ตอนที่แล้วSTBI : ตอนที่ 21 ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปSTBI : ตอนที่ 23 เมืองหลินเจียง

STBI : ตอนที่ 22 ลาจาก


จากฤดูใบไม้ผลิจนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ไป๋ตงหลิน มาอยู่ในโลกนี้เกือบ 13 ปีแล้ว และ เป็นเวลากว่า 1 ปี ที่เขาปลุกความทรงจำให้ตื่นขึ้นมา

ในตอนเช้า ตำหนักฉิงโหยว

ในอดีต ไป๋ตงหลิน มักจะตื่นเช้ามาและยืนอยู่ข้างขอบสนาม

ในระยะเวลาเพียง 9 เดือน ความสูงของเขาได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.85 เมตร เขาค่อนข้างเติบใหญ่ในเวลานี้ ภายนอกเขาไม่ได้ดูอ้วนหรือผอม แต่ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ละเอียดอ่อนและแข็งแกร่ง

เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา มีรอยยิ้มจาง ๆ และ ดวงตาที่ล้ำลึก เพราะเขาได้ร่ำเรียนความรู้มามากมาย ไม่ว่าจะเป็น กู่ฉิน หมากรุก การประดิษฐ์ตัวอักษร ดังนั้นจึงมีร่องรอยของความประณีตไปทั่วร่างกายของเขา

แม้เขาจะมีร่องรอยของความประณีตอยู่บนร่างกาย แต่เขาก็มีอารมณ์ที่ดูเป็นกันเอง

ถ้าเขายืนเทียบกับ ไป๋เจียง ในตอนนี้ ทั้งสองสามารถพูดได้ว่ามีการแบ่งเท่า ๆ กันในระดับเดียวกัน

ไป๋ตงหลิน ได้ออกกำลังกายทุกวัน พลังปราณและโลหิตในร่างกายของเขาได้หลั่งไหลเข้าสู่จุดชีพจรทั้ง 7 ทำให้ ร่างกายของเขากลายเป็นราบรื่นอย่างมาก

ทุก ๆ การเคลื่อนไหวของเขา ล้วนดูดซับไอพลังงานฟ้าดินเข้ามาในร่างกาย และ พัฒนาร่างกายของเขาไปในตัว

ในเวลานี้ พลังในร่างกายของ ไป๋ตงหลิน ค่อนข้างหนาแน่น

ภายใต้สถานการณ์ปกติ การใช้ออกด้วย หมัดเจ็ดหนองน้ำ ในเวลานี้ สามารถส่งการโจมตีที่รุนแรงออกมาได้

โดยปกติแล้วการฝืนปลดปล่อยพลังในร่างกายออกมาก่อนเวลาอันควร จะทำให้อันตรายที่มีต่อร่างกายของเขาลดน้อยลง

แต่ ไป๋ตงหลิน กลับทำตรงกันข้าม เขาได้กักพลังงานฟ้าดินไว้ในร่างกาย โดยไม่ปล่อยให้มันเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย เขาต้องการให้พลังงานเหล่านี้ ทำลายแม้แต่เส้นชีพจร และ อวัยวะภายในของเขา

และ ในขณะเดียวกัน เขาก็จะใช้ ‘การพลิกฟื้นที่แข็งแกร่ง’ เพื่อพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาต่อไป

โดยพื้นฐานแล้ว เขาได้กักตุนพลังควบคู่ไปกับการหมุนเวียน ‘กายหยกขาวชำระล้าง’ เขาได้ผลักดันพลังงานในร่างจำนวนมากให้กระจายไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย

เขาไม่ได้หยุดสิ่งนี้จนกว่าร่างกายของเขาจะหมดแรง

ใน 9 เดือนมานี้ เขาได้ทำสิ่งนี้ทุกวัน หลังจากเรียนรู้ หมัดเจ็ดหนองน้ำ

เพียงแต่เรื่องน่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือ แม้ว่าเขาจะดูดซับไอพลังงานฟ้าดินมาจำนวนมาก แต่ ไป๋ตงหลิน ก็ปลดปล่อย หมัดเจ็ดหนองน้ำ ออกมาได้มากสุด 2 ครั้งต่อวัน และ การใช้สองครั้งนี้จะเริ่มส่งผลกระทบต่อระบบความคิดของเขา

ดังนั้น เขาจึงได้ใช้ หมัดเจ็ดหนองน้ำ วันละครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้ใช้มันหลายครั้ง แต่พละกำลังความแข็งแกร่งยามปลดปล่อยออกมาก็น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก

ความแข็งแกร่งของเขาได้พัฒนาขึ้นไปไม่น้อย ตอนนี้เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อ 9 เดือนก่อน ถึง 3 เท่า

ด้วยพละกำลังแขนของเขาข้างเดียว ก็มีน้ำหนักมากกว่า 70,000 จิน ถือเป็นตัวเลขที่น่าสะพรึงกลัวไม่ใช่น้อย

เพียงแค่หมัดธรรมดาหมัดเดียว เขาก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย

หากเป็นในชีวิตก่อนหน้านี้ ไป๋ตงหลิน ในปัจจุบัน สามารถยกรถ 23 คันได้ด้วยมือข้างเดียว

นี่คือร่างกายของสัตว์ประหลาดอย่างแท้จริง

เมื่อโลหิตในร่างกายของเขาลดลง ไป๋ตงหลิน ก็ขยับร่างกายเล็กน้อย ภาพติดตาเก้าภาพได้ปรากฏขึ้นทันทีที่ลานบ้าน

นี่คือ ‘ก้าวย่างลวงตา’ เขาได้ฝึกฝนมันจนสมบูรณ์แบบ และ ปรับปรุงความเร็วและความคล่องตัวของเขาเป็นอย่างมาก

เขาในปัจจุบันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และ อีกอย่าง เขาก็อ่านตำราในอารามอู๋ทั้งหมดเสร็จสิ้น รวมถึง ทักษะต่อสู้ และ กลยุทธ์ทางการทหาร ทั้งหมดล้วนอยู่ในใจของเขา

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความรู้ มันเป็นฐานในการหล่อเลี้ยงเส้นทางของเขา จนเขาได้พัฒนามันจนติดเป็นนิสัย ตราบใดที่มีความรู้แปลกใหม่เข้ามา เขาก็ต้องการเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด

กระทั่ง การเล่นเครื่องดนตรี ประดิษฐ์อักษร เขาก็มีความชำนาญเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การประมวลผลและการจดจำทางสมอง

เขาลองเล่นหมากรุกกับ ชายชราหลายสิบคนในบ้านพักคนชราอู๋ และ เอาชนะพวกเขาทั้งหมดในเวลาเดียวกัน นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก เพราะคนเหล่านี้ได้ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเล่นหมากรุกประจำวัน แต่เขาก็ยังเอาชนะคนเหล่านี้มาได้

เขาได้รวบรวมสติและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่มีแหล่งความรู้ใดหลงเหลืออยู่ที่นี่อีก ได้เวลาที่เขาจะเริ่มต้นออกเดินทางและแสวงหาเส้นทางที่แท้จริงของเขา

“ท่านแม่!”

“ลูกต้องการขออนุญาติท่านออกไปใช้ชีวิตในโลกภายนอก!”

“ลูกอกตัญญูยิ่งนัก ข้าไม่อาจอยู่ดูแลท่านแม่ได้อีกแล้ว!”

ตำหนักจื่อหยุน นอกห้องนอนของ หลี่อี้ชิว

ไป๋ตงหลิน ได้คุกเข่าอยู่นอกประตูด้วยสีหน้าเศร้าเสียใจ และ เคาะหัวลงกับพื้นสามครั้ง

ในเวลานี้ ประตู ได้เปิดออก หลี่อี้ชิว ได้เดินออกมาด้วยน้ำตาที่นองหน้า นางได้ช่วยพยุง ไป๋ตงหลิน ขึ้นและลูบหน้าเขาเบา ๆ :

“เจ้าเองก็เติบใหญ่แล้ว จงไปไล่ตามความฝันของตัวเองเสียเถอะ!”

“ลูกหลิน เจ้ากล้าหาญกว่าแม่ในตอนนั้นมาก โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่มากยิ่งนัก ข้ารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเจ้า!”

“เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับแม่ เมื่อ วิหคน้อยเติบใหญ่ ก็สมควรออกไปโผบินในโลกกว้าง!”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลี่อี้ชิว ก็ลูบใบหน้าของ ไป๋ตงหลิน ด้วยความรัก

ไป๋ตงหลิน รู้สึกหัวใจเต้นอย่างแผ่วเบาสองครั้ง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขารู้สึกเศร้าเช่นนี้ แต่เขา ก็รู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่กับ หลี่อี้ชิว เช่นเดียวกัน

เป็นเพราะ หลี่อี้ชิว ในปัจจุบัน กำลังตั้งครร์ ดังนั้นเขาจึงได้ขจัดความกังวลสุดท้ายก่อนที่จะตัดสินใจจากไป

ท่านป้า พี่สาวคนโต และ พี่รองของเขา ล้วนเป็นญาติที่เขาสนิทที่สุดในโลกนี้ เกี่ยวกับ พี่สาวคนโต และ พี่รอง นั้นเขาไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร มีเพียงแต่ท่านป้าของเขาเท่านั้นที่ทำให้เขากังวล

แม้ว่า ท่านพ่อของเขาจะเป็น แม่ทัพที่ดี แต่เขาก็ไม่ได้มีคุณสมบัติของพ่อที่ดี เพราะค่ายทหารคือบ้านของเขา

โชคดีที่ตำหนักจื่อหยุน ได้ให้กำเนิดชีวิตเล็ก ๆ อีกสองชีวิตในอนาคตอันใกล้นี้ เขาหวังว่า น้องชายและน้องสาวของเขาจะช่วยอยู่ดูแลท่านป้าของเขาแทนเขา

เท่านี้ ท่านป้าของเขาก็จะไม่เหงาเดียวดายอีก

“ท่านแม่ ข้าขอไปเดินเล่นกับท่านก่อนจะจากกันได้หรือไม่?”

ไป๋ตงหลิน ทนไม่ได้ที่จะจากไปเช่นนี้ เขาต้องการใช้เวลาอยู่กับท่านป้าของเขาให้นานที่สุด

“เข้าใจแล้ว!”

หลี่อี้ชิว ยิ้มอย่างมีความสุข นางมองไปที่ ไป๋ตงหลิน ซึ่งมีส่วนสูงกว่านาง นางรู้สึกภาคภูมิใจที่เขาได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สง่างามเช่นนี้

ในเวลานี้ภาพลักษณ์ของ ไป๋ตงหลิน ดูองอาจเป็นอย่างมาก

ทั้งสองคนได้เดินไปรอบ ๆ ตำหนักจื่อหยุน และ พูดคุยเกี่ยวกับอดีตที่น่าสนใจ ทันใดนั้น ก็มีเสียงหัวเราะเป็นครั้งคราวและเจือจางไปด้วยความโศกเศร้าของการจากลา

ทั้งสอง ได้เดินมาถึงกรงนกโดยไม่รู้ตัว หลี่อี้ชิว ได้มองดูนกจำนวนมากและกล่าวพูดอย่างครุ่นคิด :

“เจ้าเห็นนกเหล่านี้หรือไม่ เดิมที กรงเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่สมควรจะเป็นโลกของพวกมัน โลกภายนอกนั้นกว้างใหญ่และให้อิสระให้กับพวกมันได้มากกว่าที่นี่”

“ลูกหลิน แม่เชื่อว่าพวกมันควรได้รับอิสระที่ดีกว่านี้ ดังนั้นปล่อยพวกมันไป!”

สีหน้าของ ไป๋ตงหลิน ได้ขยับเล็กน้อย ดูเหมือนว่าท่านป้าของเขาจะตัดสินใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้ขยับร่างกาย และ ฉีกตะข่ายเหล็กทั้งหมดจนเป็นรูใหญ่

นกทุกตัวได้ส่งเสียงร้องออกมา และ กระพือปีกออกเพื่อโผบิน พวกมันได้บินวนรอบตำหนักจื่อหยุนอยู่ 2-3 ครั้งก่อนที่จะบินไปทางภูเขาอันห่างไกล

ไป๋ตงหลิน อยู่กับ หลี่อี้ชิว ตลอดทั้งวันจนกระทั่งร่วมรับประทานอาหารเย็น เมื่อนางผล็อยหลับไป เขาก็หันหลังกลับและจากไป

ของที่พี่รองของเขามอบให้กับเขา ยกเว้น หินวิญญาณที่เหลืออยู่ เขาได้มอบมันให้กับ คนรับใช้ประจำตัวท่านป้าของเขาเพื่อมอบให้ท่านป้าของเขา

หลังจากนั้นเขาก็ปีนขึ้นไปบนหน้าผาสูงแห่งนึง

ที่นี่มีหลุมศพเล็ก ๆ ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและมีดอกไม้นานาพันธุ์ล้อมรอบเอาไว้

ร่างของ ไป๋ตงหลิน ได้ปรากฏขึ้นที่นี่ และ นั่งลงอย่างนุ่มนวลที่เบื้องหน้าหลุมฝังศพ

“ท่านแม่ ลูกกำลังจะออกเดินทางแล้ว!”

เขาได้ลูบแผ่นศิลาเบา ๆ ด้วยความคิดถึง ราวกับว่าเขาได้มองย้อนกลับไปในช่วงที่ตนเองยังเป็นเด็ก

ในตอนนั้นเขาได้มานอนที่หน้าหลุมฝังศพและร้องไห้เสียงดังทุกวัน

จนกระทั่งมาถึง ปัจจุบัน

นี่คือความทรงจำในวัยเด็กของ ไป๋ตงหลิน

มารดาที่ให้กำเนิดเขาในชีวิตนี้ เป็นผู้หญิงที่ดี

ไป๋ตงหลิน ได้เหยียดนิ้วชี้ออกและแกะสลักคำสองคำลงบนพื้น

หลุมฝังศพของมารดาผู้เป็นที่รักของ-ไป๋ตงหลิน

หลังจากเขียนเสร็จ เขาก็ผล็อยหลับไปที่ด้านหน้าหลุมฝังศพราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง

วันถัดไป—

เมื่อ ไป๋ตงหลิน ตื่นขึ้น เขาก็มองไปที่หลุมฝังศพที่โดดเดี่ยว และ มองย้อนกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลไป๋ที่อยู่ด้านล่างของภูเขา

เขาไม่ได้รู้สึกลังเลที่จะจากไป

“นกบางตัวบางทีก็ถูกลิขิตไว้ให้อยู่แต่ในกรง”

ไป๋ตงหลิน ได้พึมพัมออกมา

“แต่ในใจของพวกมันแท้จริงแล้วกลับต้องการความอิสระมากที่สุด!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด