ตอนที่แล้วSTBI : ตอนที่ 49 ทะเลโลหิตไร้สิ้นสุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSTBI : ตอนที่ 51 ทักษะลับเผาไหม้โลหิต

STBI : ตอนที่ 50 งานเลี้ยงริมทะเลสาบ


หุบเขาไท่ซาง

ไป๋ตงหลิน ยังคงนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง

การฝึกฝน และ การชักนำการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ทะเลโลหิตที่ปั่นป่วนค่อย ๆ เสถียร มากยิ่งขึ้น

สิ่งนี้เปรียบเสมือน โลกใบเล็ก ในร่างกายของมนุษย์

หน้าที่ของมันก็คือการดูดซับพลังปราณฟ้าดิน สนับสนุนร่างกาย และ พัฒนานาร่างกายอย่างต่อเนื่อง เหตุผลก็เพราะ ร่างกายคือรากฐานของทุกสิ่งในจักรวาล

ไป๋ตงหลิน ได้ฝึกฝน ‘คัมภีร์เทพอสูร’ โดยแก่นแท้ของมันคือการเปิดทางเดินจิตวิญญาณของร่างกายมนุษย์ทั้งหมด ร่างกายของมนุษย์มีจุดปิดกั้นทั้งหมด 129,600 จุด

และปากทางเดินของจิตวิญญาณก็สามารถบรรจุพลังเทพและปีศาจทั้ง 129,600 ตัว ได้ หลังจากนั้นผู้ใช้จะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวและเข้าสู่อาณาจักรนิรันดร์ของอีกฝั่ง

แนวคิดของทักษะนี้ค่อนข้างสูงส่งและมีเนื้อหามากมาย ไป๋ตงหลิน รู้สึกว่ามันเพียงพอสำหรับเขาที่จะใช้มันไปตลอดชีวิต แม้จนถึงตอนนี้ เขาก็ยังอดที่จะรู้สึกเหลือเชื่อเกี่ยวกับมันไม่ได้

เขาคล้ายกับว่าตัวเองเป็น ซุนหงอคง ที่ต้องการฝึกฝนวิชา เพื่อเป็นนิรันดร์ และ ในเวลานี้เขาก็มาเจอกับวิชาที่ใช่

หรือไม่อาจเพราะว่าบางที ทักษะนี้ก็ต้องการผู้สืบทอดเหมือนกัน เพื่อให้ตัวเองสามารถคงอยู่และเป็นที่จดจำต่อไป มันจึงได้เฟ้นหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม ที่รอคอยมาเป็นเวลานาน

ไม่ใช่ว่า ไป๋ตงหลิน มีความมั่นใจในตัวเองสูง แต่เพราะวิธีการฝึกฝนของทักษะนี้ค่อนข้างพิเศษเกินไป

วิธีอื่น ๆ ในการเปิดปากทางจิตวิญญาณล้วนใช้โลหิตธรรมดาในการเปิดและขยาย แต่สำหรับ คัมภีร์เทพอสูร สิ่งนี้กลับมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพและปีศาจ

ดังนั้นความแตกต่างระหว่างคัมภีร์นี้ก็คือ มันได้ใช้โลหิตทั้งหมดของร่างกายเพื่อบีบอัดให้เป็นจุดเดียว และ ใช้ความพยายามทั้งหมดในการเปิดช่องทางจิตวิญญาณภายในร่างกาย

และมีเพียงทะเลโลหิตไร้สิ้นสุดเท่านั้นที่จะสามารถรับเอาพลังเทพและปีศาจได้

ข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับขั้นตอนนี้ก็คือการมีพลังปราณและโลหิตที่แข็งแกร่ง เมื่อ ทะเลโลหิตเปิดออก เขาจำเป็นจะต้องบีบอัดพลังปราณและโลหิตให้เป็นภาวะเอกฐานเพื่อเปิดช่องทางวิญญาณอื่น ๆ

วิธีการเปิดช่องทางวิญญาณนี้มีข้อดีเป็นอย่างมาก แต่มันก็มีข้อเสียร้ายแรงอยู่เหมือนกัน กล่าวก็คือ การรวบรวมภาวะเอกฐานนั้นไม่อาจประสบความสำเร็จ 100 ส่วน ในการเปิดช่องทางวิญญาณ ถ้าเขาล้มเหลว เขาจะถูกระเบิดและกลับสู่ความว่างเปล่าโดยธาตุโลหิตที่เขาควบแน่นด้วยตัวเอง

เหตุผลที่ คัมภีร์นี้เลือกเขา อาจเป็นเพราะเขามีพลังปราณและโลหิตที่หาที่เปรียบมิได้ซึ่งมันตรงเงื่อนไขแรกในการฝึกฝนทักษะนี้ แต่เขาไม่เชื่อว่าทักษะนี้จะสามารถบอกได้ว่าเขามีความสามารถที่เป็นอมตะ

ประวัติศาสตร์ไม่ได้กลัวคนที่มีเรี่ยวแรงในการฝึกฝน แต่จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัวความตายและยังกล้าฝึกฝนต่อไป?

ร่างกายมนุษย์มีปากทางเดินทั้งหมด 129,600 ช่อง ใครจะกล้ารับประกันความสำเร็จว่าจะพัฒนาปากทางเดินวิญญาณได้ทุกครั้ง? เพราะหากพลาดเพียงครั้งเดียวก็ตาย

นอกเสียจากว่าตัวเองเป็นอมตะ ดังนั้น เขาจึงคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมสำหรับข้อเท็จจริงนี้

มีมรดกสืบทอดมากมายในโลกแห่งหลักจารึก ซึ่งเขาไม่รู้ว่ามีมรดกลึกลับและทรงพลังจำนวนเท่าใดที่ถูกฝังไป เป็นไปได้ว่า นิกายศักดิ์สิทธิ์ อาจจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพระคัมภีร์นี้ด้วยซ้ำ และ โลกแห่งหลักจารึกนี้ ก็ไม่ธรรมดา มันน่าจะมีความลับซ่อนอยู่เบื้องหลังมากมาย

ก๊อก ก๊อก—

เสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นด้านนอกของลานหน้าบ้าน มันได้ขัดจังหวะความคิดบ้า ๆ บอ ๆ ของเขาทำให้เขาหยุดคิดและลุกขึ้นมาเปิดประตู

“คุณชายไป๋ คืนนี้มีงานเลี้ยงฉลอง นี่คือเทียบเชิญของเรา”

เขาได้รับการ์ดสีเขียวมาจากหญิงสาวพร้อมกับขมวดคิ้วในทันที :

“งานเลี้ยงฉลอง?”

“บางทีคุณชายไป๋ อาจจะยังไม่ทราบ งานเลี้ยงฉลองนี้คือการฉลองความสำเร็จหลังการสืบทอดมรดกทักษะของศิษย์ใหม่ สิ่งนี้จะจัดขึ้นทุกครั้ง และ ถือเป็นประเพณีของหุบเขาไท่ซาง”

ไป๋ตงหลิน ได้พยักหน้าอย่างชัดเจน มันคงจะดีที่ได้ทำความรู้จักกับ ศิษย์ใหม่เหล่านี้ เพราะท้ายที่สุด พวกเขาก็จะอยู่ด้วยกันเป็นเวลานาน ดังนั้นเขาไม่ควรจะทำตัวห่างเหินจนเกินไป

“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปให้ตรงเวลา!”

สาวใช้ในชุดเขียว ได้โค้งคำนับอย่างเคารพและออกจากลานบ้านไป

การบ่มเพาะพลัง ไม่ใช่สิ่งเดียวที่อยู่คู่กับโลกแห่งการบ่มเพาะพลัง เพราะไม่มีใครสามารถเข้าร่วมและอยู่ภายในนิกายศักดิ์สิทธิ์ได้โดยปราศจากการสื่อสารระหว่างกัน

แน่นอนว่าเป้าหมายต่อไปของเขาก็คือการเตรียมพร้อมสำหรับความก้าวหน้าในการฝึกฝน นั่นก็คือ การบ่มเพาะพลังไปจนถึงจุดที่สามารถฝึกฝน พลังเหนือธรรมชาติ ได้

ทว่า ในเวลานี้ ไป๋ตงหลิน ไม่ได้เริ่มฝึกฝนอะไร เขามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดของเขาและพยายามทำความเข้าใจ คัมภีร์เทพอสูร

ณ ตอนเย็น

ไป๋ตงหลิน ได้ใส่เครื่องแบบปกติ ไปที่งานเลี้ยงฉลอง สถานที่จัดงานเลี้ยงไม่ได้ตั้งอยู่ในห้องโถง แต่อยู่ริมฝั่งทะเลสาบขนาดเล็ก

ที่นี่มีตะเกียงวิญญาณส่องสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน และ บนหญ้าสีเขียว ก็เต็มไปด้วยโต๊ะและเก้าอี้ รวมถึงอาหารเลิศรสจำนวนมาก กระทั่ง ไวน์วิญญาณก็ถูกนำมาเสิร์ฟเป็นอย่างดี ภายในสถานที่แห่งนี้ มีสาวใช้และคนรับใช้มากมายคอยรอบริการคุณอยู่

ไป๋ตงหลิน ได้พยักหน้า เขาค่อนข้างพอใจกับงานเลี้ยงกลางแจ้ง เพราะท้ายที่สุด เขาก็เป็นคนหนุ่มสาวที่มีอายุต่ำกว่า 20 และ เขาก็รักความอิสระ

เวลานี้ คนกว่าร้อยคนได้พูดคุยกระซิบกระซาบกันอย่างครึกครื้น

ในเวลานี้เอง ขณะที่ ไป๋ตงหลิน เดินเข้ามา ก็มีคนเห็นเขาพร้อมกับดวงตาที่เป็นประกาย เขารีบกล่าวพูดออกมาโดยทันที :

“ในที่สุด พี่ไป๋ ก็มาถึง ให้ข้าได้แนะนำท่าน เขามีนามว่า ไป๋ตงหลิน อย่าคิดว่า พี่ไป๋ที่ดูสง่างามเช่นนี้ จะดูอ่อนแอ เพราะความแข็งแกร่งของเขาน่าสะพรึงกลัวมาก!”

“บนเกาะตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะข้าวิ่งเร็ว ข้าคงโดนพี่ไป๋ทุบตีจนตายไปแล้ว!”

คนผู้นี้มีนามว่า เจิ้งฉิง และ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้อ่อนแอ เขาได้ต่อสู้กับ ไป๋ตงหลิน และ ล่าถอยกลับไปอย่างสงบหลังจากพ่ายแพ้ เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่หลบหนีเขาไปได้หลังจากได้แลกหมัดกัน

ทุกคนต่างมองไปที่ ไป๋ตงหลิน หลายคนที่เคยต่อสู้กับเขายิ่งกลายเป็นเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น คนผู้นี้ดูสง่างามและเป็นกันเอง แต่เขาต่อสู้ราวกับคนบ้า กระทั่งไม่สนใจอาการบาดเจ็บ

และในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เป็นพวกเขาทั้งหมด ที่ได้เห็น ไป๋ตงหลิน ทุบตีชายร่างยักษ์

ไป๋ตงหลิน ได้ยิ้มและสั่นศีรษะ เขาไม่ได้สนใจคำพูดของ เจิ้งฉิง เขารู้ว่าคนผู้นี้เป็นคนเจ้าเล่ห์แต่ก็ไม่ได้คิดร้าย มิฉะนั้น สายตาที่อีกฝ่ายมองเขาคงแตกต่างออกไปจากนี้

“พี่เจิ้งฉิง อย่าได้ถือโทษโกรธเคืองกันเลย ตอนนั้นเป็นสถานการณ์พิเศษ เราต่างก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่ ดังนั้นโปรดอย่าถือสา”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

“ใช่แล้ว เรื่องมันผ่านไปแล้ว”

ในเวลานี้ ผู้คนโดยรอบ ก็มารวมตัวพูดคุยกัน บรรยากาศในที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความแปลกประหลาดและอบอุ่น

ไป๋ตงหลิน เป็นคนอารมณ์ดี เพราะสุภาษิตที่ปลูกฝังในชาติก่อนนั้น เทียบไม่ได้กับคนหนุ่มสาวเหล่านี้ ดังนั้นบรรยากาศจึงได้กลายเป็นกลมกลืนกันมากยิ่งขึ้น

เขาใช้เวลาไม่นาน หลังจากมองไปยังพื้นที่โดยรอบ เขาก็พบคนรู้จักอีกคน

“คุณหนู ซู พวกเราเจอกันอีกแล้ว!”

คนนี้ก็คือ ซูฉี พวกเขาได้ปะทะกันอย่างรุนแรงในครานั้น และ เป็น นางที่หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย

เมื่อเทียบกับ ซูฉี ที่สวมใส่ชุดรวบรัดสีดำบนเกาะเล็ก ๆ ซูฉี ในชุดพิธีการสีขาวตรงหน้าเขาให้ความรู้สึกเย็นชาน้อยกว่า และ มีความเป็นผู้หญิงมากยิ่งขึ้น

ถัดจาก ซูฉี มีเด็กสาวอายุ 6-7 ปี นางสวมชุดองค์หญิงและแกะสลักด้วยหยกสีชมพู ทำให้ นางดูน่ารักมาก อีกทั้งใบหน้าของนาง ยังมีความคล้ายคลึงกับ ซูฉี บางทีนางควรจะเป็นญาติทางสายเลือด

“ดูเหมือนว่า มรดกสืบทอด ที่คุณชายไป๋ ได้รับมาจากโลกแห่งหลักจารึก จะน่าทึ่งมาก ไม่พบเจอกันในระยะเวลาอันสั้น ความแข็งแกร่งของท่านก็พัฒนาขึ้นมาก”

น้ำเสียงของ ซูฉี ดูเย็นชา แต่การแสดงออกของนางก็ดูตกใจเล็กน้อย เพราะตอนที่นางพบ ไป๋ตงหลิน บนเกาะ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ได้ดีเท่าตัวเอง แต่ความสามารถในการฟื้นตัวของเขาสูงเกินไป และ มันเป็นไปได้ยากที่จะฆ่า

ทว่าตอนนี้ นางไม่สามารถมองผ่านเขาได้แล้ว หลังจากที่นางรับมรดกทักษะ นางคิดว่าตัวเองรุดหน้าไปมาก แต่ไม่ได้คาดหวังเลยว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า ความแข็งแกร่งของ ไป๋ตงหลิน ตอนนี้ เหนือล้ำนำตัวนางแล้ว

ไป๋ตงหลิน ยิ้มและไม่ได้พูดอะไร มรดกทักษะที่เขาได้รับนั้นน่าทึ่งจริง ๆ แต่เหตุผลพื้นฐานสำหรับความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เขาจำเป็นจะต้องบอกหรือไม่?

การเก็บความลับเช่นนี้ไว้กับตัวเองถือว่าเป็นเรื่องดี

“สวัสดี พี่ไป๋ ข้ามีนามว่า เสี่ยวจิ่ว และ ข้าเป็นน้องสาวของพี่ซูฉี!”

เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่มีดวงตาสดใส ได้มองมาที่เขาและกล่าวแนะนำตัวเอง จากนั้นนางก็กล่าวถามด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาทันที :

“ท่านกับพี่สาวของข้าพบกันได้อย่างไร? ใช่สถานการณ์วีรบุรุษช่วยสาวงามหรือไม่ หรือเป็นสาวงามที่ช่วยเหลือวีรบุรุษ?”

นางได้ปลุกจิตวิญญาณแห่งการนินทาตั้งแต่อายุยังน้อย และ ดวงตาของนาง ก็เหลือบมองไปที่ ไป๋ตงหลิน และ ซูฉี ทั้งสองคน

ซูฉี จ้องไปที่เด็กสาวตัวเล็ก อย่างดุเดือด ดูเหมือนว่าหลังจากกลับไป นางจะต้องสั่งสอนน้องสาวตัวดีของนางหน่อยแล้ว แต่ก่อนหน้านั้น นางได้หันมากล่าวกับ ไป๋ตงหลิน “คุณชายไป๋ อย่าได้ถือสา นางก็ซุกซนเช่นนี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ แล้ว”

“ฮ่าฮ่า เสี่ยวจิ่ว เจ้าเดาผิดแล้ว ครั้งแรกที่ข้าพบกับพี่สาวของเจ้านั้น มันเป็นศึกที่ยิ่งใหญ่ จนทำให้ข้าเกือบตายเลยล่ะ!”

“อีกอย่างมันไม่ได้โรแมนติกอย่างที่เจ้าคิด”

ไป๋ตงหลิน ได้จ้องมองอย่างลึกซึ้ง ดูเหมือนว่า ภูมิหลังของ ซูฉี จะไม่ธรรมดา เพราะ เสี่ยวจิ่ว มีร่างกายที่พิเศษ คนประเภทนี้ที่มีสายเลือดพิเศษ มักจะมี บรรพบุรุษ และ ภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่

ที่น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือ สัตว์ประหลาดเฒ่าบางคนที่มีสายเลือดที่พิเศษก็ยังไม่ตาย

หลังจากที่ ซู่เสี่ยวจิ่ว ได้ยินคำพูดของเขา จิตวิญญาณแห่งการนินทา ก็มอดดับลงในทันที และ แทนที่ด้วยความตกตะลึง

ไป๋ตงหลิน ยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นสิ่งนี้ จากนั้น เขาก็หยิบผลึกใสออกมาจากสร้อยข้อมือ สิ่งนี้ได้มาจากกล่องสุ่มด้านหน้าพระราชวัง มันไม่ใช่ สมบัติเวทย์ แต่เป็น งานศิลปะ อีกทั้งยามมันถูกแสงส่องสว่าง จะทำให้มันมีประกายส่องแสงออกมาซึ่งสวยงามมาก

“ในเมื่อนี่เป็นการพบกันครั้งแรก พี่ไป๋คนนี้ก็ควรจะให้ของขวัญเจ้าสักหน่อย”

เขาได้มอบผลึกใสให้กับ เสี่ยวจิ่ว การเคลื่อนไหวของ ไป๋ตงหลิน ไม่ได้แฝงความหมายอื่น มันเป็นแค่ลักษณะนิสัยในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา เมื่อเขาเห็นเด็ก เขาก็จะให้นามหรืออะไรบางอย่างแก่พวกเขา

ผลึกใสนี้ได้ส่องสว่างเจิดจ้าภายใต้แสงไฟ ดวงตาของ เสี่ยวจิ่ว ได้พร่ามัว และ ตกหลุมรักมันในทันที แต่ นางไม่รู้ว่าควรจะรับมันหรือไม่ ดังนั้น นางจึงได้มองไปที่ ซูฉี ด้วยแววตาที่น่าสงสาร

ซูฉี ได้เหลือบมองและพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“ในเมื่อคุณชายไป๋มอบให้เจ้าก็เก็บมันไว้เถอะ”

ซูเสี่ยวจิ่ว ได้เก็บผลึกใสอันเล็กอย่างมีความสุข และ กล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม :

“ขอบคุณพี่ไป๋!”

เห็นเช่นนี้ ไป๋ตงหลิน ได้ยิ้มออกมา

ทว่าในเวลานี้เอง ไป๋ตงหลิน ก็เงยหน้าขึ้น และ เห็น บุรุษผมแดงเดินเข้ามาใกล้พวกเขา

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด