย อย่าพูดถึงสิ่งที่ผิดหรือถูกของคนอื่นลับหลังสิ!” จี้เฟิงกระแอมไอเบาๆ ใบหน้าของเขาดูจริงจังขึ้น เขาแสร้งทำเป็นโกรธ

“ฮี่ฮี่...” จี้เสี่ยวหยูไม่กลัวเขาเลย เธอยิ้มอย่างมีเลศนัย “พี่สามคะ ตอนที่พี่ตามจีบพี่เล่ยเล่ย พี่เขินอายจนไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ นี่เรื่องจริงหรือเปล่าคะ? คิกคิก~!”

“แค่ก...!”

จี้เฟิงสำลัก เขาจ้องมองไปที่เซียวหยูซวนกับถงเล่ยด้วยสายตาดุดัน จากนั้นเขาก็เดินขึ้นไปชั้นบนและครุ่นคิดถึงตัวเองเมื่อก่อน... อันที่จริงเขาในสมัยก่อนก็ออกจะโง่เง่าอยู่นิดหน่อยจริงๆ แต่พอถูกเสี่ยวหยูพูดอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ใครจะไปยอมรับให้เสียหน้ากันได้ง่ายๆล่ะ

หยูซวนกับเล่ยเล่ยนี่ก็จริงๆเลย ทำไมถึงได้เล่าเรื่องพวกนี้กับเสี่ยวหยูล่ะ...

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่ในโรงเรียนมัธยม มันก็คุ้มค่าที่จะจดจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ที่ค่อยๆพัฒนาระหว่างตัวเขาเองกับถงเล่ย เริ่มตั้งแต่เพื่อร่วมห้องที่แทบไม่เคยคุยกันจนกลายมาเป็นคู่รักกันอย่างตอนนี้

สงสัยว่าคืนนี้ต้องจัดสองสาวนี้ให้หนักๆ ดูสิว่าพวกเธอจะกล้าเอาเขามานินทาลับหลังอีกหรือเปล่า!

เมื่อมาถึงห้องหนังสือที่ชั้นสอง จี้เฟิงก็เปิดคอมพิวเตอร์ทันทีโดยอัตโนมัติ เขาเหลือบมองไปที่หน้าจอที่ฉายภาพจากกล้องวงจรปิดและเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นกับกล้อง เขาก็ปิดคอมพิวเตอร์

นี่เป็นการกระทำจนกลายเป็นความเคยชินของจี้เฟิงไปแล้ว การตรวจสอบสิ่งอำนวยความสะดวกด้านความปลอดภัยเป็นสิ่งที่จะต้องทำทุกวัน

“อุปกรณ์ป้องกันระดับนี้ก็เพียงพอที่จะจัดการกับผู้รุกรานธรรมดาทั่วๆไป แต่ถ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีฝีมือพอๆกับฉันหรือเหนือกว่า มันก็ยังไม่เพียงพอ...” จี้เฟิงเงยหน้าขึ้นมองเพดานและบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “ที่ชั้นสามยังว่างอยู่ น่าจะดีหากจะติดตั้งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยทั้งหมดไว้บนนั้น บางทีในช่วงเวลาสำคัญมันอาจจะมีบทบาทที่ไม่คาดคิด!”

…จบบทที่ 643~❤️

คุยกันท้ายบท

สวัสดีค่ะ ในช่วงนี้เนื้อหาอาจจะพาง่วงนิดๆนะคะ แต่เป็นรายละเอียดสำคัญอยู่เหมือนกันค่ะ แต่เพื่อคุณผู้อ่านที่น่ารักแล้ว เนตรนารีสีชมพูเปิดฟรีอย่างต่อเนื่องเลยจ้า อยากให้คุณผู้อ่านได้รู้สึกคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปจริงๆค่ะ ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

ด้วยรักและห่วงใย

 

เนตรนารีสีชมพู

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด