ตอนที่แล้วบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 20 บันทึกของเราทั้งสอง (Record of the two of us)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 22 เมืองแตกพ่าย แต่ฉันยังมีชีวิตอยู่ (City is fallen and I am still alive)

บทที่ 1 กำเนิดประชาธิปไตย : ตอนที่ 21 สองโลกที่แตกต่าง (Two Different World)


สองโลกที่แตกต่าง

( Two Different World )

ท้องฟ้ามืดมิดเต็มไปด้วยแสงสีสลัวยามคํ่าคืนจากดวงดาวบนท้องฟ้าเรียงรายสวยงามทั่วไป ในที่มืดมิดลึกเข้ามาในพงไพรนั้น คงมีแค่เพียงแสงไฟจากเพลิงไหม้เล็กเท่านั้นที่สามารถสร้างทั้งความอบอุ่นและแสงสว่างที่ทำให้สามารถมองเห็นไปทั่วความมืดมิดได้

เสียงหักกิ้งไม้พร้อมกับเสียงไหม้ของกองไฟภายในดงป่าไม้อันเงียบสงบ เสียงและแสงสลัวของมันทำลายสิ้นความสงบของพงไพรแต่ก็ไม่ได้สร้างความลำคาญแต่อย่างใด มันเหมือนกับเสียงเพลงอันไพเราะเสนาะหูเสียมากกว่า

ร่างบางของหญิงเผ่าซองทูอานอนอยู่บนพื้นหญ้าขยับเขยื้อนด้วยความงัวเงีย ก่อนที่เทวทูตตนนั้นจะค่อยๆลืมตาอย่างเชี่องช้า เธอหันไปมองเสียงของกิ้งไม้ที่ถูกโยนเข้ากองไม้กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างเชื่องช้า

ตรงข้างหน้าของหญิงสาวคือกองไฟที่อยู่ระหว่างภายในต้นไม้ใหญ่พร้อมกับหม้อไฟขนาดกลาง ควันไฟไหม้นั้นไม่ได้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า หากอยู่ภายในตัวต้นไม้ ก่อนจะสายตาจะเอะกับชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆกองไฟนั้น

เหมือนพึ่งรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ช้าหญิงสาวก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นตัวตลอดเวลา ทิ้งความงัวเงียของคนพึ่งตื่นไป กลายมาเป็นความหวาดระแวงต่อผู้ที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้าแทน ชายหนุ่มที่กำลังหักกิ้งไม้เติมเชื้อเพลิงรู้สึกได้ถึงจิตสังหารได้ ก็รีบหันไปผู้ที่ปล่อยจิตสังหารนั้นออกมา

“เจ้านอกรีต!! อึก…!” ขณะที่เธอกำลังจะเข้าไปทำร้ายชายตรงหน้า หญิงสาวก็รู้สึกได้ถึงมือและเท้าที่ถูกหมัดเอาไว้ด้วยเศษผ้าด้วยความแน่น

“เฮ้อ… ถ้าเกิดผมไม่ได้มัดเอาไว้ มีหวังโดนท่านก็คงกระโจนเข้ามาหักคอผมอย่างแน่นอน” เสียงนั้นเรียกสติหญิงสาวให้หันไปมองผู้ที่กล่าวว่าเป็นคนมัดเธอเอาไว้

ผู้ที่จับมัดเธอเอาไว้ ส่วมชุดคุมเหมือนชาวบ้านแบบเดียวกับทหารที่เข้าโจมตีกำลังของเธอ เขาเป็นชายผู้มีหน้าตาเด็กอย่างมาก มีเส้นผมสีนํ้าตาลอ่อน ใบหน้าที่เหมือนคนไม่ได้นอนแต่ในตาของเขานั้นดูมีไฟชีวิตอย่างมาก หากดูแลร่างกายที่ไม่นอนมากกว่านี้คงจะกลายเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาและดูขี้เล่นเป็นที่ชื่นชอบของหญิงสาวหลายๆคนพอสมควร

‘ ขะ ข้าคิดอะไรของข้ากัน! ’ สะบัดหัวคิดในหัวออกไปเธอก่อนที่จะกล่าวด้วยนํ้าเสียงที่เกรี้ยวกราด

“ข้าขอสั่ง! จงปลดปล่อยข้าเดียวนี้เจ้าคนอกรีตนอกรอย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด!”

“ต้องขออภัยต่อความไม่สุภาพ ท่านซิสเตอร์ แต่ตอนนี้พวกเรายังอยู่ในสงคราม หากผมปล่อยท่านไปเกรงว่าร่างกายของผมคงถูกเวทมนตร์ของท่านอัดจนแตกแตกสลายเป็นแน่” เขากล่าวด้วยความจริง เพราะเขาคือผู้ที่เข้าลอบโจมตีกองกำลังที่คาดว่าน่าจะเป็นของซิเตอร์คนนี้

“ชิ… หากเจ้ารู้อยู่แก่ใจ แล้วเจ้าจะทำอะไรกับข้าต่อ” เธอชะงัก “หากเจ้าจะจับข้าไปเป็นเชลยศึกไปต่อรอง ก็ฆ่าข้าเสียตอนนี้จะดีกว่า”

“ผมทำเช่นมิได้หรอกครับ ท่านเป็นถึงซิเตอร์แห่งศาสนจักร สาวกอย่างผมจะสังหารผู้ที่ควรเคารพนับถือได้เช่นไรกัน”

ในขณะที่ผู้ถูกมัดตกใจกับคำพูดของชายหนุ่มที่ว่าตัวเขานั้นเป็นสาวกที่เลื่อมใส ชายหนุ่มลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาหาซองทูอาสาว ย่อตัวลงมาใกล้ๆ พร้อมกับถ้วยไม้ที่มีซุปเนื้อกลิ่นหอมละมุน เรียกเสียงท้องอันหิวโหยของเธอออกมา

อุฟ ชายหนุ่มตรงหน้าเกือบจะหลุดขำออกมาหลังจากที่ได้ยินเสียงร้องของผู้เป็นสเหมือนเทวทูต ก่อนจะรีบหันหนีสายตาของหญิงสาวที่จ้องด้วยความโกรธ ใบหน้านั้นแดงเป็นกลายเป็นลูกมะเขือเทศ แม้ในใจของหญิงสาวตอนนี้จะเต็มไปด้วยความเขินอาย แต่จิตสังหารนั้นออกมาเป็นส่วนมากแทน เหมือนว่า

ชายหนุ่มจะถูกจู่โจมเป็นแน่หากเธอหลุดออกมาได้

“กินเถอะครับ มันเป็นเนื้อมอนเตอร์” เขาชะงักเล็กน้อย “ผมเห็นท่านซิเตอร์สลบอยู่หน้าสัตว์อสูรตัวหนึ่ง เหมือนว่าท่านจะโดนมันทำร้ายร่างกายจนไม่สติ ผมก็เลยทำการเข้าช่วยเหลือครับ” เขาตักซุปขึ้นมาก่อนจะยืนเข้าไปใกล้ๆริมฝีปากของซิสเตอร์ แต่เธอก็ได้ถามขึ้นอย่างกะทันหัน

“เหตุใดเจ้าถึงช่วยข้า…. ต่อให้เจ้านับถือพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่เจ้าก็เป็นชาวลีโอที่กำลังทำศึกสงครามกับอาณาจักรของเรา เช่นนั้นก็ควรปล่อยให้ข้าตายโดยเจ้าอสูรมิใช่หรือ?” เธอไม่เข้าใจ ไม่มีเหตุผลที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะช่วยเหลือเธอผู้เป็นถึงซิสเตอร์แห่งศาสนจักรของพระเจ้าที่แท้จริง ศัตรูปรปักษ์ต่อสหจักรวรรดิลีโอเนียในขณะนี้

ได้ยินเช่นนั้นชายหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า เปลี่ยนจากย่อตัวเป็นท่านั่งบนพื้นดินตรงหน้าหญิงสาว และกล่าวเล่าเรื่องของครอบครัวตัวเองออกมา

“ท่านแม่ของผมเป็นผู้ที่ศรัทธาเลื่อมใส แน่นอนว่าท่านแม่ผมก็ส่งต่อความศรัทธาอันแรงกล้านั้น มาให้กับตัวผม จนกลายเป็นว่าครอบครัวไม่กี่ครอบครัวของผมก็ผู้นำถือพระองค์บนอาริกาเซีย”

“ช้าก่อน! เจ้าบอกอาริกาเซียงั้นหรือ?” จู่ๆขัดคำพูดของชายหนุ่มอย่างกะทันหัน ก่อนจะกล่าวถามต่อเป็นชุดใหญ่ นํ้าเสียงของหญิงสาวเริ่มที่จะลดความเป็นศัตรูลงไปบ้าง แต่คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความสงสัยข้องใจแทน

“เจ้ามิใช่ชาวลีโอ เหตุใดกันถึงได้มาอยู่บนทวีปแห่งนี้ได้กัน? หากเป็นชาวอาริกาเซียเจ้าก็ไม่สามารถที่จะออกจากทวีปได้ นั้นคือกฎร้อยปีที่ไม่เคยถูกเปลี่ยน แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงได้มาที่นี่ได้กัน? และ--”

ชายหนุ่มที่เข้าใจได้ทันทีว่าตัวเขาได้พูดมากจนเกินไป

“พระเจ้าเท่านั้นที่รู้” เขาเอ่ยออกมา แต่ด้วยความที่ชายหนุ่มคิดว่าซิสเตอร์ตรงหน้าคงไม่ยอมเพียงแค่นี้ เขาจึงรีบตักซุปเนื้อก่อนจะป้อนให้กับเทวทูตสาวเพื่อปิดปากเธอทันที

อื้ม! ด้วยความตกใจที่จู่ๆก็ถูกบังคับได้กินซุปเนื้อ เธอเกือบที่จะสำลักอาหารจากชายตรงหน้า แน่นอนว่าผู้กระทำต้องรู้สึกผิด จึงได้รีบเอากระติกนํ้าของตนออกมาให้เธอดื่ม

ซิสเตอร์หญิงที่เกือบจะได้สำลักอาหาร เพราะความลนลานของชายตรงหน้า ก็ได้มองค้อนชายหนุ่มเล็กน้อย แต่หารู้ไม่ว่านั้นไม่ใช่สายตาของคนที่โกรธแค้น(?) แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้สังเกตเห็นถึงสัตว์ร้าย แต่กลับเป็นความรู้สึกผิดที่เกือบทำให้หญิงสาวตาย เขาจึงเริ่มที่จะขอโทษหญิงสาว ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเขายังไม่รู้จักเธอคนนี้เลย เพราะสิ่งเดียวที่เขารู้จักก็คื เวทมนตร์ลูกศรที่เกือบจะสังหารเขาในคราวก่อน

“อ๊ะ อภัยที่เสียมารยาท ท่านซิสเตอร์?”

“เรียกข้าว่า เอเบรียลล์ ซิสเตอร์แห่งอาณาจักรแฟแลงซ์อันศักดิ์สิทธิ์…” เอเบรียลล์กล่าวด้วยนํ้าเสียงที่ใสดุจธารนํ้าไหล เหมือนกับว่าเธอภูมิใจกับการที่ได้เป็นซิสเตอร์

“ซิสเตอร์ เอเบรียลล์ ช่างเป็นชื่อที่งดงามจริงๆนะครับ” เขากล่าวออกมาโดยที่ไม่ได้มองใบหน้าของ เอเบรียลล์ค่อยๆเริ่มมีอาการหน้าแดงเพราะคำพูดของเขา ก่อนจะรีบหันหนีใบหน้าของชายหนุ่ม ร่างกายสั่นผิดปกติ หากไม่มีเชือกมัดอยู่แล้วละก็ เธอคงไม่อยู่กับที่อย่างแน่นอน!

ส่วนมากแล้วชื่อเสียงเรียงนามของเธอจะถูกชมว่าเป็นชื่อเรียกที่ทรงพลัง เป็นนามที่พระเจ้าเป็นคนส่งมาปกป้องเหล่าผู้ศรัทธา ไม่เคยมีชายใดกล่าวว่าชื่อของเธองดงามดุจดังสตรีมาก่อน ตอนนี้อายุเธอก็มากแล้วเธอยังไม่เคยพบเจอชายที่ไร้เดียงสาเท่ากับชายหนุ่มตรงหน้าเลย

“จ จะ เจ้า! จงบอก!! นาม ของเจ้ามา!” นํ้าเสียงของเอเบรียลล์นั้นพยายามที่จะเก็บความตื่นเต้นเอาไว้ บางครั้งตำแหน่งซิสเตอร์ก็ไม่ได้ช่วยให้เธอดูเป็นผู้บริสุทธิ์แต่อย่างใด…

“อันฮัลท์… ผู้กอง อันฮัลท์ แห่งกองกำลังอาณานิคมอาริกาเซียครับ” อันฮัลท์แนะนำตัวเอง

“อันฮัลท์สินะ ข้าจะจดจำไว้…” เอเบรียลล์พึมพำโดยที่ไม่สามารถได้ยินได้

“ผู้อาศัยที่โลกใหม่นิสัยคงเปลี่ยนไปจากชาวลีโอสินะ ถึงได้มีมารยาทเช่นนี้” เธอกล่าว

“อืมมม แต่ถึงเช่นนั้นพวกเราที่อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินอาริกาเซียนั้น ล้วนไม่อยากเรียกตัวเองเป็นผู้อื่นใดนอกจาก ชาวอาริกเซียหรอกครับ ส่วนมากแล้วพวกเราต้องการทิ้งอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่บนโลกใหม่เสียมากกว่า เป็นชีวิตที่สงบกว่าอดีต นั้นคือสิ่งที่ท่านแม่ผมผู้เป็นชาวมาร์นเบิร์กเคยกล่าวเอาไว้ครับ” อันฮัลท์ตอบซิสเตอร์ เช่นเดียวกับตัวของเขาที่ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับอัลชลาฟไวส์แต่อย่างใด

เสียงเงียบทำให้หญิงสาวเผ่าซองทูอารู้สึกไม่ดีอย่างมาก เธอจึงรีบทำลายบรรยากาศที่แย่ลงทิ้งไป

“หิ! ว่าแต่ว่า เจ้าเป็นผู้บัญชาการกำลังล้อมโจมตีกองทัพของข้าใช่หรือไม่? พวกเจ้าจะไม่แย่เอาหรือ ถ้าเกิดว่าไม่มีผู้บัญชาการในการโจมตี” จู่ๆหญิงสาวก็เปลี่ยนหน้าตาและนํ้าเสียงที่ดูสมกับผู้นำกองกำลังแฟแลงซ์ ยิ่งอันฮัลท์เป็นผู้นำกองกำลังแล้ว หากไม่มีสายบัญชาการสำคัญ การโจมตีก็จะหยุดชะงักลง และเมื่อไม่การล้อมโจมตี กองกำลังแฟแลงซ์ก็จะสามารถล้อมเมืองโฟลิกได้ทั้งหมด ไม่มีจุดให้หนีได้ ท้ายที่สุดกองกำลังที่ถูกล้อมก็จะแตกพ่าย

“สายบัญชาการพวกเราไม่ได้เหมือนกับลีโอเนีย หรือ แฟแลงซ์หรอกนะครับ ต้องขอบคุณท่านดัก--” เขาหยุดงชะงักกะทันหัน “อะแฮ่ม! เอาเป็นว่าตอนนี้ท่านเป็นเชลยศึกของผม เพราะงั้นหากอยากจะรู้ข้อมูลมากกว่านี้ก็คงต้องอยู่กับผมไปล่ะนะ”

ได้ยินเช่นนั้น เอเบรียลล์ก็ไม่พอใจกับชายตรงหน้าเล็กน้อยแต่ เมื่อเธอหันกลับมามองที่ข้อมือและข้อเท้าที่ถูกมัดเอาไว้ ก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความสิ้นหวังและตอบชายหนุ่มกลับไป “ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น”

“งั้นรีบรับประทานกันก่อนที่มันจะหายร้อนกันเถอะครับ! พรุ่งนี้เช้าเราจะเดินทางกลับเมืองโฟลิกกัน แน่นอนว่าผมจะให้การดูแลอย่างอน่นอนครับ” ก่อนที่อันฮันท์จะตักซุปเนื้อป้อนให้กับซองทูอาสาวผู้มียศถาบรรดาศักดิ์มากว่าตัวเขา

“ข้ากินเองได้ เพราะงั้นแก้มัด!”

“ส่วนผมยังไม่อยากตาย เพราะงั้นไม่ครับ!”

ชายหญิงสองคนในป่ามืด มีเพียงแสงไฟสลัวและเสียงพูดคุยของทั้งสองยาวนานจนไปถึงเที่ยงคืน จนซิสเตอร์หลับใหลลงด้วยความเหนื่อยอ่อน ลมเย็นพัดผ่าน ไฟที่มอดไหม้ลง อันฮันท์จ้องมองร่างของเทวทูตสาวนามเอเบรียลล์ ก่อนที่จะเริ่มสัมผัสกระแสลมยามคํ่าคืนที่เริ่มหนาวมากขึ้น

เขาถอดชุดคลุมของเขาและนำมาปกปิดเป็นผ้าหม่ให้กับซิสเตอร์ผู้หลับใหล ใบหน้างามนั้นยากที่จะหลงลืม เส้นผมสีขาวที่ถูกดูแลอย่างดีสมกับกับผูส่งสารของพระองค์ผู้สูงส่ง ก่อนที่จะรู้ตัวมือของชายหนุ่มก็เผลอหยิบจับเส้นผมงามขึ้นมาไปเสียแล้ว

อันฮันท์รีบลุกออกห่างซิสเตอร์อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ลืมตรวจสอบดูว่าเธอตื่นอยู่หรือไม่ ซึ่งดูเหมือนว่ายังคงนอนหลับไม่รู้เรื่องที่เกิด ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากอยู่นานกว่านี้เขาคงได้หลงเสน่ห์ของซิสเตอร์อย่างแน่นอน

“ให้ตายสิ หากทำตัวเรียบร้อยกว่านี้ เราคงหลงหัวปักหัวปำ ไปแล้ว…” อันฮันท์หยิบสมุดบันทึกขึ้นมาก่อนจะเริ่มเขียนมันอีกครั้ง

ไดอารี่(1)ที่รัก ต่อไปนี้ คงจะกลายเป็นวันที่วุ่นวายอย่างแน่นอน

……

.

.

.

.

.

.

ในขณะที่ ผู้บัญชาการทั้งสองกองกำลังต่างผ่านกันนอนอยู่ในป่า กองกำลังสอดแนมของอันฮันท์ก็เข้าโจมตีจุดพักของแฟแลงซ์ในช่วงกลางคืนตลอดเกือบทุกวัน และแย่ที่สุดคือการที่ผู้บัญชาการของพวกเขา ซิสเตอร์ เอเบรียลล์ หายสาบสูญในการปะทะกันระหว่างกองกำลังสอดแนมหลักและกองกำลังของซิสเตอร์เอเบรียลล์ บ้างก็ว่าถูกสังหาร บ้างก็ว่าท่านยังคงหลงอยู่ในป่า แต่ท้ายที่สุดเหล่าขุนนางก็หาได้สนใจไม่

เนื่องจาก แฟแลงซ์ใช้ระบบฟิวดัลและเทวาธิปไตยทำให้ขุนนางและนักบวชบางตำแหน่งเป็นผู้มีอำนาจสูงกว่าทหารข้ารับใช้ ทำให้มีการแก่งแย่งการควบคุมกองกำลังที่เหลืออยู่ของซิสเตอร์เอเบรีลล์ไปทั่ว ถึงขั้นว่าขุนนางบางคนถึงกลับสังหารนักบวชพวกเดียวกันเพื่อยึดอำนาจกองทหารมาเป็นของตน โดยหารู้ไม่ว่าหายังคงเป็นอย่างนี้ต่่อไปพวกเขาก็จะไม่สามารถทำภารกิจที่สำคัญต่อกำทัพแฟแลงซ์ได้ ข้อผิดพลาดเช่นนี้อาจจะทำให้พวกเขาถูกพิพากษาประหารชีวิตยกตระกูล

เมืองโฟลิกยังคงไม่ถูกล้อมทุกจุดคือสิ่งที่ดีเสียยิ่งกว่าใดๆสำหรับกองกำลังอาณานิคมของลาส แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถต้านทานกองทัพแฟแลงซ์อันมากมายได้ แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นำกองกำลังอาณานิคมซึ่งนั่งอยู่ในห้องทำงานรู้ดีอยู่แก่ใจ

โต๊ะทำงานของลาสนั้นเต็มไปด้วยเอกสารสำคัญ ทั้งจำนวนคนตาย ผู้บาดเจ็บ รายงานต่างๆนานา รวมไปถึงแผนการต่างๆ หากเป็นโลกเดิมคงคิดว่าเขากำลังทำงานอยู่ในบริษัทนรกอยู่อย่างแน่นอน

“ท่านดักลาส ผู้กองอันฮันท์ ขอเข้าพบขอรับ” เสียงเรียกของทหารยามดังมาจากอีกฝั่งของประตู

“ให้เขามา” ลาสกล่าวเสียงดังพอที่จะให้อีกฝั่งได้ยิน เขาไม่ได้หันไปมองประตูที่เปิดออกพร้อมกับ ชายและหญิงสองคนเดินเข้ามาในห้อง

ก่อนที่ร่างบางจะหันขึ้นมามองหน้าตาของทั้งสอง ชายด้านซ้ายเป็นคนที่เขารู้จักอย่างดี หนึ่งในผู้หมวดที่สู้ร่วมกับเขา ตอนนี้คงเป็นผู้กอง ของกองกำลังสอดแนม อันฮัลท์ เวติก้า ก่อนที่สายตาอันแหลมคมจะจับจ้องไปที่ผู้หญิงข้างๆชายหนุ่ม หญิงในชุดนักบวชของแฟแลงซ์ ปีกสีขาวและวงแหวนบนหัวของเธอนั้นทำให้สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นเผ่าซองทูอา มือของเธอถูกมัดด้วยเชือกถึงแม้ว่าไม่มีคทาเวทมนตร์ประจำตัวอยู่ แต่เพื่อความปลอดภัยเธอยังคงก็ถูกมัดไว้ก่อน

“ยินดีต้อนรับกลับ ผู้กอง… และก็ยินดีต้อนรับท่านหญิงซองทูอาคนนั้นเช่นเดียวกัน”


ไดอารี่ที่รัก (1) : Dear Diary เป็นคำที่เขียนตอนเริ่มของการเขียนจดบันทึกความจำในสิ่งดีๆ

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด